ความคิดเห็นที่ 1 Q: นโยบายการเงินคืออะไร? A: เนอะ ต้องเริ่มจากตรงนี้ ;) นโยบายการเงินคือ หนึ่งในสองนโยบายเศรษฐกิจมหภาคครับ ที่รับผิดชอบโดยธนาคารกลาง หรือ แบงค์ชาติ (ธปท.) นโยบายมหภาคอีกอันหนึ่งคือ นโยบายการคลัง ที่รับผิดชอบโดยกระทรวงการคลังครับ นโยบายเศรษฐกิจมหภาคคือนโยบายที่ใช้เพื่อให้เศรษฐกิจมันเติบโตไปในแบบที่ผู้กำหนดนโยบายต้องการ นโยบายการคลังคือ รัฐจะเก็บภาษี แล้วเอาภาษีมาใช้จ่าย (และออกกฏหมายต่างๆ) ขณะที่ นโยบายการเงินคือ แบงค์ชาติ จะขึ้นลงดอกเบี้ย (และออกกฏต่างๆ) ซึ่งคำว่าเศรษฐกิจเติบโตในแบบที่ต้องการ แปลว่า เศรษฐกิจโตได้เต็มศักยภาพ กล่าวคือ ขยายตัวสูงที่สุด โดยที่ยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อครับ (ในทางเทคนิคคือ เราเชื่อว่า เศรษฐกิจมีศักยภาพในการเติบโตอยู่ในระดับหนึ่ง สมมติว่า เศรษฐกิจไทยมีศักยภาพในการเติบโต 5% ต่อปี ถ้าเศรษฐกิจโตไม่ถึง 5% เราจะกระตุ้นเศรษฐกิจ (เพื่อให้เติบโตถึง 5%) ถ้าเศรษฐกิจโต 5% แล้ว เรายังไปกระตุ้นต่อไป มันจะไม่ทำให้เศรษฐกิจโตครับ แต่มันจะทำให้เงินเฟ้อปรับสูงขึ้น ดังนั้น ถ้าเศรษฐกิจโตเกิน 5% เราจะเหยียบเบรกเศรษฐกิจ เพื่อไม่ให้มันขยายตัวเกิน 5% และเงินเฟ้อก้อจะลงมาครับ) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 00:57:55

ความคิดเห็นที่ 2 Q: แล้วกรอบการดำเนินนโยบายการเงินคือ? A: พูดง่ายๆ คือรูปแบบที่ธนาคารกลางใช้ในการดำเนินนโยบายการเงินครับ* ในกรณีของประเทศไทย เราใช้กรอบที่ชื่อว่า "Inflation Targeting" (IT) กล่าวคือ แบงค์ชาติจะตั้งเป้าว่า จะให้เงินเฟ้อปีนี้ อยู่ในช่วงเท่าไร (ปัจจุบัน ตั้งว่า เงินเฟ้อพื้นฐานจะให้อยู่ระหว่าง 0.5 - 3.0% ครับ) จากนั้น แบงค์ชาติจะใช้เครื่องมือที่ตัวเองมีอยู่คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ปัจจุบันใช้ ดอกเบี้ย R/P 1 วัน) เพื่อควบคุมให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคาดว่า เงินเฟ้อในอนาคตจะเกิน 3.0% แบงค์ชาติก้อจะขึ้นดอกเบี้ยครับ และเงินเฟ้อก้อจะลงมาครับ และถ้าเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อในอนาคตไม่น่าจะเป็นปัญหา ขณะที่เศรษฐกิจเติบโตได้ไม่ถึงศักยภาพ แบงค์ชาติก้อจะลดดอกเบี้ยลงมาครับ ง่ายๆ แค่นั้นล่ะ ;) *ในโลกนี้ก้อมีหลายแบบนะครับ แต่หลักๆ ปัจจุบันมีแค่ 2 กรอบใหญ่ๆ ครับ คือ 1 Inflation Targeting และ 2. Exchange rate targeting ครับ (เมื่อก่อนมีอีกอันหนึ่งคือ Monetary base targeting ครับ แต่เดี๋ยวนี้เค้าเลิกๆ ใช้กันแล้ว มันค่อนข้างทำยาก) ส่วนมากประเทศในโลกนี้ จะใช้ส่วนผสมๆ ระหว่างสองกรอบนี้ล่ะครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 00:58:29

ความคิดเห็นที่ 3 Q: ก้อดูโอเคนี่น่า แล้วอาจารย์โกร่งไม่เห็นด้วยตรงไหน? A: อาจารย์โกร่งท่านเห็นว่า IT ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเมื่อพิจารณาถึงระบบเศรษฐกิจของบ้านเราครับ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจของประเทศเราเป็นแบบเล็กและเปิด (Small and Open Economy) ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อในประเทศ จึงถูกกำหนดโดยอัตราเงินเฟ้อโลกครับ กล่าวคือ ประเทศเราเป็นประเทศเปิดใช่ไหมครับ ถ้าราคาสินค้าในประเทศเรา แพงกว่าตลาดโลก ผู้นำเข้าก้อจะนำสินค้าจากต่างประเทศมาขายในประเทศเราครับ ในทางกลับกัน ถ้าราคาในไทยต่ำกว่าในตลาดโลก ผู้ส่งออกก้อจะขนสินค้าไปขายข้างนอก แทนที่จะขายในประเทศ ส่งผลให้ supply ในประเทศลดลง และราคาสินค้าในประเทศก้อจะปรับสูงขึ้น จนเท่ากับตลาดโลกครับ และด้วยความที่เป็นประเทศเล็ก Demand/Supply ในประเทศเราไม่มากพอที่จะชี้นำราคาสินค้าในตลาดโลกได้ ยกตัวอย่าง เรื่องข้าวละกัน สมมติว่า วันดีคืนดี คนไทยกินข้าวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จนราคาข้าวในบ้านเราเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ผู้ส่งออกซื้อข้าวในตลาดโลก (ซึ่งถูกกว่า) มาขายในประเทศ แต่ถ้าเราเป็นประเทศเล็ก ข้าวที่นำเข้ามาอาจจะแค่สิบยี่สิบตัน เมื่อเทียบกับปริมาณที่โลกผลิตข้าวได้เป็นหมื่นๆ ตัน การที่เค้าจะแบ่งมาขายให้เราสักสิบยี่สิบตัน มันก้อไม่ทำให้ราคาในตลาดโลกเปลี่ยนแปลงเท่าไร จริงไหมครับ หรืออีกกรณี ถ้าสมมติว่า ปีนี้พระโคทานเหล้า น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ จนเราผลิตข้าวได้มากขึ้นเป็นสองเท่า แต่สองเท่าของเรา อาจจะทำให้มีข้าวไปขายในตลาดโลกเพิ่มขึ้นสักสิบตัน ไรงี้ ซึ่งแค่สิบตันมันอาจไม่มากพอที่จะส่งผลกระทบต่อราคาในตลาดโลกได้ครับ นี่ล่ะครับ คือเหตุผลที่ทางอาจารย์โกร่งเชื่อว่า ไทย ในฐานะที่เราเป็น Small and Open Economy เราจึงไม่มีสิทธิไปกำหนดราคาสินค้าในตลาดโลกได้ ด้วยเหตุนี้ ราคาสินค้าที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จึงมาจากตลาดโลกทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า อัตราเงินเฟ้อของไทย ถูกกำหนดโดยราคาเงินเฟ้อของโลก ซึ่งดังจะเห็นได้ว่า อัตราเงินเฟ้อของไทย เคลื่อนไหวสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อของโลก (ดูรูป) ดังนั้น กรอบ IT จึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าไรนักในการจัดการเงินเฟ้อ (เพราะเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้) และควรเปลี่ยนไปใช้อัตราแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินแทน เพราะเราสามารถใช้การแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยน บรรเทาผลกระทบของเงินเฟ้อได้ครับ กล่าวคือ ถ้าราคาสินค้าในตลาดโลกแพงขึ้น เราก้อทำให้บาทแข็งขึ้น ราคาสินค้าในประเทศก้อจะเท่าเดิมครับ ;) แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 55 22:37:03 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:00:05

