Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คิดแบบ "วอเรน บัฟเฟต " (เผื่อคนไม่รู้อีกมาก) ติดต่อทีมงาน

คิดแบบ วอเรน บัฟเฟต
Think Like Warren Buffett  by maytawee

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999, โรเบิตร์ จี แฮงสตรอง ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับนักลงทุนชื่อดังคนหนึ่งนามว่า วอเรน บัฟเฟ็ต โดยใช้ชื่อหนังสือว่า “ชีวประวัติ์ของ วอเรน บัฟเฟ็ต” หนังสือเล่มนี้แตกต่างกับหนังสืออื่นๆที่วางขายตามแพงหนังสือตรงที่ หนังสือเล่มนี้ให้ประโยชน์มากมายกับคนอ่าน รวมไปถึง แนวคิดที่ วอเรน บัฟเฟ็ต ใช้ในการลงทุน หรือ พูดกันง่ายๆก็คือ หนังสือเล่นนี้จะบอกคุณว่าทำไม วอเรน บัฟเฟ็ต ถึงได้ร่ำรวย

ถึงแม้ว่านักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากการอ่านหนังสือทุกเล่มอยู่แล้ว แต่เราได้เลือกตัวอย่างสำคัญและข้อเสนอแนะในการสร้างและเลือกซื้อหุ้นตัวต่างๆเพื่อให้คุณได้เข้าใจถึงแนวคิดของ วอเรน บัฟเฟ็ต

*1.คิดว่าการเล่นหุ้นคือธุรกิจอย่างหนึ่ง
นักลงทุนมากมายคิดว่าการเล่นหุ้นนั้นเป็นเพียงแค่การซื้อ-ขายกระดาษเปล่าๆแผ่นหนึ่งระหว่างนักลงทุนสองคน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือนักลงทุนในเรื่องการตัดสินใจเวลาซื้อ-ขายหุ้นตัวต่างๆโดยไม่เอาความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ วอเรน บัฟเฟ็ต เชื่อว่านักลงทุนควรที่จะคิดว่าตนเองคือหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆที่นักลงทุนได้ลงทุนไป และ แฮงค์สตรอมก็สนับสนุนแนวคิดนี้ ว่าหากนักลงทุนคิดแบบนั้น จะส่งผลให้การตัดสินต่ำลงและต้องการที่จะรักษาผลประโยชน์มากขึ้น ยิ่งคิดเรื่องผลประโยชน์มากเท่าไร ก็ยิ่งคิดมากเท่านั้นเมื่อถึงเวลาที่จะซื้อหรือขายหุ้นตัวต่างๆ


2. เพิ่มขนาดการลงทุนของคุณ
มันเป็นเรื่องยากแต่เข้าใจได้ง่ายต่อนักลงทุนที่จะเข้าใจได้ว่าการเอาไข่ทั้งหมดใสไว้ในตะกร้าเดียว กับ การเอาไข่ทั้งหมดที่มีใส่ไว้ตะกร้าหลายๆใบ มีผลไม่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ลงทุนในกองทุนรวม บัฟเฟ็ต จึงสนใจลงทุนในหุ้นรายตัวที้เขาศึกษามาอย่างดี

บัฟเฟ็ต เชื่อเสมอว่านักลงทุนทุกคนควรที่จะทำการค้นคว้าหาข้อมูลก่อนที่จะทำการลงทุนทุกครั้ง แต่เมื่อผ่านขั้นตอนของการหาข้อมูลไปแล้ว นักลงทุนควรมีความมั่นใจในการตัดสินใจเลือกซื้อหุ้นตัวนั้นๆในปริมาณที่เห็นสมควร และ นักลงทุนก็ควรที่จะมั่นใจและเลือกลงทุนในตัวหุ้นที่มีโอกาสเติบโตได้สูง มากกว่าที่จะลงทุนอย่างไม่มีทิศทาง

บัฟเฟ็ต ยังคงบอกอีกว่า มันไม่ได้อยู่ที่ว่าบริษัทนั้นๆจะดีแค่ไหน แต่มันขึ้นอยู่กับความรู้สึกของนักลงทุน ที่มีต่อบริษัทนั้นๆ ถ้าหุ้นที่คุณถืออยู่มีความเสี่ยงต่ำแต่ถือหุ้นไว้ได้นาน ทำไมคุณถึงลงทุนไปกับหุ้นท่ีน่าสนใจ 20 ตัวมากกว่าลงทุนไปกับหุ้นที่คุณชอบ



*3. ลดความเปลี่ยนแปลง
การซื้อ-ขายหุ้นตลอดเวลาจะทำเงินให้กับนักลงทุนได้มาก แต่ บัฟเฟ็ต กลับคิดว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เงินที่คุณได้กลับมาน้อยกว่าที่คุณคิด นั่นเพราะว่า การซื้อ-ขายบ่อยๆจะทำให้คุณต้องจ่ายภาษีในการซื้อและขายมากกว่าและยังคงต้องจ่ายเงินค่าส่วนต่างให้กับผู้แนะนำอีกด้วย


โอราเคิล บอกว่าอะไรที่ใช้ได้ในธุรกิจ ก็ใช้ได้ในการเล่นหุ้น นักลงทุนควรจะคิดการไกล เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีและค่าส่วนต่าง



