ceo บัวหลวง เม่าควรอ่านครับ
|
|
ผู้ลงทุนระยะยาวจะแตกต่างกับนักเก็งกำไร (Speculator) อย่างชัดเจน เพราะผู้ลงทุนระยะยาวจะให้ความสำคัญกับมูลค่าหุ้นคือความถูกแพง และให้ความสำคัญกับมูลค่าธุรกิจที่ตนเองลงทุนมากกว่าไปติดตามราคาหุ้นรายวันที่เป็นไปตามอารมณ์ตลาด เขาจะให้ความสำคัญกับภาวะตลาดน้อยในช่วงสั้น และมีความอดทนในการรอคอย ส่วนรางวัลของการรอคอยนั้นก็คือผลตอบแทนที่ได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ใช่แค่ได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ เพราะเขาเข้าใจในธุรกิจที่เขาลงทุน และเขาเห็นศักยภาพในการทำกำไรของกิจการนั้นๆ จึงไม่จำเป็นต้องหวั่นไหวกับข่าวสารทุกวัน ไม่ต้องกังวลกับการวิ่งเข้าวิ่งออกตลาดหุ้นเป็นรายวัน เพราะ Business Model ของกิจการต่างๆ จะไม่เปลี่ยนภายในช่วงข้ามคืนหรือข้ามเดือน นอกจากนี้ ผู้ลงทุนระยะยาวจะวิเคราะห์กับคาดการณ์ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอนาคตเป็นหลัก นี่คือข้อแตกต่างจากนักเก็งกำไร นักเก็งกำไรนั้นลงทุนระยะสั้นกว่ามาก ซึ่งในระยะสั้น ข่าวสารต่างๆ และพฤติกรรมตลาดมีผลต่อราคาหุ้นมากที่สุด ดังนั้น นักเก็งกำไรจึงต้องติดตามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลา เช่นต้องติดตามว่าตอนนี้หุ้นใดอยู่ในกระแสนิยม มีการย้ายไปเล่นเซคเตอร์ไหนบ้าง QE3 จะออกไหมและเมื่อไหร่ฯลฯ ทั้งนี้ นักเก็งกำไรจะคาดเดาจิตวิทยาของผู้เล่นในตลาดหุ้นเป็นหลัก และนักเก็งกำไรที่มีความรู้ก็มักใช้เทคนิคัลเป็นเครื่องมือช่วย กับดูเรื่องกระเสเงินต่างชาติที่ไหลเข้าออกตลาด แต่ผู้ลงทุนระยะยาวจะดูปัจจัยพื้นฐาน แต่น่าเสียดายเหมือนกันที่นักเก็งกำไรส่วนใหญ่ของบ้านเรามักไม่ใช่ผู้มีความรู้ในการลงทุนที่เพียงพอ ถึงกับมีผู้จัดการกองทุนชาวต่างประเทศผู้หนึ่งที่มีฝีมือดีมากในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอาไปเล่าให้ผู้ลงทุนต่างชาติฟังในการสัมมนาใหญ่ด้านการลงทุนว่า ตลาดหุ้นไทยมีแต่นักเก็งกำไรแบบแม่บ้าน เขาพูดแบบนี้จริงๆ ที่แวนคูเวอร์ ในเมื่อมันเป็นความจริง จึงไม่โกรธที่เขาว่าผู้เล่นในตลาดบ้านเราเป็นแมงเม่า แต่เคืองนิดๆ เพราะคำว่าแมงเม่ามันไม่ได้ระบุเพศ ในขณะที่คำว่าแม่บ้านมันหมายถึงผู้หญิงชัดๆ เลย นักเก็งกำไรจำนวนมากนิยมซื้อขายหุ้นที่มีราคาต่อหุ้นถูก เช่นหุ้นละ 30 บาท 50 บาท แม้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) ของหุ้นนั้นจะแพง เขาก็ยังเข้าลงทุนถ้าราคาต่อหุ้นยังไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ นักเก็งกำไรจะมีต้นทุนการซื้อขายสูงกว่าผู้ลงทุนระยะยาว เพราะมีการซื้อขายบ่อยกว่า การลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง การลงทุนระยะยาวก็เช่นกันความเสี่ยงเฉพาะของการลงทุนระยะยาวคือการจมอยู่กับข้อมูลรายวันมากเกินไป ทำให้จิตไม่นิ่ง และทำให้การลงทุนแกว่งไปตามอารมณ์ตลาดได้ ทั้งๆ ที่กฏข้อแรกของการลงทุนระยะยาวคือเมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นใดที่มีการพินิจพิเคราะห์อย่างดีแล้ว จะต้องไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์และพฤติกรรมตลาดในช่วงสั้นๆ หนทางแก้ไขคือ ต้องรู้จักกระจายการลงทุน ซึ่งต้องทำให้เหมาะสม ไม่กระจายมากเกินไปจนเกินกำลังตน และต้องเน้นลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพในการทำกำไร (Quality of earnings) มีทีมผู้บริหารของบริษัทที่มีความสามารถ และมีธรรมาภิบาล ที่ผ่านมาคนไทยที่ลงทุนในหุ้น มักจะไม่นิยมการลงทุนระยะยาว เพราะคนไทยไม่อดทน ไม่เข้าใจ ตื่นตระหนกกับความผันผวนของราคาในช่วงสั้นๆ แต่ปัจจุบันเริ่มมีนักลงทุนระยะยาวเพิ่มขึ้น เพราะนักลงทุนเข้าถึงข้อมูลการลงทุนได้ง่ายขึ้น มีการให้ความรู้เรื่องการลงทุนมากขึ้น มีการเผยแพร่เรื่องการวางแผนชีวิตและเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ทำให้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเกิดขึ้นเพื่อรองรับ เช่น กองทุนรวมระยะยาว กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ กับการลงทุนและคุ้มครองตนเองผ่านประกันชีวิต แต่ใช่ว่าเมื่อลงทุนระยะยาวแล้วจะต้องทนถือไปตลอดหรือขายออกไม่ได้ เพราะการลงทุนระยะยาวสามารถทำควบคู่ไปกับลงทุนแบบ Trading ได้เช่นกัน เช่นในบางช่วงที่อยู่ๆ ราคาหุ้นก็ปรับตัวเร็วเกินไป หรือเกินกว่าที่บริษัทจะทำกำไรได้เร็วขนาดนั้นจริง เราก็ต้องลดน้ำหนักการลงทุนลง อาจจะลดทั้งหมดหรือบางส่วนก็แล้วแต่กรณี เพราะเวลาตลาดเริ่มรับรู้ว่ากำไรขนาดนั้นมันไม่ใช่ ณ วันนี้ ก็จะขายออก และอาจเร่งขายแบบตลาดแตก (Panic sell) เราจะได้มีเงินสดมารับซื้อของถูกได้ แต่หากไม่รู้จังหวะไหนที่ราคาหุ้นเกินพื้นฐานกำไร หรือขึ้นเร็วไปแล้ว ก็ขอให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมจะดีกว่า
จากคุณ |
:
jjs
|
เขียนเมื่อ |
:
15 ก.ย. 55 01:50:56
|
|
|
|