ความคิดเห็นที่ 1 กู้เงินมาเยอะ แล้วทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่เพียงพอชำระหนี้รึปล่าวครับ จากคุณ : phattharasiri เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 03:21:08

ความคิดเห็นที่ 2 เพราะก่อนจะมีกิจการหรือก่อนจะขยายกิจการ มีงบประมาณน้อยกว่าที่จะทำได้ครับ จึงต้องไปกู้มา กิจการเลยใหญ่มีรายได้เยอะและกำไรก็เยอะ แต่ที่ว่ากำไรเยอะเจ้าหนี้ก็รอเก็บดอกเบี้ยกับเงินต้นอยู่ด้วย พอบริษัทไม่สามารถมีกำไรได้มีการขาดทุน เงินสดที่เอาไว้ลงทุนเป็นเงินหมุนในกิจการก็ไม่มีก็ต้องไปกู้เพิ่มเพื่อให้ยังรันได้อยู่ แต่ถ้ายังขาดทุนอีกก็ยิ่งขาดทุนสะสมไปอีก ก็จนต้องปิดตัวไปแต่หนี้ก็ไม่ได้หายไปไหนนะครับ การที่กิจการมีผลการดำเนินงานเป็นลบนั้นจะเกิดได้จากหลายสาเหต หลักๆก็อาจจะเป็นเพราะภาวะเศราษฐกิจไม่ค่อยดี ยอดรายได้จึงหด หรืออจจะเป็นที่การบริหารจัดการทำให้กำไรไม่ได้เท่าที่ควร หรือโดนคู่แข่งทางธุรกิจแย่งตลาด หรืออาจจะเป็นเพราะกู้เยอะเกินไปจนเกินตัวนี่แหละ มีน้อยบริษัทนะครับที่จะไม่มีหนี้ อาจจะพอๆกับถามว่าบ้านไหนไม่มีหนี้บ้าง ประเทศทั้งประเทศก็ล้มละลายกันมาแล้ว ซึ่งหนี้จากภาคเอกชนหรือรัฐเอง ที่เป็นตัวที่คอยลงดาบอยู่ครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 04:17:17 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 04:07:17 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 04:05:26 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 04:01:07 จากคุณ : แน่ข้างเดียว เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 04:00:33

ความคิดเห็นที่ 3 น่าจะเป็นเพราะ กู้เงินมาเยอะหนะครับ แล้วไม่มีตังใช้หนี้ อย่างอื่นยังคิดไม่ออก จากคุณ : H-vichaiyut เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 04:02:46

ความคิดเห็นที่ 4 มีหนี้มากเกินไปค่ะ เดาเอาว่าน่าจะมีการกู้ยืมมาลงทุน แต่รายได้ กำไร ไม่พอกับการใช้หนี้ หมุนเงินไม่ทัน เงินขาดมือ รายจ่ายมากกว่ารายได้ จนธุรกิจเจ๊ง ไปต่อไม่ได้ ธุรกิจเจ๊ง ก็ไม่มีรายได้มาใช้หนี้ จึงต้องขายทรัพย์สินเท่าที่มี เพื่อใช้หนี้ แต่หนี้มากเกิน แม้จะขายทรัพย์สินที่มีก็ยังใช้ไม่หมด จึงโดนสั่งฟ้องล้มละลายค่ะ จากคุณ : nannan47 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 06:03:04

ความคิดเห็นที่ 5 ทรัพย์สินที่มี  มีน้อยกว่าหนี้ที่มี จากคุณ : ลุง500 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 06:08:59

ความคิดเห็นที่ 6 นอกจากหนี้เงินกู้แล้ว ก็ยังมีภาระ คชจ ประจำ ขายได้หรือไม่ได้ ก็ต้องจ่าย เช่น เงินเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ จิปาถะ  บางทีพวกล้มบนฟูกก็มี จากคุณ : หอมมาก เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 06:12:32