ความคิดเห็นที่ 4 Q: แล้วกลุ่มผู้สนับสนุน IT เค้าว่าไง? A: กลุ่มผู้สนับสนุน IT นำโดย แบงค์ชาติ นี่ล่ะ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว แบงค์ชาติเห็นว่า เงินเฟ้อของประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจาก การคาดการณ์เงินเฟ้อ (Inflation expectation)* จากการศึกษาของแบงค์ชาติ** พบว่า อัตราเงินเฟ้อที่เกิดจาก supply shock (เช่น เกิดสงคราม จนทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นมา) มักจะเกิดขึ้นมาแล้วหายไปเอง (ถ้าประชาชนเชื่อมั่นว่า ธนาคารกลางจะจัดการเงินเฟ้อได้นะครับ หรือ inflation expectation is anchored) แต่ถ้าประชาชนไม่เชื่อมั่น ธนาคารกลางจะจัดการกับเงินเฟ้อได้ (หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า inflation expectation ปรับสูงขึ้น) เงินเฟ้อที่เกิดจาก supply shock จะคงอยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน (persistance) ด้วยเหตุนี้ inflation expectation จึงเป็นปัจจัยสำคัญของอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้น ถ้าธนาคารกลางยึดมั่นในกรอบ IT แล้ว inflation expectation ก้อจะไม่เกิด และอัตราเงินเฟ้อก้อจะควบคุมได้ กลับกัน ถ้าคนไม่เชื่อมั่นในธนาคารกลาง ถ้าเกิด inflation shock ขึ้นมา (ซึ่งมันเกิดเป็นปกติอยู่แล้วครับ นี่อิหร่านก้อฮึ่มๆ อยู่เหมือนกัน) เงินเฟ้อก้อจะพุ่งสูงต่อเนื่องครับ ด้วยเหตุนี้ IT จึงเหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อเอาไว้จัดการกับเงินเฟ้อครับ ดังจะเห็นว่า ตั้งแต่เราเปลี่ยนมาใช้ IT อัตราเงินเฟ้อจากที่เคยอยู่ในระดับสูง ก้อปรับลดต่ำมาอยู่ในกรอบของแบงค์ชาติครับ ;) * การคาดการณ์เงินเฟ้อคือ ถ้าคนทั่วๆ ไป คาดว่าอนาคตเงินจะเฟ้อ มันจะมีเงินเฟ้อขึ้นจริงๆ ครับ กล่าวคือ ถ้าคนคิดว่า พรุ่งนี้สินค้าจะขึ้นราคา เค้าจะเร่งซื้อกันในวันนี้ กินวันนี้ หรือกักตุนเอาไว้ พอคนเข้าไปแย่งซื้อกันมากขึ้น ราคาสินค้ามันก้อจะขึ้นไปจริงๆ ครับ ;) **นโยบายการเงินและการดูแลเงินเฟ้อ http://www.bot.or.th/Thai/EconomicConditions/Publication/Documents/paper_inflation_dynamic.pdf จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:00:59

ความคิดเห็นที่ 5 Q: -_-" ตกลงใครถูก? A: อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ (ฮา) ประเด็นสำคัญของการถกเถียงอันนี้ มันอยู่แค่ว่า อัตราเงิอเฟ้อ มาจากไหน แค่นั้นเองครับ (จริงไหมครับ) ถ้าเงินเฟ้อมาจากข้างใน กรอบ IT ก้อเหมาะ แต่ถ้าเงินเฟ้อมาจากข้างนอก FX Targeting ก้ออาจจะเหมาะกว่า ซึ่งเงินเฟ้อมาจากไหนนั้น ผมว่าเอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครมั่นใจได้เต็มร้อยหรอกครับ ผมเชื่อว่า เรื่องแบบนี้มันถกเถียงกันได้ ซึ่งผมเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ความจริงมันอยู่กึ่งกลางของทั้งสองฝากเนี่ยล่ะครับ (คือไม่มีใครถูกและผิดไปทั้งหมด) อย่างไรก้อดี ในฐานะคนนอก ไม่ได้ทำงานให้ ธปท. และไม่เคยรู้จักอาจารย์โกร่งเป็นการส่วนตัว ผมขอตั้งข้อสังเกตุ 2-3 ข้อ ดังนี้ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:01:29

ความคิดเห็นที่ 6 1. ประเทศไทยเปิดจริง แต่ประเทศไทย ไม่เล็กนะครับ ^^" ผมเห็นด้วยว่า ประเทศยิ่งเล็ก และยิ่งเปิด เงินเฟ้อก้อจะยิ่งออกมาจากข้างนอก ในกรณีของไทย จากรูปคุณจะเห็นว่า จริงอยู่เมื่อเทียบกับประเทศที่ใช้ IT ด้วยกัน ประเทศไทยค่อนข้างเปิดมากกว่าประเทศ IT อื่นๆ (แกน X ครับ ยิ่งอยู่ทางขวา ยิ่งเปิด) จนเสมือนว่า ไทยควรจะใช้ FX targeting แต่เมื่อเทียบกับประเทศที่ใช้ FX Targeting คุณจะเห็นว่า ไทยค่อนข้างใหญ่กว่าพอสมควร (แกน Y ครับ ยิ่งสูง ยิ่งใหญ่) ดังนั้น แนวคิดที่บอกว่า ไทยเป็นประเทศเล็กและเปิด (เหมือนประเทศที่ใช้ FX Targeting อื่นๆ) อาจจะไม่ทั้งหมดครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:02:06

ความคิดเห็นที่ 7 2.  "ผมเชื่อว่า" เงินเฟ้อของไทยไม่ได้มาจากข้างนอกทั้งหมดครับ อันนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่แบงค์ชาติชอบใช้ ซึ่งผมออกจะเห็นด้วยคือ ถึงแม้เศรษฐกิจเราจะเล็กและเปิด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า สินค้าทุกชนิด เราจะนำเข้าและส่งออกได้ กล่าวคือ สินค้าบางชนิด มันไม่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ (non-tradable) (แบงค์ชาติชอบ)ยกตัวอย่างเช่น ช่างตัดผมครับ ช่างตัดผมที่อเมริกา ได้ค่าจ้างตัดผมหัวละ 50 ดอลลาร์ (1,500 บาท) แต่ช่างตัดผมไทย ได้หัวละ 100 บาท แต่คนอเมริกาก้อไม่ได้บินมาตัดผมที่ไทยนิ จริงไหมครับ ;) (บางคนอาจจะแย้งว่า ถ้าค่าจ้างมันมากพอ ช่างตัดผมไทย ควรจะบินไปทำงานที่โน้น ซึ่งก้ออาจจะจริง แต่เราก้อรู้นิครับ ว่าในชีวิตจริง การทำงานในประเทศที่ค่าจ้างแพงกว่า มันไม่ง่ายขนาดนั้น) นอกจากเรื่องข้อจำกัดในการซื้อขายสินค้าแล้ว รสนิยมก้อมีผลอย่างมากครับ เช่น แม้แฮมเบอเกอร์จะราคาแพงกว่า ข้าวผัดกระเพรา มาก แต่ฝรั่งเค้าคงไม่มากินข้าวผัดกระเพาะทุกมื้อหรอก จริงไหมครับ ;) ด้วยเหตุนี้ แม้เราจะสามารถนำเข้าสินค้าจากข้างนอกมาได้ (ในกรณีที่ราคาสินค้าในประเทศสูงกว่า ราคาตลาดโลก) แต่ก้อมีหลายปัจจัยครับ ที่สินค้าบางอย่างไม่มีสามารถนำเข้ามาทดแทนสินค้าในประเทศได้ทั้งหมด ดังนั้น ราคาสินค้าในตลาดโลก จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของราคาสินค้าในประเทศ ไม่ใช่ทั้งหมดครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:02:45

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วทักษิณว่าไงครับ ปล. ผมแซวเฉยๆนะครับ อิอิ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 55 01:10:27 จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:02:59

ความคิดเห็นที่ 9 3. เงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation expectation) มีผลต่อเงินเฟ้อของไทยขนาดไหน ส่วนตัวผมคิดว่า เรายังเข้าใจเรื่องนี้อยู่น้อยไปหน่อย ที่จะฟันธงว่า inflation expectation มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อของไทย* ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะว่า ข้อมูลด้านนี้เรามีน้อยชนิดและส่วนใหญ่ข้อมูลย้อนหลังได้ไม่ไกลนักครับ  (เช่น เรายังไม่มี inflation expectation survey แบบเมืองนอก ตัวเดียวที่มีส่วนนี้คือ การสำรวจ BSI ของแบงค์ชาติ ซึ่งซีรี่ยังสั้นอยู่ และผลการสำรวจอาจจะยังไม่ค่อยแม่นยำเท่าไรนัก ขณะเดียวกัน ตลาดที่เทรด inflation expectation เช่น inflation-linked bond ก้อยังไม่เป็นที่นิยม) ซึ่งถ้าความจริงเป็นว่า Inflation expectation มันไม่ได้เยอะมาก agrument ที่แบงค์ชาติใช้ก้อคงอ่อนลงไปเยอะเช่นกัน นอกจากนี้ ต่อให้ Inflation expectation มันมีส่วนสำคัญต่อเงินเฟ้อ มันก้อไม่ได้หมายความว่า การใช้นโยบายการเงินแบบ FX targeting จะไม่ได้ยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ (anchor inflation expectation) เสียหน่อย สมมติว่า ถ้าอิหร่านเปิดฉากสงครามกับตะวันตก ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ถ้าประชาชนเชื่อว่า ภาครัฐจะจัดการกับเงินเฟ้อแน่ๆ ด้วยการที่จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ประชาชนก้อจะคิดว่า ราคาสินค้าในอนาคตคงจะไม่แพงขึ้นผิดปกติ เงินเฟ้อคาดการณ์ก้อจะยึดเหนี่ยวอยู่ดี * อันนี้เทคนิคหน่อยนะ แต่ถ้าคุณอ่านจากในเปเปอร์ของแบงค์ชาติ จะเห็นว่า เค้าวัด inflation expectation จากสมการ inflation dynamic แล้วบอกว่า ตัว constant เป็น inflation expectation ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันจะ overclaim ไปหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 55 01:04:02 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:03:18