4. สร้างความแตกต่าง
ราคาของหุ้นแต่ล่ะตัวจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จและความล้มเหลวของในบริษัทนั้นๆ บัฟเฟ็ต ไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านั้น แต่กลับวิเคราะห์เศรษฐกิจขั้นพื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ เพราะ ถ้าธุรกิจนั้นๆสนใจที่จะสร้างความเติบโตให้กับตนเองแล้ว ราคาของหุ้นบริษัทนั้นก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะทำความรู้จักและศึกษาหาข้อมูลการเติบโตของบริษัทนั้นๆไว้ แต่ถ้าบริษัทนั้นมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและพัฒนามูลค่าของผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ราคาของหุ้นตัวนั้นๆก็จะเป็นไปในแนวทางเดียวกันใระยะยาว




5. เรียนรู้ที่จะคิดโดยใช้ความน่าจะเป็น
บริจ คือเกมไพ่เกมหนึ่งที่คนเล่นจะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีความสามารถในการตัดสินใจและคำนวนหาความน่าจะเป็นที่จะเอาชนะคู่แข่ง มันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ บัฟเฟ็ต จะชื่นชอบเกมนี้และเขาได้นำกลยุทธ์จากเกมนี้ออกมาใช้ในโลกของการลงทุน

บัฟเฟ็ต แนะนำให้นักลงทุนตั้งใจและให้ความสนใจกับเศรษฐกิจของบริษัทนั้นๆ และพยายามหาความน่าจะเป็นของเหตุการต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต เหมือนกับที่คนเล่นเกมที่ว่าไว้ข้างต้นจะต้องคำนวนหาความน่าจะเป็นของไพ่บนมือคู่แข่ง เขาทำได้โดยการเพ่งความสนใจไปที่เรื่องเศรษฐกิจมากกว่าราคาของหุ้นตัวนั้นๆ และ ทำให้นักลงทุนสามารถคำนวนหาความน่าจะเป็นของหุ้นตัวดังกล่าวได้แม่นยำขึ้น

การคิดโดยใช้ความน่าจะเป็นให้ผลดีกับนักลงทุนในด้านการหาความเป็นไปได้ที่บริษัทนั้นๆจะรายงานรายได้ประจำปีในช่วงเวลา 5 ถึง 10 ปีและนำมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของหุ้นตัวนั้นๆ การคิดคำนวนแบบนั้นยังส่งผลให้ผลกำไรที่ได้กลับคืนมาสูงกว่า

*6. สภาพจิตใจกับการลงทุน
ทุกคนคงเข้าใจได้ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องมีแนวคิดและสภาพจิตใจที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ เพราะ บุคคลเหล่านั้นจะให้ความสนใจกับความเป็นไปได้และสภาพเศรษฐกิจในตอนนั้นมามากกว่าและใช้มันเพื่อช่วยในการตัดสินใจมากกว่าการใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ

ยิ่งไปกว่านั้น อารมณ์ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุน บัฟเฟ็ต ได้กล่าวไว้ว่า การที่นักลงทุนจะเอาชนะอารมณ์ได้นั้น นักลงทุนจะต้องมีความสามารถในการควบคุมความเชื่อที่มีต่อธุรกิจนั้นๆและไม่คิดหรือใส่ใจมากกับตัวตลาดหุ้น


7. อย่าสนใจการคาดการอนาคตของการตลาด
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า คนมักจะปีนกำแพงแห่งความกังวล หรือพูดง่ายๆก็คือ ผู้คนมักจะคิดในทางลบอยู่เสมอๆและมักจะคิดว่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้าและมันก็เป็นแบบนั้นบ่อยๆ ดังนั้นแล้ว เราควรที่จะไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม มันก็จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่คิดในทางบวกเสมอและคิดว่าตลาดจะเป็นไปในทางบวก และ ก็เช่นกันเราไม่ควรที่จะสนใจสิ่งเหล่านั้น

แต่ด้วยความสับสนทั้งหลายนี้ บัฟเฟ็ต กลับบอกให้นักลงทุนทั้งหลายให้ความสนใจและศึกษาหุ้นที่ไม่ได้รับความสนใจจากตลาดมากนัก เพราะ หากตลาดให้ความสนใจกับบริษัทนั้นมากเกินไป ก็จะทำให้บริษัทนั้นๆใช้โอกาสที่มีในการทำเงิน เพราะ เมื่อมีคนสนใจมากก็จะมีความต้องการมากขึ้นตามไปด้วย


8. รอจังหวะที่เหมาะสม
แฮคสตรอง ใช้นักเบสบอลชื่อดัง เท็ด วิลเลี่ยม เป็นตัวอย่างให้กับนักลงทุน วิลเลี่ยม มักจะรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อที่จะตีลูก และ นี่ก็เป็นเหตุผลให้ วิลเลี่ยม มีสถิติการตีโดนลูกสูงที่และสูงกว่านักเบสบอลคนอื่นๆ

บัฟเฟ็ต ก็แนะนำไปในแนวทางเดียวกัน นักลงทุนทุกคนควรคิดอยู่เสมอว่าตัวเองมีโอกาสตัดสินใจในหนึ่งชีวิตเพียงแค่ 20 ครั้งเท่านั้น และ ด้วยการคิดแบบนี้จะทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงให้กับตัวเอง และ จะทำให้นักลงทุนใช้โอกาสที่มีอย่างคุ้มค่ามากที่สุด

ปล.ผมลงทุนหุ้น (ธุรกิจ) ดีๆ  บ่มให้นาน แล้วคุณก็จะร่ำรวยอย่างแน่นอน (รู้...งี้)

แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 55 11:03:29

จากคุณ : นักลงทุน999
เขียนเมื่อ : 9 ก.ย. 55 11:01:18




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com