ความคิดเห็นที่ 7 เพราะโรงงาน หรือบ้านที่มีอยู่ ไม่ได้เกิดจากทุนตัวเองค่ะ แต่ไปกู้เงินมาสร้าง และซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าจ้าง น้ำ ไฟ ขายของได้ ได้กำไร ก็มาผ่อนหนี้ เรียกว่า เป็นเงินหมุน วันหนึ่ง เกิดขายของไม่ได้ เนื่องจากลูกค้าไม่ซื้อแล้ว เพราะเจ๊งหรืออะไรก็ตาม ก็ไม่มีเงินเข้ามาอีก หรือมีน้อยกว่าหนี้ที่ต้องจ่ายแต่ละเดือน หนี้ก็พอกพูนขึ้นจนจ่ายไม่ไหว เจ้าหนี้ก็ฟ้องศาล ศาลเห็นว่า เป็นหนี้จริง และไม่มีเงินจ่ายจริง ก็สั่งยึดโรงงาน บ้าน รถ มาขายทอดตลาด เพื่อเอาเงินคืนเจ้าหนี้ไป อาจจะคืนได้หมดหรือไม่หมด ก็แล้วแต่ทรัพย์ที่ขายได้ไป เจ้าของกิจการ ก็ไม่มีเงินเหลือ ไม่มีโรงงาน ไม่มีบ้าน(ใหญ่ๆ) ไม่มีรถ อยู่ในสภาพล้มละลาย จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 07:04:56

ความคิดเห็นที่ 8 ผมว่าเคสที่เจ๊งเพราะกู้เงินมากเกินกว่าสินทรัพย์น่าจะมีไม่มากนะครับ แต่เคสส่วนมากเจ๊งเพราะ "กระแสเงินสด" ไม่พอครับ สมมติ โรงงานมูลค่า 2000 ล้าน ยอดขายเดือนละ 300 ล้าน กำไรสุทธิก่อนหักภาษี 10 เปอร์เซ็นต์ ก็เดือนละ 30 ล้าน มีหนี้สิน 1200 ล้าน ดอกเบี้ยปีละ 3% ก็เดือนละ 3 ล้าน + จ่ายเงินต้นเดือนละไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน ถ้าจ่ายไม่ตรงตามกำหนด จะโดนปรับดอกเบี้ยผิดนัด และต้องจ่ายดอกของดอก และดอกของเงินต้นที่จ่ายไม่ทันด้วย สมมติว่าดอกเบี้ยผิดนัด 18% ก็จะกลายเป็น เดือนละ 18 ล้านบาท กำไรเดือนละ 30 ล้าน ถ้าจ่ายตามกำหนด จะเหลือเงินกำไรเดือนละ 17 ล้าน เป็นไฮโซเลยครับ ถ้าผิดนัดโดนปรับดอกเบี้ยปุ๊บ เดือนถัดไปก็แทบเจ๊งแล้วครับ สมมติเกิดปัญหา เงินสดไม่พอจ่าย (เพราะผู้ถือหุ้นแอบถอนออกไป หรือไม่สามารถเก็บเงินลูกค้าได้ตรงตามกำหนด) เดือนต่อมายอดที่ต้องจ่ายคือ เงินต้น 20 ล้าน ดอก 21 ล้าน กำไรติดลบทันที ถ้าหาเงินสดเข้ามาไม่ได้ เดือนต่อไปยิ่งทวีคูณดอกเบี้ย ไปเรื่อยๆ ไม่กี่เดือนก็เจ๊งแล้วครับ ซึ่งบริษัทส่วนมากเจ๊งเพราะเคสแบบนี้มากกว่าครับ จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 07:19:05

ความคิดเห็นที่ 9 ชาวนาก็ล่มละลายได้ครับ เช่นกู้ ธกส เอาบ้านและที่ดินค้ำประกั เอามาทำนา น้ำท่วม นาเสียหาย หรือเอาเงินไปใช้นอกระบบ ไม่มีเงินใช้หนี้ ก็โดนยึดที่ดิน จากคุณ : แจ้ห่ม47 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 08:10:04

ความคิดเห็นที่ 10 สมมุติสินทรัพย์ค้ำหนี้มีมูลค่าตีตามตลาดสิบล้าน ขอกู้สิบล้าน  มันก็มีดอกเบี้ย ทบต้นไป หนี้ก็เพิ่มมาจากดอกเบี้ย มูลค่าทรัพย์ที่วางค้ำก็ย่อมไม่พอ แถมบางที มีค่าเสื่อมราคาของทรัพย์ และเวลาขายตอนร้อนเงินนี่ ก็โดนต่อรองลงไปอีก  ยิ่งถูกลงไปอีก  ขายแล้ว ไม่สามารถจ่ายหนี้ทั้งหมดได้ หนี้ก็ยังมี ต้องมาชดใช้ให้แบงค์  แต่คราวนี้ ไม่มีทรัพย์และเครดิตตัวเองแล้ว  ยากที่ใครจะให้ยืม เหมือนนับ 0 กันใหม่ จากคุณ : ต้นตา เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 08:39:35