ความคิดเห็นที่ 10 จากเหตุผลข้างต้นทั้งสามข้อ  ผมเห็นว่า ข้อถกเถียงทั้งสองฝ่ายมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนพอๆ กัน ดังนั้น เราน่าจะกระตุ้นให้เกิดการอภิปรายกันให้กว้างขวางกว่านี้ ก่อนที่จะตัดสินใจว่า อันไหนมันเหมาะสมกับไทยมากกว่ากันครับ วานซืน เห็นอาจารย์เปี่ยม (ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ) หนึ่งในผู้สนับสนุนหลักของ FX targeting อย่างเป็นทางการ (^^") ออกมาเชื้อเชิญให้ฝ่ายที่สนับสนุน IT มาดีเบตกัน ผมล่ะโดคเห็นด้วยเลย อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ สังคมเราควรจะมีอะไรแบบนี้เยอะๆ ไม่ใช่เอะอะอะไร ก้อหมุบหมิบทำกันวงแคบๆ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:04:34

ความคิดเห็นที่ 11 คห.นี้ จริงๆ ต้องมีรูปด้วยนะครับ เดี๋ยวจะมาเพิ่มรูปให้ภายหลังนะครับ ลืม T-T Q: แล้วถ้า m_ple ไปดีเบตกะเค้า คุณคิดว่าควรเปลี่ยนไหม? A: อย่างที่บอก ผมคงไม่เก่งพอที่จะไปฟันธงว่า เราควรจะทำอย่างไร แต่ถ้าถามส่วนตัวผม ผมเห็นด้วยกับแนวคิดของอาจารย์โกร่งนะครับ ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทย น่าจะมาจากข้างนอก โดยเฉพาะจากราคาน้ำมันเป็นสำคัญ แต่การเปลี่ยนกรอบการดำเนินนโยบายการเงินเป็น FX นั้น  เปลี่ยนแล้วชีวิตจะดีขึ้นหรือเปล่า ผลประโยชน์ที่ได้รับจะสูงกว่าต้นทุนที่จะเกิดหรือไม่ <-- อันเนี่ย ผมไม่ค่อยแน่ใจ กล่าวคือ จริงอยู่ที่ FX อาจจะ anchor inflation expectation ได้เหมือนกัน แต่ถ้าของเก่ามันใช้ได้ดีอยู่แล้วนี่ครับ ซึ่งผลดี ไม่ใช่แค่ประเทศไทยประเทศเดียวนะครับ จากรูปจะเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อของประเทศที่หันมาใช้ IT ลดลงเมื่อเทียบกับก่อนที่จะใช้ IT ครับ (แกน Y เป็นอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยห้าปีก่อนหน้าที่จะใช้ IT แกน X เป็นอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยห้าปีหลังจากใช้ IT จุดๆ นั่นแทนประเทศต่างๆ ซึ่งถ้าจุดเหนือเส้น 45 องศา แปลว่า เงินเฟ้อหลังจากเปลี่ยนมาใช้ IT ลดลง เมื่อเทียบกับก่อนใช้ IT ครับ) ดังนั้น ถ้าจะเปลี่ยนเป็นของใหม่นี่ ของใหม่มันต้องมีผลดีอย่างเห็นได้ชัดมากๆ จริงไหมครับ แต่ผลดีของของใหม่นี่ล่ะ ที่ผมไม่ค่อยแน่ใจ ข้อดีที่ทุกคนพูดถึงกัน มี 3 ข้อใหญ่ๆ คือ 1. มันจะช่วยบรรเทาผลกระทบของเงินเฟ้อได้   2. อัตราดอกเบี้ยในไทยจะอยู่ในระดับต่ำลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการลงทุนได้   3. ลดการขาดทุนของแบงค์ชาติได้ ซึ่งแต่ละข้อ ผมอาจจะยังติดใจอยู่เล็กๆ เอาทีละข้อนะครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 55 22:39:29 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:05:42

ความคิดเห็นที่ 12 ข้อ 1. จริงครับ ถ้าน้ำมันแพง เราก้อทำให้บาทแข็งขึ้นซะ offset กันไป แต่ถ้าถามว่า ถ้าน้ำมันแพงจริงๆ เราจะปล่อยให้บาทแข็งจริงๆ เหรอ? สมมติว่า (เอาเคสสุดโต่งๆ นะ เพื่อให้เห็นภาพ) ตอนนี้น้ำมันอยู่ที่ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ถ้าน้ำมันขึ้นไป 20%  เป็น 120 ดอลลาร์/บาร์เรล ถ้าเราไม่อยากให้มีเงินเฟ้อ เราอาจจะต้องปล่อยให้บาทแข็งค่าขึ้น 20% หรือจากระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ เป็น 25 บาท/ดอลลาร์ เหรอ? ผมเชื่อว่า ถ้าปล่อยให้บาทแข็งไปขนาดนั้น ส่งออกคงตาย และถ้าส่งออกตาย trade openness คงลดลงมา และประเทศเราคงไม่ใช่ small & open อีกต่อไป และถึงตรงนั้น agruement ที่ว่า เราเป็น small & open economy และเหมาะกับ FX targeting คงไม่ใช่แล้ว จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:06:01

ความคิดเห็นที่ 13 ข้อ 2 ที่บอกว่า อัตราดอกเบี้ยในไทยอยู่ในระดับต่ำ จะช่วยกระตุ้นการลงทุน จากรูปคุณจะเห็นว่า มันอาจจะไม่ค่อยจริงเท่าไร ปีที่ดอกเบี้ยของเราต่ำ การลงทุนเราก้อไม่ได้สูงเท่าไร (เมื่อเทียบกับปีอื่นๆ) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าปีที่ดอกเบี้ยต่ำ ส่วนมากจะเป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี จนแบงค์ชาติลดดอกเบี้ย พอเศรษฐกิจไม่ดี คนก้อไม่ค่อยจะลงทุน จริงไหมครับ ประเด็นคือ แม้ดอกเบี้ยจะเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการตัดสินใจลงทุน แต่มันคงไม่ใช่ตัวเดียวแน่นอน ดังนั้น การที่ดอกเบี้ยลดลงมา อาจจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นการลงทุนเท่าไรครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:06:31

ความคิดเห็นที่ 14 ข้อ 3 นี่ เป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากข้อ 2 มีนักเศรษฐศาสตร์หลายท่านให้ความเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยของไทย อยู่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยโลก (มักแทนด้วยอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ) ส่งผลให้มีเงินไหลเข้ามาก แบงค์ชาติต้องเข้าไปแทรกแซง และขาดทุนมหาศาลในท้ายที่สุด และการเปลี่ยนไปใช้ FX targeting จะทำให้อัตราดอกเบี้ยในไทยไม่แตกต่างกับอัตราดอกเบี้ยโลก เงินทุนก้อจะไม่ไหลเข้า ซึ่งเรื่องนี้มี 2 ประเด็น และเป็นประเด็นที่ผมไม่ค่อยเห็นด้วย เรื่องแรก คือ การที่ดอกเบี้ยเราสูงกว่าดอกเบี้ยโลก ไม่ได้เป็นแรงจูงใจทั้งหมดสำหรับเงินทุนที่จะไหลเข้า เพราะจากรูปคุณจะเห็นว่า แม้ดอกเบี้ยของเพื่อนบ้านจะสูงกว่าเรา แต่เงินก้อไม่ได้ไหลเข้าไปบ้านเข้ามากกว่าบ้านเราซะหน่อย ดังนั้น ดอกเบี้ยเป็นแค่ หนึ่งปัจจัยเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องขาดทุนของแบงค์ชาติ เรื่องนี้ผมว่าไม่เกี่ยวกับกรอบการทำนโยบายการเงิน เราต้องยอมรับกันก่อนว่า แบงค์ชาติขาดทุนเพราะเข้าไปแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน กล่าวคือ เข้าไปซื้อดอลลาร์ เพราะไม่อยากให้บาทแข็งมากและเร็วเกินไป ถ้าไม่อยากให้แบงค์ชาติขาดทุน ก้อแค่บอกว่า ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงนะ ปล่อยให้ค่าเงินไหลไปเสรี แค่นั้นเอง แต่แลกกับบาทอาจจะแข็งไป 20 ต้นๆ ไรงี้ ทุกคนรับได้ไหมล่ะครับ ;) ดังนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กรอบนโยบายการเงิน แต่เรากำลังสร้างระบบเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการส่งออกต่างหากครับ และผมเดาว่า ถ้าเราเปลี่ยนไปใช้ FX targeting จริง เราก้อคงไม่เอียงไปทางที่จะใช้มันเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อหรอกครับ (คือเราคงไม่ทำให้มันแข็งหรอก) แต่ผมว่า เราคงทำเพื่อให้บาทอ่อนๆ เพื่อกระตุ้นการส่งออกเสียมากกว่าครับ ^^" จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:07:52

