ความคิดเห็นที่ 1 ดูตัวอย่าง case ดีกว่าครับ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=32811 จากคุณ : หมูอวบ เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 22:53:39

ความคิดเห็นที่ 2 ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่มีค่าตัวไหนดีกว่ากันหรอกค่ะ และก็ไม่มีค่ามาตรฐานตายตัวด้วย ตลาดหุ้นไทยชักโหดขึ้นทุกวัน หุ้นดีดอย หุ้นเน่าวิ่ง รอผู้รู้มาตอบต่อดีกว่า จากคุณ : แม่น้องแฟงค์ เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 23:32:02

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าต้องเลือกมาสักอันนึงขอเลือก P/E จากคุณ : Bkbook เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 23:44:44

ความคิดเห็นที่ 4 PEG ก็ดีนะครับ ลองดูครับ http://en.wikipedia.org/wiki/PEG_ratio ปล.ยังไงผมว่า DIVIDEND YIELD > 5% จะดีครับ แค่นี้ก็ถือว่าน้อยแล้ว(แต่ยังรับได้^^) แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 55 23:57:05 จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 55 23:55:39

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวครับ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการเลือกหุ้น ว่าต้องการถือ หรือเข้าซื้อในลักษณะใด รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรม และธุรกิจที่หุ้นนั้นๆ ทำอยู่ครับ ยกตัวอย่างเช่น P/E ตามตำราบอกว่า ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แต่ในชีวิตจริง หุ้นที่คนไม่เชื่อมั่นใน brand มันอาจจะเป็นหุ้นที่ P/E ต่ำตลอดกาล ต่ำยังไง ก็ต่ำยังงั้น ในขณะที่หุ้นบางตัว มี story หรือต่างชาติเข้าซื้อไม่อั้น กลายเป็นว่า price ซึ่งเป็นตัวตั้งสูงขึ้นๆๆ สูงก่อนที่ผลประกอบการจะออก หรือ earning จะตามมาเสียอีก ทำให้ดูเมื่อไรๆ ก็สูงอยู่อย่างนั้น เป็นต้น สรุป ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวครับ ต้องค่อยๆ เรียนรู้ธรรมชาติในหุ้นนั้นๆ  จากหลายๆ แง่มุมประกอบการ การดูกราฟเดี๋ยวนี้ก็มีความสำคัญ ดูพื้นฐานอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ถ้ามีสูตรสำเร็จ ที่ list มาได้ และได้ผลจริง ป่านนี้ รวยหมดโลกแล้วครับ จากคุณ : mrtech เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 00:29:01

ความคิดเห็นที่ 6 กลัวเจอหุ้นจำพวก..ถูกเรื้อรัง ค่าต่างๆต่ำ..ก็ต่ำซ้ำซาก อ่ะครับ ดูหุ้นที่มี Story เรื่อยๆ ดีกว่า จากคุณ : ชิตวรนันต์ เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 01:01:04

ความคิดเห็นที่ 7 ถ้า จขกท. ศึกษาแต่ละตัวจะทราบว่าตัวไหนใช้ตอนไหนครับ ROA, ROE มาจากปัจจัยภายใน (ไม่เกี่ยวกับตลาดหรือราคาหุ้น) มันจึงบอกเราว่า "บริษัท" นี้เป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าการซื้อ "หุ้น" ของบริษัทนี้จะเป็นการลงทุนที่ดีหรือเปล่า - ROA ไม่ตายตัวว่าเท่าไหร่ดี ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม - ROE หลายคนบอกว่าไม่ควรน้อยกว่า 15% บ้าง 12% บ้าง นานาจิตตัง P/E, P/BV, Div Yield มาจากปัจจัยภายในผสมกับปัจจัยภายนอก - P/E กับ P/BV วัดความถูกแพงของหุ้น แต่มีที่ใช้แตกต่างกัน ลองดูสองบทความนี้นะครับ  http://www.clubvi.com/2012/08/17/pe/  http://www.clubvi.com/2012/08/24/pbv/  โดยทั่วไปคนมักบอกว่ามองหาค่า P/E ไม่เกิน 10 หรือ 12 เท่า แต่ถ้าเป็นหุ้นเติบโตอาจยอมให้ถึง 20 เท่า  ส่วนค่า P/BV มักอ้างถึงตัวเลข 1 หรือ 2 เท่า แต่ผมก็อยากบอกว่า "อย่าไปจริงจังกับมันนัก" - Div Yield บอกถึงกระแสเงินสดจากเงินปันผลว่าอยู่ในระดับที่เราพอใจหรือไม่ บางคนชอบเยอะๆ บอกว่าต้อง 8% ขึ้นไป ส่วนบางคนชอบปานกลาง 4-5% ก็ใช้ได้แล้ว บางคนไม่สนใจเลย จ่าย 1-2% ก็ได้ ขอให้กำไรโตเร็วๆ ก็พอ จขกท. จึงต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่าให้ความสำคัญกับอะไร ถ้าเน้นกระแสเงินสดก็จัดลำดับความสำคัญให้กับ Div Yield มาก่อนข้ออื่น ถ้าชอบ "ล่าของถูก" ก็ไปเน้น P/E กับ P/BV จากคุณ : Antonio at MonkeyFreeTime เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 01:50:53

ความคิดเห็นที่ 8 อันที่จริงต้องดูทุกตัว แต่ละตัวก็ยังสรุปไม่ได้ว่าหุ้นดีไหม และควรจะอ่านงบการเงินด้วย ที่ต้องดู จากคุณ : K'DUS เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 07:18:15

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับผม ง่าย สะดวก และรวดเร็วสุด คือ pe ครับ ค่า pe กลุ่ม , ค่าที่คาดว่าจะเป็นไปได้ในค่าต่าง   x    eps (กำไรที่คาดว่าจะไปไปได้น่าค่าต่าง) = price (ราคาที่เหมาะสมที่ควรจะอยูบ่นกระดาน ณ วันที่เราคาดว่ากำไรจะทำได้) ***อันนี้เอาแบบหยาบ ๆ นะครับ ถ้าจะลงทุนกันจริง ๆ ยาว ๆ ก็ต้องดูค่าเรโชหลายอย่างประกอบกันดั่งที่หลายท่านได้แนะนำไว้แล้วว่าการลงทุนเราจะให้น้ำหนักกับหุ้นตัวนั้นในด้านใดค่าไหนมากกวากัน จากคุณ : ก็ว่ากันไป (Fsmoothdood) เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 08:53:30

ความคิดเห็นที่ 10 ผมชอบดู debt ก่อน ยิ่งบริษัทไหนไม่มีหนี้สินระยะยาวยิ่งชอบแล้วค่อยไปดู asset ว่ามีอะไรบ้าง จากนั้นค่อย ๆ ดูรายได้ ต้นทุน กำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่าย กำไรสุทธิ ไล่ลงมา แลวค่อยเป็น P/E P/BV ประมาณว่า top down กับ bottom up อย่างนี้ จากคุณ : eakaphan เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 09:35:32

ความคิดเห็นที่ 11 ผมดูตามหลักสูตรหุ้นห่านทองคำอ่ะครับ ^^ จากคุณ : Silent Service เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 12:57:27