ความคิดเห็นที่ 11 เพราะ ส่วนใหญ่ อยู่ได้ ด้วยเงิน กู้ เกิดติดขัดมา โดนเบี้ยวหนี้ โดนโกง หรือ ทำยอดไม่ได้ ตามเป้าก็ เอวังแล้ว จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:09:37

ความคิดเห็นที่ 12 ผมว่าน่าจะเป็นทั้งทางด้านธุรกิจ ที่หลายท่านด้านบนเขียน คือกู้มาทำธุรกิจ แล้วพอเริ่มขาดทุน .. ก็ถอนทุน.. ปัญหาหลักอยู๋ที่ การถอนหุ้นนี่แหละครับ เห็นมาเยอะเพราะ .. สมมุติ ลงทุน 1ล้านบาท ปันผลปีละ 150,000 แต่พอบริษัทขาดทุนได้สักพัก (เพราะสู้ดอกเบี้ยไม่ไหว และเหตุอื่นๆ) ก็ขอถอนทุน แต่ขอถอนที่ราคาทุน เอา 1ล้านคืน มันก็จะยิ่งแย่เข้าไปอีก เงินหมุนติดขัด โดนญาติเอาเงินออก ลงทุนมีกำไรก็แบ่ง พอขาดทุนไม่แบ่งขาดทุน .... ส่วนมาก็เจ็งเพราะผู้ร่วมทุนไม่เป็นกลาง ก็เลยเป็นแพะรับ เรื่องขาดทุนทั้งไปเอง เต็มๆ ปล เดาๆเอานะครับ แต่เคยเจอมาเอง และ บริษัทอื่นที่รู้จักด้วย จากคุณ : Frontliner เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:11:20

ความคิดเห็นที่ 13 เงินขาดมือสักสองสามเดือน ก็โดนดอก อ๊วกแล้วครับ จากคุณ : นายโอ้นโต้น เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 09:41:42

ความคิดเห็นที่ 14 เคยเจอล้มเพราะมีเมียน้อยค่ะ  คือทำธุรกิจกันสองคนกับแฟน รายได้ปีนึงเป็นร้อยล้าน กู้เงินมาทำเหมือนกัน  แต่พอมีเมียหลวงจับได้ว่ามีเมียน้อย  ก็ไม่เป็นอันทำมาหากินกันทั้งสามคน สามีก็พยายามดิึงเงินออกจากบริษัท  เมียหลวงก็ดึง  ต่างฝ่ายต่างเอาเงินออก จนไม่มีเงินจะจ่าย ธนาคาร  ธนาคารก็งดวงเงินโอดี  ก็ไม่มีเงินจะจ่ายเจ้าหนี้  เขาก็เลยไม่ให้ซื้อเงินเชื่ออีกต่อไป ต้องหมูไปไก่มาเท่านั้น  กิจการก็ค่อยๆ ล่มสลาย  เงินจะจ่ายคนงานในแต่ละเดือนยังไม่มีเลย สุดท้ายดอกเบี้ยก็ท่วมตัว  หนี้ไม่กี่สิบล้านงอกกลายเป็นเท่าไหร่ไม่รู้  โดนยึดหมดทั้งโรงงาน บ้าน รถ  เมียน้อยก็ขายบ้านหนีหายไปกับสายฝน  เหลือคู่แค้นสองคนนั่งทะเลาะกันต่อว่าใคร เป็นฝ่ายทำให้ล้มละลาย จากคุณ : ต๊อตโตะจัง เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:19:43