ความคิดเห็นที่ 15 ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดนั่น ผมขอสรุปว่า ในมุมมองของผม แม้ผมจะเห็นด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อโลกมีอิทธิผลต่ออัตราเงินเฟ้อไทยมาก แต่ผลดีของการเปลี่ยนไปใช้ FX Targeting ยังคงไม่ชัดเจนนัก และเมื่อกรอบนโยบายการเงินปัจจุบันยังคงใช้การได้ดี ดังนั้น ผมคิดว่า เราน่าจะควรใช้ IT ไปก่อน และศึกษาผลดีผลเสียของ FX Targeting ให้รอบด้านกว่านี้ และถ้าวันหนึ่งเราเห็นว่ามันใช้ได้ดีกว่า IT ชัดเจนมากๆ จะเปลี่ยนตอนนั้นก้อไม่สายครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:08:15

ความคิดเห็นที่ 16 จบแล้วครับ แต่ไหนๆ แล้ว อัพเดทเรื่องเศรษฐกิจโลกนิดหนึ่งเนอะครับ ;p ฝากยุโรป ในที่สุด ECB ก้อ "เริ่ม" ทำตามที่ผู้ว่า ECB พูดไว้ครับ ที่ ECB จะ do whatever it takes to save the Euro ครับ ECB ออกแผนที่จะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรอง โดยตั้งชื่อว่า OMT ครับ ซึ่งผมเชื่อว่า เมื่อรวมกับการเข้าช่วยเหลือของ EFSF/ESM โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า EFSF/ESM เข้าไปช่วยซื้อพันธบัตรในตลาดแรกด้วยนะ มาตรการนี้จะส่งผลดีอย่างมากต่อประเทศที่มีปัญหาครับ แม้มาตรการนี้จะไม่ช่วยแก้รากเหง้าของปัญหาในยุโรปได้ (ต้นเหตุเกิดจาก ความสามารถในการแข่งขันของประเทศเล็ก และการขาดดุลของภาครัฐ) แต่มาตรการนี้จะช่วย "ซื้อเวลา" ให้กับรัฐบาล(นักการเมือง)ของประเทศที่มีปัญหาโดยเฉพาะสเปนและอิตาลี ไปอีกสักสองสามปี เวลาสองสามปีนี้ล่ะ สำคัญครับ ขึ้นอยู่กับว่า รัฐบาล(นักการเมือง)จะใช้เวลานี้ปฏิรูปประเทศให้กับมาเติบโตได้หรือเปล่า ถ้าได้ Euro ก้อจะคงอยู่ไปอีกนานแสนนานครับ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 55 22:36:07 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:08:56

ความคิดเห็นที่ 17 ข้ามไปที่ US ส่วนตัวผมเป็นคนที่เชื่อมาตลอดว่า โอกาสที่จะเกิด QE3 มันค่อนข้างน้อย (เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ได้แย่มาก และประสิทธิภาพของ QE3 ยังไม่แน่ว่าจะได้ผลหรือไม่ บลาๆๆ) แต่หลังจากตัวเลข Nonfarm Payrolls ที่ออกมาเมื่อวันศุกร์ต่ำกว่าคาดมาก ตอนนี้ผมเชื่อแล้วครับ ว่าในการประชุมครั้งถัดไปอาทิตย์นี้ Fed น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งก้อคงจะเป็น QE3 บวกกับการเปลี่ยน forward guidance ใน statement ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำนานกว่าเดิม จากที่เคยบอกว่าจะขึ้นปี 2014 น่าจะเปลี่ยนเป็น จะขึ้นปี 2015 ครับ ผมเขียนกระทู้เรื่อง QE อยู่ (ให้ตายเหอะ ผมเขียนประโยคนี้มาเป็นสิบรอบแล้วนะเนี่ย ^^") คาดว่า อาทิตย์หน้าจะเอามาให้อ่านครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:09:21

ความคิดเห็นที่ 18 จบจริงๆ แล้วครับ (ขออภัยด้วยนะครับ งวดนี้ยาวมากๆๆๆ อยากเขียนให้มันละเอียดๆ นานๆ เขียนเรื่องบ้านตัวเองสักที ฮา) พบกันใหม่ โอกาสหน้า สวัสดีครับ _/l\_ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:10:21

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ จากคุณ : Felipe เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:20:43

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณมากครับ ผมก็เห็นด้วยว่าไม่ควรเปลี่ยน จากคุณ : ExpressNet เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 01:40:40

ความคิดเห็นที่ 21 มาสูบความรู้ อิอิ ^^ ผมเป็นคนนึงที่ได้ความรู้ จากคุณ M_ple เยอะมาก ขอบคุณครับที่เอื้อเฟื้อเพื่อแผ่กัน จากคุณ : Bkbook เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 02:15:17

ความคิดเห็นที่ 22 ผมไม่ใช่นักเศรษศาสตร์ แต่มีบางขัอที่ผมสะดุด 1. ที่แบงค์ชาติสรุปว่าตั้งแต่ ใช้ IT มาก็คุมเงินเฟ้ออยู่ ผมโต้เถึยง หน่อยว่า แน่ใจหรือว่า การที่คุมเงินเฟ้ออยู่นั้นเกิดจาก การปรับดอกเบี้ย ถ้าหวนย้อยกลับไป ในช่วงไม่เกิน 10 ปี องค์ประกอบใหญ่ที่ทำให้ ปั่นป่วนคือราคาน้ำมัน ที่ไปดึงราคาสินค้าอื่นพุ่งตาม รวมทั้งการขาดแคลนสินค้าโภตภ้ณบางชนิด การที่ยังคุมเงินเฟ้อได้ ผมคิดว่ามาจากมาตราการรัฐในการแทรกแซง ตรึงราคาสินค้ามากกว่า จำได้ว่า ครั้งที่ รัฐบาลสมัครออก นโยบาย น้ำไฟรถเมล์ฟรี แบงค์ชาติยังออกมายอมรับว่า มาตราการเหล่านั้นช่วยคุมเงินเฟ้อได้มาก 2. หรือแม้แต่การปรับค่าแรง 300 ที่กลัวกันมาก เรื่องเงินเฟ้อ แต่ก็ยังไม่ได้แสดงอาการอย่างที่กังวล ซึ่งเรื่องเหล่านี้ คุมได้เพราะมาตราการรัฐมากกว่าเรื่องดอกเบี้ย แต่สำหรับกรณ๊นี้ การใช้ FX จะช่วยได้หรือไม่อันนี้ผมก็ไม่มีความรู้  อาจจะได้โดยช่วยให้ต้นทุนผลิตสินค้าด้านอื่นลดลงชดเชย 3.เรื่อง expectation ในส่วนที่เป็นเรื่องของอารมณ์และความความรู้สึก ปัญหานี้ไม่ได้แก้ด้วยที่ดอกเบี้ย หรือ FX แต่อยู่ที่ความเชื่อมั่นต่างหาก ดังนั้นจะใช้อะไรก็ได้ ถ้าทำให้ประชาชนเชื่อมั่น แล้ว มีผลเป็นไปตามนั้น เช่นกรณ๊น้ำมันแพงมาก ต่อให้ ธปทขึ้นดอกเบี้ยเท่าไหร่มันก็แก้ไม่ได้ ระยะแรก สมมุติประชาชนเชื่อว่าแก้ได้ แต่ต่อมา ราคาต้นทุนสินค้ามันขึ้นหมด ในที่สุดประชาชนก็จะไม่เขื่อ ตรงนี้ มาตราแทรกแซงรัฐจึงเป็นส่วนสำคัญที่ ต้องเข้ามาควบคู่กัน 4.ผมเองรู้สึกว่า การใช้ IT มันไม่ตรงกับปัญหาหลักที่มากระทบกับเศรษกิจบ้านเราใช่วงหลังๆ  เรื่อง FX น่าจะตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นช่วงหลังมากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าถ้าใช้ เป้าหมาย FX เขาทำกันอย่างไร เมื่อย้อนคิดไป เขาใช้วิธีเดียวกับเมื่อปี 40 หรือเปล่า ที่ แบงค์ชาติเจ๊ง ก็ทำให้กลัวๆอยู่เหมือนกัน   5.ดังนั้น จริงๆแล้ว นโยบายในการแก้ปัญหา ทำไมจะต้องมี เพียงอันเดียว ธปท ควรจะมีหลายๆวิธี เพื่อใช้ให้เหมาะกับเหตุการณ์ ในเหตุการณ์หนึ่ง อาจใช้ทั้ง 2 อย่างผสมกันก็ย่อมได้ ใครห้ามล่ะ จากคุณ : ปุถุชนคนไทย เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 06:57:21

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลและความรู้ หลังจากคุณ m_ple พาไปเที่ยวต่างปวะเทศซะนาน ในที่สุดก็ได้มาดูบ้านเราเองซะที จากคุณ : แอปเปิ้ลน้อยสีชมพู เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 06:58:15

ความคิดเห็นที่ 24 ผมว่าอยู่ที่จุดที่ยืนอยู่   แบงค์ชาติก็คือ มนุษย์เงินเดือน  ไม่รับผิดรับแต่ชอบตามระบบรัฐวืสาหกิจ    ส่วน ดร.โกร่ง ท่านออกมาอยู่ เอกชนหรือ นายทุน เจ้าของกิจการ  แสวงหากำไร   ไม่มีทฤษฎีใดๆทั้งสิ้น  คนกินเดือนก็อยากได้ดอกเบี้ยแพงทันเงินเฟ้อ   เจ้าของกิจการก็อยากได้เงินกู้1% อย่างสหรัฐ   บริหารแบบเช้า 1ชาม  เย็น1 ชาม ก็รัฐวิสาหกิจไทย จากคุณ : ประชาชนกทม. (พ่อมดหุ้นไทย) เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 07:01:27

ความคิดเห็นที่ 25 จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 07:42:31

ความคิดเห็นที่ 26 2540 ไทยพัง ดร คนนี้ เป็นรองนายก นะครับ จากคุณ : ขุนนนท์ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 08:26:15

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณคุณเปิ้ลครับ จากคุณ : ลูกขวาน เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 09:18:45

ความคิดเห็นที่ 28 # 26 ถ้าดูข้อมูล เพียง snapshot ก็คงไม่ผิด แต่อยากให้ดูลึกกว่านั้น รองนายกคนนี้ ที่อยู่ตอนนั้น ทำอะไร จึงพังตอนนั้น ธปท ที่เจ๊งเพราะการแทรกแซงค่าเงิน เกี่ยวข้องอย่างไร กับนโยบายของ รบ ขณะนั้น   ทุกอย่างมันมีคำตอบ ในตัว จากคุณ : ปุถุชนคนไทย เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 09:35:22

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ อ่านจบแล้ว ชักเหมือนตอนจะซื้อหุ้นเลย ได้ข้อมูลเยอะ แต่ตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีว่าจะซื้อดีไม่ซื้อดี จากคุณ : BT82 เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 09:39:53

ความคิดเห็นที่ 30 เป็นบทความที่ดีมาก และน่าจะ save เก็บเอาไว้อ่านเพิ่มรอยหยักในสมองครับ ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้มากนัก ได้อ่านบทความที่อธิบายง่ายๆแล้วรู้สึกว่าดี หลายๆคนในเวปนี้ก็คงเห็นเหมือนกัน ต้องขอบคุณ คุณ m_ple มากครับ คห. 3 คิดว่าคงพิมพ์ผิดครับ เนื่องจากระบบเศรษฐกิจของประเทศเราเป็นแบบเล็กและปิด (Small and Open Economy) น่าจะเป็นแบบเล็กและเปิด ตามคำในวงเล็บอังกฤษครับ จากคุณ : กฤษณะ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 09:44:08

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณค่ะ ชอบมากเลยกระทู้แบบนี้ มีน้ำใจ มีอะไรก็เอามาแบ่งปัน ชี้แจง โต้แย้งได้ เคารพในความคิดเห็นที่หลากหลาย อยากให้มีกระทู้ดี ๆ แบบนี้ในสินธรเยอะ ๆ จากคุณ : kitv เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 09:54:00

ความคิดเห็นที่ 32 เอาง่ายๆสั้นๆ ผมไม่ชอบ ดร.โกร่ง ครับ จากคุณ : นางฟ้ายังต้องมนต์ เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 10:02:16

ความคิดเห็นที่ 33 ผมว่า FX Targeting   มี side effect มากเกินกว่าที่เราคิดได้ครับ จากคุณ : จินหยง เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 10:35:17

ความคิดเห็นที่ 34 กระทู้อุดมโปรตีน จากคุณ : กุ้งบก เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 10:48:13

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณครับสำหรับบทความครับ คุณ m_ple จากคุณ : Sylphs เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 11:33:17

ความคิดเห็นที่ 36 ขอถามครับ แล้วที่บอกว่าจะใช้ FX นี่ เขาจะทำกันอย่างไรครับ จะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ ตามที่ต้องการเองเลยเหรอครับ มันก็จะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนสิ แล้วมันสามารถหรือ เดี๋ยวก็จะโดนโจมตีค่าเงินแบบสมัยปี 40 จนเจ๊งมาทีนึงแล้วไม่ใช่หรือ แล้วแนวโน้มการใช้แบบนี้ ก็มีหวังว่ารัฐบาลจะต้องกดให้ค่าเงินอ่อนๆ อยู่แล้ว ซึ่งมันจะสวนทางกับเงินเฟ้อเลยทีเดียว ถึงตอนนั้นมันไม่น่าจะไปรอดนะ เพราะถ้าค่าเงินอ่อน น้ำมันแพง เงินเฟ้อขึ้น ส่งออกเยอะ ธุรกิจขยายตัว ลงทุนกันมากขึ้น ในแง่นึงมันก็ดี มันรองรับกับค่าแรงที่จะสูงขึ้น รายได้ดีขึ้น แต่ราคาสินค้าเราก็จะสูงขึ้นอยู่ดี แล้วอุตสาหกรรมเราก็เป็นพวกเน้นแรงงาน หรือพวกรับจ้างผลิต ไม่ได้ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มอะไรได้มากมาย สุดท้ายส่งออกมันก็จะไม่ได้อย่างที่คิด ผมว่ากำหนด FX มันจะดีในระยะสั้น ช่วงแรกๆ ที่เริ่มใช้ (ของชอบของนักการเมือง) แต่ระยะยาวจะส่งผลเสีย แบบเ้มื่อก่อนที่ใช้ BIBF แต่ยังใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่อยู่ เงินมันก็ไหลเข้า แต่สุดท้ายก็เจ๊งเพราะกู้กันเพลิน คืออยากได้เงินเยอะๆ เศรษฐกิจหมุนเวียน นักการเมืองมีเงินใช้สนุกมือ แต่ไม่มีแผนระยะยาวมารองรับ จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 11:34:37

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ เปิดกระโหลกกะลาได้เยอะเลย จากคุณ : manamao เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 11:44:01

ความคิดเห็นที่ 38 แวะเข้ามาโหวตและฝากข่าวให้คุณเอมเปิ้ลครับ ถ้าวันอาทิตย์ที่ ๑๔ ตุลาคมมีเวลาว่างช่วงเที่ยงถึงย่ายสี่โมง เขิญมาพบปะพูดคุยกันได้ คุณธราธิปจะขึ้นมาจากชุมพรครับ อยากฟังความเห็นด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคของคุณเอมเปิ้้ล ตอนนี้  กำลังวิตกตัวเลข ขาดดุลเดินยัญชีดุลสะพัดครับ ! แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 55 11:57:21 จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 11:56:30

ความคิดเห็นที่ 39 ความรู้จัดเต็ม ขอบคุณครับ จากคุณ : prateep-na เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 12:33:37