ความคิดเห็นที่ 15 ก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าร่วมทุนกัน แล้วขาดทุน ผู้ร่วมหุ้นขอถอนทุนคืน กรรมการ ผจก ไม่มีสิทธิไม่ให้คืนไม่ได้หรือ ก็คือ ถือว่า ขาดทุนร่วมกัน ถ้าเขาขอถอนทั้งๆที่ไม่มีเงิน ให้หุ้นส่วนเจ๊งไปคนเดียว อีกสองสามคนลอยตัว ทำได้ไง ถ้าไม่ให้คืน กรรมการคนอื่นจะฟ้องได้ไหม จากคุณ : *Cookies* เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:24:55

ความคิดเห็นที่ 16 คห.12ครับ การถอนหุ้นนี้ มันก็เหมือนกันครับ มีกำไรก็แบ่ง พอขาดทุนเค้าก็ขาดทุนด้วยครับ เหมือนกับการ คัทลอสนั่นแหละ คัทที่ตรงนี้มันขาดทุนน้อยกว่าไงครับ ถ้ายื้อต่อไปเค้าอาจจะขาดทุนหนักกว่า เลยต้องถอนหุ้นออก หรือไม่ก็บริษัทอาจจะอยากเพิ่มทุนแต่หุ้นส่วนไม่แน่ใจไม่มีเงินแล้ว ก็ไม่เอาด้วย แล้วก็ถอนหุ้นออกเลย ได้น้อยได้มากก็ยังดีไงครับ จากคุณ : นางฟ้ายังต้องมนต์ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:28:43

ความคิดเห็นที่ 17 ทำให้เห็นว่าถ้าเงินหมุนไม่ทัน ธุรกิจใหญ่ สามารถล้มได้ในไม่กี่เดือน จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:30:40

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าเป็นบริษัทที่ญาติๆ หรือเพื่อนๆมาหุ้นกันเปิด ส่วนมากคนลงเงินจะเป็น สมาชิกกรรมการบริหารเอง แล้วก็ในการบริหารบริษัทจะมีประธานบริษัท (ในที่นี้คือพ่อเพื่อนคนตั้งกระทู้) คนนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกกรรมการบริหารด้วย และได้รับเลือกให้เป็นประธานบริษัท (หรืออาจจะตกลงกันไว้ก่อนแล้ว) ประธานคนนี้มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบหนี้ทุกอย่างของบริษัทโดยไม่มีขอบเขตจำกัดครับ ผู้ถือหุ้นหรือกรรมการคนอื่นรับแค่ส่วนที่ตัวเองลงทุนถือหุ้น เลวร้ายสุดแค่เงินลงทุนกลายเป็น 0 (ยกเว้นว่าจะมีระเบียบให้กรรมการทุกคนต้องรับหนี้ไม่มีขอบเขตจำกัดตามสัดส่วนเงินลงทุน ซึ่งถ้าบริษัทกำหนดระเบียบแบบนี้ คงไม่มีเพื่อนๆคนไหนอยากลงทุนด้วย) ทีนี้พอบริษัทได้กำไรมาก็แบ่งกัน พอกำไรเริ่มลดลง จนขาดทุนเป็นบางเดือน แต่ยังพอมีกระแสเงินสด เอาเงินกำไรเก่าที่เก็บไว้มาใช้จ่ายได้อยู่ ก็ยังพอดำเนินกิจการได้ ในระยะเวลานี้ หากผู้ถือหุ้นที่เป็นกรรมการมีมติให้ถอนเงินลงทุน ก็ต้องเอาเงินของบริษัทมาจ่ายคืนผู้ถือหุ้น ถ้าจ่ายจนหมดไม่มีเงินสดเหลือ บริษัทก็จะต้องหยุดกิจการแล้วก็เจ๊งครับ ถามว่ามีสิทธิ์ห้ามหรือไม่ ผมว่าผู้ถือหุ้นคนอื่นก็มีสิทธิ์นะครับ แต่ถ้าทุกคนอยากได้คืนก็ต้องคืนไปทุกคนเช่นกัน ถ้าประธานไม่ได้ถือหุ้นมากกว่า 51% จนมีอำนาจกำหนดมติได้ เจอแบบนี้ก็เจ๊งครับ อันนี้คือที่ผมเข้าใจนะ ถูกผิดอย่างไรช่วยแก้ไขด้วยครับ จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:40:53