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณมากค่ะ ได้ประโยชน์มากเลย ส่วนตัวเชียร์ IT สำหรับเราแล้วอะไรที่ดีอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไปเปลี่ยนมัน นอกเสียจากจะเห็นผลแน่ชัด ว่าอีกสิ่งดีกว่าที่เห็น จริงๆ รออ่าน เรื่อง QE นะคะ >////< จากคุณ : amakin เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 17:32:31

ความคิดเห็นที่ 41 ผมสงสัยนิดนึงครับ สมมติถ้าเราเปลี่ยนนโยบายการเงินตามแบบที่ ดร.โกร่งเสนอมา แล้วไม่ใช้ IT เมื่อน้ำมันแพง เราจะทำให้บาทแข็ง (ถ้าเราสามารถคาดการราคาน้ำมันได้ เราก็สามารถเก็งกำไรค่าเงินบาทได้ใช่มั้ยครับ) ทีนี้ เมื่อเราทำให้บาทแข็ง เราก็จะโดนโจมตีค่าเงินบาทแบบปี 40 รึเปล่าครับ แล้วเรามีมาตรการป้องกันรึเปล่าครับ จากคุณ : Ryotaro เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 17:36:57

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : oakome เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 19:42:52

ความคิดเห็นที่ 43 อ่านแล้วเข้าใจขึ้นเยอะเลยครับ ส่วนตัวอยากรู้เหมือนกันว่าถ้าใช้เป้า FX มันจะเกิดผลกระทบกับประเทศขนาดไหน? ปล. ทางอินโดฯ ที่เค้าดอกเบี้ยสูงแต่เงินทุนต่างชาติต่ำ เป็นเพราะมาตรการกำกับของประเทศเค้าหรือเปล่าครับ จากคุณ : แม่ไม่ให้เล่นวินนิ่ง เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 21:28:57

ความคิดเห็นที่ 44 ถามแบบคนไม่มีความรู้พอเช่นกัน แล้วการทำให้ค่าเงินอ่อนอย่างที่กล่าวๆ กันทำอย่างไร พิมพ์เงินเหรอ หรือว่า ลดดอกเบี้ยลงไปอีก คือเป็นกังวลว่า ถ้าลดดอกเบี้ยลงไปอีก คนเฒ่าคนแก่ที่กินเงินเดือนจากดอกเบี้ยในช่วงบั้นปลายชีวิตจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าลดดอกลงไปมันจะกระทบกับอัตราเงินเฟ้อไหม ปล. ไม่คิดว่า ระบบใด ระบบหนึ่งดี แต่น่าจะเอาทั้งสองวิธีมาประสานรวมกันน่าจะดีกว่า จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 21:59:49

ความคิดเห็นที่ 45 หนูอ่าน 2 รอบค่ะ  เพื่อจะเข้าใจได้สักครึ่ง  555+ จากคุณ : hispeedxxgirl เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 55 23:32:47

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณครับ ^^ จากคุณ : SundayroyaL เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 02:09:56

ความคิดเห็นที่ 47 ดร.โกร่งแก พูดว่าถ้ากู้มา3.5แสนล้าน ประเทศไทยจะไม่มีน้ำท่วมจนกัลปวสาน T_T ผลงานในอดีตพอจะบอกอนาคตได้ จากคุณ : doctorpond เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 09:52:06

ความคิดเห็นที่ 48 ความจริงประเทศไทยก็ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับหนึ่งนะครับ ที่เขาเรียกว่า managed float นั่นไง ค่าเงินบาทมีการควบคุม เพียงแต่ไม่ใช่ "เป้าหมาย" ในการดำเนินนโยบาย ปัจจุบันแบงก์ชาติอาจเข้าแทรกแซงตลาด FX (ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ) เป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่เป็นการพยายามสร้าง "ความหนืด" ให้เกิดขึ้นในอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งหมายความว่าค่าเงินบาทแกว่งได้ move ได้ แต่จะไม่เร็วมากมายนัก ทำให้ผู้ส่งออกและผู้นำเข้ามีเวลาปรับตัวและรับมือกับอัตราแลกเปลี่ยน ในทางกลับกันการ "เปลี่ยน" เป้าหมายมาอยู่ที่ค่าเงิน เท่ากับว่าแบงก์ชาติไม่ได้สร้างแค่ความหนืดอีกต่อไป แต่ต้องดึงค่าเงินบาทให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ด้วย ข้อควรระวัง คือ ในซีกของเงินบาทเองมีความเสี่ยงในเรื่องของ fund flow เพราะประเทศไทยค่อนข้างเล็กในแง่ของระบบเศรษฐกิจ ขณะที่ซีกของค่าเงินอ้างอิง (เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร) ก็ยังมีความเสี่ยงในเศรษฐกิจของประเทศเขา หากปัญหาเศรษฐกิจทางฝั่งอเมริกาหรือยุโรปเกิดระเบิดขึ้นมา ค่าเงินดอลลาร์หรือยูโรจะเหวี่ยงให้ค่าเงินบาทของเราหลุดกรอบนโยบายไปด้วย ซึ่งอาจจะหมายความว่าแบงก์ชาติต้องเข้าแทรกแซงตลาด FX มากขึ้นและบ่อยขึ้น เมื่อเทียบกับของเดิมที่เข้าแทรกแซงแค่ให้เกิดความหนืด อาจารย์โกร่ง ผมก็นับถือนะครับ แต่ความเห็นของคนที่เรานับถืออาจจะไม่ถูกต้องไปเสียทุกเรื่อง สำหรับกรณีนี้ผมว่า "อะไรที่ดีอยู่แล้วก็อย่าไปยุ่งกับมันเลย" จากคุณ : Antonio at MonkeyFreeTime เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 17:03:18

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามารับชมนะครับ ขอตอบบางคำถามดังนี้ครับ (ถามต่อได้เรื่อยๆ นะครับ) คห.30 คุณ กฤษณะ ใช่ครับ แก้ไขให้แล้วครับ ขอบคุณมากนะครับ จะบอกว่า กระทู้นี้ มีพิมพ์ผิด มีตกหล่นเยอะมากกก บางความเห็นไม่ได้ใส่รูปด้วย T-T เดี๋ยวจะทยอยๆ แก้ไขให้นะครับ ;) คห. 36 คุณ TingTing ผมเข้าใจว่าไม่ได้ Fixed ค่าเงินนะครับ แต่จะปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่กำหนดไว้ ยกตัวอย่าง คงคล้ายๆ กับสิงคโปร์ครับ สิงคโปร์เค้าจะมีทิศทางให้ เช่น เค้าบอกว่า ค่าเงินของเค้าจะ "gradually appreciate" จากนั้นตลาดก้อไปตีความกันเอาเองครับ ว่า gradually มันขนาดไหน บลาๆๆ คห. 38 เฮียเอนโด โอ้ว ได้ครับ ถ้าไม่ติดงาน (เดี๋ยวนี้มีทำงานเสาร์อาทิตย์ด้วย ^^") จะเข้าไปสวัสดีพี่ๆ นะครับ ;) คห. 41 คุณ Ryotaro ถ้าสมมติว่าเปลี่ยนไปใช้ FX targeting จริงๆ งวดนี้ เราคงไม่โดนโจมตีค่าเงินหรอกครับ เพราะบริบทมันต่างกัน งวดก่อน เราทั้ง fix ค่าเงิน ทั้ง free เงินทุนไหลเข้า แถมยัง fix อัตราดอกเบี้ยในประเทศด้วย ซึ่งในทางทฤษฎีมันเป็นไปไม่ได้ครับ (รู้จัก Impossible Trinity ไหมครับ ถ้าไม่ค่อยคุ้น ถามมาอีกทีนะครับ จะอธิบายให้อีกรอบหนึ่งครับ) แต่ในบริบทปัจจุบันที่พูดกัน เราจะ fix แค่ค่าเงิน (ซึ่งจริงๆ ไม่ได้ fix แต่แค่กำหนดทิศทาง แต่ถ้าจะ fix ก้อได้) กับ free เงินทุนไหลเข้า แต่เราจะไม่ fix อัตราดอกเบี้ยครับ ปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเท่าๆ กับอัตราดอกเบี้ยโลก ดังนั้น งวดนี้ เราก้อคงไม่ได้กู้นอกมากมาย เหมือนตอนปี 97 ครับ และด้วยเหตุนี้ โอกาสที่จะโดนโจมตีค่าเงินน่าจะน้อยกว่าเมื่อปี 97 ครับ คห. 43 คุณ แม่ไม่ให้เล่นวินนิ่ง ใช่ครับ นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญครับ อีกส่วนเป็นเพราะว่า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ค่าเงินอินโดมีแน้วโน้มอ่อนค่าครับ ต่อให้ได้กำไรจากอัตราดอกเบี้ย แต่ก้ออาจขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ (รวมถึงมีความเสี่ยงเรื่องฟองสบู่ด้วย) ดังนั้น เงินทุนไหลเข้าจึงไม่เยอะเท่าไรครับ อย่างไรก้อดี ประเด็นของผมคือ อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่เหตุผลเดียวต่อการไหลเข้าของเงินครับ ผมแค่อยากจะบอกแค่นี้ล่ะ ;) คห. 44 คุณ bangkokguy (ยินดีครับ ถ้ารู้แล้วก้อคงไม่ต้องถามหรอก จริงไหม ^^) ในทางปฏิบัติก้อคงเป็นเช่นนั้นครับ ถ้าต้องการให้บาทอ่อน ก้อต้องปล่อยบาทออกมาในตลาดเยอะๆ ซึ่งถ้าที่มีอยู่มันไม่พอ ก้อต้องพิมพ์เพิ่มออกมา ;) และถ้าบาทในตลาดมีเยอะ อัตราดอกเบี้ยก้อคงต่ำลงอัตโนมัติครับ และก้อคงจริงครับ คนที่พึ่งพารายได้จากดอกเบี้ย อาจจะลำบากนิดหนึ่งครับ ^^" จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 55 22:35:33

ความคิดเห็นที่ 50 กระทู้แบบนี้ที่ผมชอบครับ ไม่มีอคติ ไม่เอนเอียง วิชาการล้วน ๆ มองรอบด้าน และเสนอความเห็นโดยอ้างจากข้อเท็จจริง กระทู้แบบนี้ ยิ่งอ่านยสมองยิ่งหยักเพิ่มครับ จากคุณ : Skyman (Analayo) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 00:42:28

ความคิดเห็นที่ 51 คิดถึงคุณ Skyman เรื่องอาวุธนะครับ จากคุณ : bangkokguy เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 10:36:20

ความคิดเห็นที่ 52 เข้าใจง่ายดีค่ะ จากคุณ : MaMiPoKo เด็กหญิงข้างหน้าต่าง เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 55 15:31:08

ความคิดเห็นที่ 53 ผมยังติดใจ IT อยู่นิดนึง เรื่องการขึ้น Interest แล้วจะช่วยให้เงินเฟ้อลดลง อันนั้นน่าจะช่วยในแง่ Demand pull แต่ปัญหาหลักๆ ของบ้านเราคือ Cost push (ราคาน้ำมันตลาดโลก) ถึงจะขึ้นดอกเบี้ยไปเท่าไหร่  มันก็ไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อลดลง กลับยิ่งซ้ำเติมให้ธุรกิจที่ต้องกู้เงินมาลงทุน มีภาระหนักขึ้น ผมไม่คิดว่าแบงค์ชาติ จะ Aggressive ถึงขนาดว่า บ.ที่ทนดอกเบี้ยสูงๆ ไม่ไหว ก็เจ๊งไปสิ ถ้าเจ๊งแล้ว เงินเฟ้อจะลดลงเอง เพราะรายได้คนจะลดลง โดยส่วนใหญ่ ที่อ้างว่าใช้ IT แล้ว control เงินเฟ้อได้อยู่หมัด ส่วนนึงมาจากนโยบายการคลังเหมือนกัน เช่น ลดภาษีน้ำมัน ลดภาษีนิติบุคคล และโดยที่ผ่านมาถ้าเงินเฟ้อพุ่ง คนที่จะโดนด่าก่อนคือ รบ ไม่ใช่แบงค์ชาติ ที่เงินเฟ้อพุ่งก็ขึ้นดอกเบี้ย จากคุณ : FisherBoy เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 15:09:01

ความคิดเห็นที่ 54 ^^ ^^ กำลังจะพูดเหมือนคห 53 เลยค่ะ การใช้ IT ของแบงค์ชาติมันจะได้ผลก็ต่อเมื่อ Demand pull แต่ในกรณีเงินเฟ้อจาก Cost push ที่เกิดหลายครั้งนี่ โดยเฉพาะตอนวิกฤติน้ำมัน จำได้ว่าแบงค์ชาติก็ขึ้นดอกเบี้ย แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เงินเฟ้อลดลง แต่ที่มันลดลงได้เพราะนโยบายที่เข้ามาแทรกแซงตลาดของรัฐบาลมากกว่า แต่ว่าส่วนอื่นๆก็เห็นด้วยกับจขกทนะคะ ชอบอ่านบทความของจขกทมาก ติดตามมาตั้งแต่ตอนวิกฤติกรีซ ขอบคุณสำหรับความรู้ด้วยค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 55 15:58:52 จากคุณ : Tazjung เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 15:57:49

ความคิดเห็นที่ 55 ขอบคุณ จขทก ครับ ทำให้เรื่องยากๆ เข้าใจได้ง่ายเลย บังเอิญไปเจองานเขียนของท่าน ที่เขียนไว้เมื่อปี 49 เกี่ยวกับเรื่อง Inflation Targeting ซึ่งน่าจะคล้ายๆ กับที่ จขทก เขียนไว้ข้างบน http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2006/12/B5007358/B5007358.html และก็แอบเห็นด้วยกับตอนท้ายของบทความ ที่อยากให้มีการควบคุมพฤติกรรมของพวกกองทุน hedge fund ได้แล้ว (แต่ก็เข้าใจว่า พี่กันถือหางอยู่ ก็คงยาก) จากคุณ : tum426 เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 55 21:22:14

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณคุณ m_ple มากๆครับ และจะรออ่าน QE3 นะครับ ปอลิง ปีหน้าว่าจะขอสาว ยังไม่ได้ซื้อทองเลย เปิดข่าวมาตอนเช้า ทองขึ้นไปแล้ว 450 บาท เฮ่อ เอาไงดีครับเนี่ย จากคุณ : deletenumlock เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 55 10:42:16

ความคิดเห็นที่ 57 ผมว่าบางทีที่ขึ้นดอกเบี้ยแล้วกดเงินเำฟ้อไม่ลง เพราะบางทีเกิด time lag เกิดขึ้นครับ ซึ่งบางที่เกิดจากผู้บริโภคมีการคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากการใช้นโยบาย ได นโยบายหนึ่ง ขึ้นมา ทำให้การดำเนินนโยบายไม่เห็นผลครับ ปล คืนอาจารย์ไปหมดแล้วครับความรู้ จากคุณ : goho เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 12:15:22

ความคิดเห็นที่ 58 ถ้าประชานิยม มากเท่าไร อัตราเงินเฟ้อก็จะเพิ่มเิป็นเงาตามตัว ดังนั้นแบงค์ชาติจะต้องเหนื่อยมากในการคุมอัตราเงินเฟ้ัอที่ต้องต่อสู้ กับนโยบายประชานิยม ณ.เวลานี้ผมเห็นใจแบงค์ชาติครับ จากคุณ : Buree เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 18:51:41

ความคิดเห็นที่ 59 #57 ช่วยอธิบายผมหน่อยละกันว่า ถ้าเงินเฟ้อเกิดจาก Cost push ขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ลดเงินเฟ้อได้ยังไง #58 ส่วนประชานิยม อาจจะทำให้ demand pull ได้ แต่ส่วนใหญ่เิงนเฟ้อ ที่เราเจอจะเป็น Cost push มากกว่า ประชานิยม นโยบายไหน ที่ทำให้เกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรงมั่งครับ ค่าแรง 300 , จำนำข้าว , ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ??? ตัวเลขโดยแบงค์ชาติเองเพิ่งจะออกมาว่าไม่กระทบกับเงินเฟ้อ เท่ากับที่นักวิชาการส่วนใหญ่คิดว่าจะกระทบมากในตอนแรก ผมว่าอยากให้คุยกันในหลักวิชาการ มากกว่าจะใช้อคติ กับรัฐบาลมาหักล้างเหตุผลกัน จากคุณ : FisherBoy เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 55 20:11:05