ความคิดเห็นที่ 19 รวยไม่จริงครับ สิ่งที่คุณเห็นมาตลอดนั้นแหละครับกู้มาทำมาสร้างทั้งนั้นครับ เศรษฐีมีสองแบบครับ เศรษฐีเงินกู้กับเศรษฐีเงินสด พวกที่รวยจริงๆ ต่อให้เลิกทำทรัพย์สินส่วนตัวไม่หายหรอกครับ เค้าจะแยกกันไว้ชัดเจนครับ จากคุณ : amnuaysilpa 63 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 10:41:46

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบ คห 16 ครับ เท่าที่เจอมา เวลาพูดมันง่ายครับ เหมือนcutloss ในความเป็นจริงนั้น บางคนไม่เข้าใจ โดยเฉพาะคนเห็นแก่ตัว ถึงแม้ว่า ขาดทุนเดือนละ 25,000 เขายอมขาดทุนแค่เดือนนั้น มันก็ไม่ถูก มันควรจะเป็นราคาในอนาคต สมมุตินะครับ ลงทุน 1ล้าน ธุรกิจแย่ .. ขาดทุนเดือนละ 25,000ทุกเดือน (มาตลอด 4เดือนแล้ว และยังมีแนวโน้มต่อไปอีก) ผมถามนะครับ .. ญาติควรถอนเงินที่เท่าไร??? 900,000 ?? มันไม่ถูกครับ เป็นผมถ้าจะแฟร์ก็ถอนไปเลยครับ 500,000ก็พอแล้ว (.. มันเหมือนราคาหุ้นครับ .. มันจะสะท้อนความเป็นไปได้ในอนาคตไม่ใช่อดีต .... ปล .. การใช้จ่ายเกินตัว ก็เป็นเหตุผลหลัก ของการล้มละลายครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 11:06:27 จากคุณ : Frontliner เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:05:05

ความคิดเห็นที่ 21 ผมก็ไม่แน่ใจในรายละเอียดลึกๆ เหมือนกันครับ แต่เท่าที่อ่านก็อย่างที่หลายๆ คห. บอกไว้ก่อนหน้า ว่ามีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน ประกอบกับไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ย เลยถูกฟ้องล้มละลาย คร่าวๆ ก็คือ ทุกกิจการ ถ้าไปดูมีหนี้สินกันทั้งนั้น จะเป็นหนี้จากกู้ยืม หนี้จากการยังไม่ชำระค่าวัตถุดิบ (เจ้าหนี้การค้า) เป็นต้น เช่น กิจการมีทุน 100 ล้าน แบ่งเป็นสินทรัพย์ 80 ล้าน หนี้สิน 20 ล้าน โดยสินทรัพย์อาจจะเป็นเงินสดแค่ 10 ล้าน ลูกหนี้อีก 10 ล้าน ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์รวมๆ กันเป็น 60 ล้าน อย่างนี้แสดงว่ากิจการมีเงินสดน้อย และหนี้สินอาจจะเป็นเจ้าหนี้การค้า คือเราไปซื้อของมาเป็นวัตถุดิบแล้วยังไม่ได้จ่ายเงิน 15 ล้าน และอีก 5 ล้าน คือหนี้สินจากการกู้ยืม สมมติต่อว่า กิจการมียอดขายเพิ่มมากขึ้น แต่มีเงินสดน้อย อยากจะขยายกิจการโดยซื้อเครื่องจักรเพิ่ม จ้างคนงานเพิ่ม แต่มีเงินไม่พอ ก็ต้องเอาทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน อาคาร อุปกรณ์เครื่องจักร ที่สามารถตีมูลค่าได้ อาจจะรวมถึงบ้านด้วย ไปค้ำประกันเพื่อกู้เงินมา (คนอยากรวยเร็ว เพราะมองเห็นโอกาสจากการค้า จริงๆ แล้วถ้ากู้เงินมาแล้วมียอดขายดี กำไรเพิ่ม หนี้สินแบบนี้ถือเป็นหนี้ที่ดี เพราะจะสามารถสร้างกระแสเงินให้ไหลเข้ามาได้ แต่เมื่อมีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสีย ถ้าหากประเมินผิดพลาด) สรุปหลังจากกู้ กิจการกลับไม่มียอดขายที่ดี หรือกำไรที่ดีอย่างที่คิดไว้ ลูกหนี้ที่มีอยู่ก็เก็บเงินไม่ได้ แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเยอะมาก ก็เริ่มแบกรับภาระ ต้องหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ย จะไปกู้ที่อื่นเพิ่มก็ไม่ได้แล้ว สุดท้ายธนาคาร+เจ้าหนี้ ก็มีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องได้ ถ้าหากประเมินทรัพย์สินล่าสุด ปรากฎว่ามีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ (ตีจากมูลค่าตลาด ไม่ใช่ราคา BV) ก็จะกลายเป็นการฟ้องล้มละลาย แต่ถ้าหากถูกฟ้องร้องแล้ว ขายทุกสิ่งอย่างแล้วยังไม่เงินเหลือ อย่างนี้ก็ไม่เรียกว่าล้มละลาย กฎหมายใหม่รู้สึกว่า คนที่ถูกฟ้องล้มละลาย จะไม่ร้ายแรงมากเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนถ้าถูกฟ้องล้มละลาย ก็จะไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินได้ แต่รู้สึกกฎหมายใหม่ จะมีกำหนดอายุ ไม่แน่ใจว่า 5 ปีหรือเปล่า แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 11:36:14 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 55 11:34:28 จากคุณ : bigzaa เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 11:33:59