ความคิดเห็นที่ 60 cost pull โดย ปกติการแก้ไขโดยการใช้นโยบายการคลังที่เข้มงวดขึ้นครับ เช่นการขึ้นภาษี หรือ การลดการใช้จ่ายของภาครัฐ ครับ ซึ่งจะมีผลทำให้ อุปสงศ์รวมลดลงครับ ทำให้ลด เงินเฟ้้อลงมาได้ครับ หรือ วิธีการที่เป็นที่นิยมครับ ขึ้นดอกเบี้ยครับก็จะลดอุปสงศ์รวมลงมาได้ โดยที่การขึ้นดอกเบี้ย จะไปส่งผลโดยตรงกับภาคธุรกิจเป็นหลักครับ ถ้าพูดกันตามทฤษฎี ต้นทุึนการลงทุนของธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นครับ การลงทุนก็จะน้อยลง มีผลทำให้อุปสงศ์มวลรวมลดลง ( อุปสงค์รวม = การบริโภค+การลงทุน+การใช้จ่ายภาครัฐ + ส่งออกสุทธิ ) โดยที่ปัจจัยอื่นไม่เปลี่ยนนะครับ วิธีทั้ง 2 แบบ ลดเงินเฟ้อได้ครับตามทฤษฎี แต่ในโลกของความจริงการดำเนิน นโยบายทั้งสองแบบ ก็อยากจะไม่ได้เกิดผลอะไรเลยก็ได้ครับ เพราะตอนคิดทฤษฎี เป็นการวิเคราะห์ ณ จุดๆหนึ่งครับ ซึ่งช่วงหลัง ก็มีแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ๆ ที่คิดถึงพฤติกรรมของคนเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นเรื่องการคาดการณ์ อุปสงศ์ กับคาดการณ์ อุปทาน ของคน ทำให้เกิด time lag ของนโยบายครับ โดยส่วนตัวผมคิดว่า ประเทศเรา ทั้งนโยบายการคลังกับการเงินมักไม่ค่อยเป็นไปในทางเดียวกันครับ นโยบายมันก็เลยขัดๆกันอยู่ ผมก็เข้าใจนะครับว่าต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ถ้า 2 นโยบายประสานกันได้ ผมว่าประเทศเราไปได้ไกลกว่านี้ครับ ผมตอบคุณ FisherBoy แค่นี้นะครับ ขออภัยที่เรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยดี แล้วก็ความรู้ได้อื่นอาจารย์ไปเยอะและเนื่องจากไม่ค่อยได้ใช้ด้านนี้ทำงานมากนัก จากคุณ : goho เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 00:26:51

ความคิดเห็นที่ 61 #60 ผมว่าท่าทางคุณคืนอาจารย์ไปหมดแล้วจริงๆครับ ถ้ายังไม่เข้าใจ Cost push , Demand pull ที่คุณบอกมันคือ Demand pull แต่ที่ผมกำลังตั้งข้อสังเกต คือ เงินเฟ้อบ้านเราที่พบปัญหามันคือ Cost push ครับ จากคุณ : FisherBoy เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 09:24:29

ความคิดเห็นที่ 62 Cost pull เมื่อต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นมันก็จะส่งผลทำให้ อุปทานรวมของเศรษฐกิจลดลงครับ จะแก้ไขก็ต้องดึงอุปสงศ์รวมลงมาครับ ไม่งั้นก็แก้ไม่ได้ครับ ที่ผมบอกว่าต้องเพิ่มภาษี หรือลดการใช้จ่าย (นโยบายการคลัง ) ลดปริมาณเงิน เพื่อดึงอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มันเป็นการดึงอุปสงค์รวมให้ลดลง เพื่อแก้ไขครับ อันนี้ว่ากันตามทฤษฎีครับ ไปและ ไม่เข้ามาตอบแล้วครับ ฟิ๊วววววว จากคุณ : goho เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 10:10:06

ความคิดเห็นที่ 63 ส่วนตัวผมว่าคำแธิบายแปลกๆนะครับ ทำไมภายใต้กรอบ IT จึงทำให้ราคาเงินเฟ้อในประเทศหมุนตามเงินเฟ้อต่างประเทศ ในเมื่อ Purchasing power parity(PPP) บอกว่า (P_thai)=(Exchange rate)(P_world) ดังนั้น เงินเฟ้อไทย=การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน+เงินเฟ้อต่างชาติ ถ้าเช่นนั้นต้องบอกว่าภายใต้กรอบ FX ต่างหากที่ทำให้เงินเฟ้อจากภายนอกถ่ายทอดเข้ามาสู่เงินเฟ้อในประเทศตรงๆ ประเด็นว่าดูจากกราฟแล้วเห็นว่าตัวเลขวิ่งใกล้ๆกันเพราะ ช่วงแรกเราใช้ Fixed exchange rate แล้วช่วงหลังมี World shock ที่ส่งผลกับทั้งโลกหรือเปล่า จึงเสมือนว่าข้อมูลวิ่งไปด้วยกัน จากคุณ : invariance เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 14:35:30

ความคิดเห็นที่ 64 1.ประเด็น คือ ดร.โกร่ง บอกว่าเราเป็นประเทศเล็กและเปิด การควบคุม Infation ไปก็เท่านั้น เพราะเราเป็น Price Taker จากกราฟอันที่สองก็ยืนยันได้แล้วว่าเราควบคุมได้ผล แต่ก็ต้องมา ถามว่าทำไมถึงได้ผล ซึ่งแบงค์ชาติบอกว่า Effect ที่สำคัญที่ทำให้เกิด Inflation คือ Expectation คือถ้าคนในประเทศเราคิดว่า Inflation จะสูงมันก็จะสูง ถ้าคิดว่าจะต่ำมันก็จะต่ำ จริงเหรอ?     1.1 คิดว่าจริงครับ เพราะ Inflation ของเรามักจะเกิดจากพวกพ่อค้าเป็นส่วนสำคัญ เพราะเมื่อ ราคาน้ำมันขึ้น พวกก็ขยับราคากัน ส่งผลให้ข้าวของแพงขึ้น รัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่เข้ามา แทรกแซงราคา และแบงค์ชาติก็ต้องก้าวเข้ามาและบอกว่าถ้า Inflation ยังสูงอยู่ก็จะขึ้นดอกเบี้ย และเมื่อตลาดรับรู้ว่ารัฐบาลกับแบงค์ชาติจะเล่นบทบาทนี้ พวกพ่อค้าก็จะไม่กล้าขึ้นราคาต่อไป อีก และตลาดก็จะ Expect ว่า Inflation ก็จะคงตัว ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่า Expectation จะส่งผลหรือไม่ส่งผลก็ขึ้นอยู่กับ พ่อค้าแม่ค้า ในประเทศนั้นมีส่วนกำหนดราคามาก น้อยแค่ไหน ถ้ามาก Expectation ก็จะส่งผลมาก ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยด้วย 2. ขึ้นหรือลดดอกเบี้ยมีผลทำให้เกิดเงินทุนไหลเข้าออกประเทศไทยหรือไม่ สำหรับผมคิดว่า เกี่ยว แต่ต้องเป็นระดับที่มากกว่าค่าๆหนึ่ง เช่น ดอกเบี้ยของไทยต้องมากกว่าของ US และ ยุโรป กว่า 3% (สมมุติ) ขึ้นไป ถึงจะเริ่มมีผลครับ (3% คือความเสี่ยงที่เงินลงทุนตีค่าประเทศของเรา) ถ้าเกิดความห่างมากกว่า 3% ขึ้นไป เราก็จะเริ่มได้เห็นเงินลงทุนไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆครับ ฉะนั้นช่วงนี้เราคงไม่ได้เห็นแบงค์ชาติขึ้นดอกเบี้ยแน่นอน เพราะเค้าต้อง concern เรื่องนี้ด้วย 3. ประเด็นเรื่องการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนนี่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งครับ เพราะ      3.1 เป็นการเพิ่มตัวแปลที่เราควบคุมไม่ได้เข้ามาในสมการเรา จะไปผูกกับประเทศไหน นโยบายของประเทศนั้นก็มากระทบเราด้วย ซึ่งเราไม่สามารถจะกำหนดอะไรได้      3.2 เราไม่สามารถบอกได้เลยครับว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมกับประเทศเราอยู่ที่ไหน ซึ่งแน่นอนความหมาบของรัฐบาลคือการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อเอาใจพวกส่งออก      3.3 การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการที่เราละทิ้งเครื่องมือในการ control infaltion expectation ของประเทศไป เพราะถ้าเราไปควบคุม Inflation ผ่านอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว มันจะ กลายเป็นว่าเราต้องการทั้งควบคุมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม และควบคุม inflation ทั้ง 2 อย่างพร้อมกัน ซึ่งถ้าในช่วงเวลาหนึ่งทั้งสองอย่างนี้เกิดต้องการอัตราแลกเปลี่ยนที่สวนทางกัน ก็จะลำบากมากในการตัดสินใจ      3.3 การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนก็ควรจะเลิกไปได้แล้ว เพราะมันเป็นการทำให้ประเทศเรา ไม่พัฒนาไปสู่ประเทศ High Income ครับ เพราะการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนให้อ่อน มันก็เป็น การ subsidy ให้พวกส่งออก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันเค้าไม่สูงขึ้น และไม่มีการปรับตัว ไปใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น หรือเปลี่ยนไปทำธุรกิจประเภทอื่น จากคุณ : sweetoil เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 55 15:59:15