ความคิดเห็นที่ 22 สาเหตุที่ธุรกิจเจ๊งไม่ใช่เพราะขาดทุนครับ แต่เพราะไม่มีเงินหมุนในกิจการหรือ Cash Flow มีปัญหา ถ้าธุรกิจคุณขาดทุน แต่ธุรกิจมีแนวโน้มที่ดี สามารถกู้เงินธนาคารมาต่อยอดธุรกิจต่อไปได้ หรือมีคนสนใจจะร่วมลงทุนจึงออกหุ้นเพิ่ม แบบนี้ถึงจะขาดทุนก็ไม่เจ๊งครับ แต่ถ้าธุรกิจกำไร แต่พอไปเปิดงบดูปรากฏว่าเงินสดไปลงทุนในเครื่องจักร วัตถุดิบ สินค้าคงคลัง ฯลฯ มากเกินไป พอเจ้าหนี้มาทวงเงินหรือสิ้นเดือนไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน และหาเงินมาหมุนไม่ทัน แบบนี้ถึงจะปิดงบกำไรแต่ก็มีสิทธิ์เจ๊งได้เหมือนกัน จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 13:18:25

ความคิดเห็นที่ 23 หลายครอบครัวพ่อแม่ล้มละลาย แต่ก็รวยโคตรเลย ทรัพย์สินเป็นชื่อของลูกหมดแบบว่าล้มบนฟูกไง กิจการก็ดำเนินต่อผลักภาระหนี้เสียออกไปใครจะกระทบก็ช่างหัวมัน จากคุณ : Sawakato เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 13:25:45

ความคิดเห็นที่ 24 จาก คห 23 แสดงว่า พ่อเพื่อน จขกท  วางแผนการเงินไม่ดี คาดว่า สินทรัพท์ส่วนตัว ก็ยังผ่อนอยู่ พอบริษัทล้ม ขาดรายได้ ไม่มีปันผลมาระยะนึง ทำให้กระทบสินทรัพย์ส่วนตัวด้วย แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 55 03:50:27 จากคุณ : Rasia เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 15:21:26

ความคิดเห็นที่ 25 แนะนำเบื้องต้น ถ้าเพื่อน จขกท ไม่มีส่วนรับภาระหนี้สินใดๆเลย ที่เกี่ยวกับกิจการหรือการค้ำประกัน ทั้งหนี้ในระบบ (ที่น่ากลัวคือนอกระบบ ตามยันลูกหลาน) และอายุเกิน 20 +  ให้ขายทุกๆอย่างที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ แล้วให้เพื่อนถือไว้ แล้ว ไปเช่าบ้านอยู่ต่างหาก อาจจะเปลี่ยนชื่อ นามสกุล ย้ายทะเบียนบ้าน ไปด้วยก็ได้ ให้พ่อพ่อล้มละลายไป แต่ก็มีกินมีใช้ตามเงินที่เหลือนั่นแหละ ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้ ถ้ามีความมานะอดทน จากคุณ : Rasia เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 15:25:59

ความคิดเห็นที่ 26 ปล, ระวังมือที่สามหลอกอีก จากคุณ : Rasia เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 55 15:27:10