ความคิดเห็นที่ 1 วิธีการลงทุนสำหรับ LTF เพื่อมนุษย์เงินเดือนที่ซื้อแพงแทบทุกปี ผมแนะนำให้ทำ Dollar Cost Averaging  (DCA) ไปเลยครับ หลักการคือ ทยอยลงทุนมันซะทุกเดือน โดยไม่ต้องสนใจว่าราคาจะขึ้นหรือลง แค่ทำตามวินัยไปเรื่อยๆ จากตารางด้านล่าง ผมสมมติว่าปีที่แล้ว เราลงทุนในกองทุน อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว (ABLTF) ทุกๆสิ้นเดือน เดือนละ 10,000 บาท รวมเบ็ดเสร็จปี 2554 ผมจะมีต้นทุน ABLTF 12 ครั้ง ทั้งสิ้น 120,000 บาท ที่ราคาเฉลี่ย 24.8038 บาทต่อหน่วย แต่ถ้าใครไม่ยอมลงทุนระหว่างปี ไปรอเอาตอนปลายปีวันสุดท้าย คุณก็จะต้องซื้อ ABLTF ราคา 26.0391 บาทต่อหน่วย จะเห็นว่า ได้แพงกว่าเห็นๆ สำหรับใครที่ยังอยากจะ Timing ตลาด หรือจับจังหวะเล่นเอาขำๆ ผมแนะนำว่า จะแบ่งเงินลงทุนบางส่วนมาทำ DCA อีกส่วนก็เอามาซื้อเพิ่มตอนตลาดปรับฐานก็ได้ครับ เช่น จะซื้อที่ 240,000 บาท ปีนี้ ก็แบ่งทำ DCA เดือนละ 10,000 บาท ทั้งหมด 120,000 บาท ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งก็เอาไว้ตั้งใจว่าพอตลาดลงมาแรงๆ ก็เข้าลงทุนซัก 2-3 ครั้งต่อปี แบบนี้ก็ถือว่าเดินทางสายกลางดี จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 13:18:39

ความคิดเห็นที่ 2 คราวนี้มาถึงขั้นตอนการเลือกกองทุน LTF ละ ปีนี้ใครไม่ได้ทำ DCA ไว้ ก็ไม่เป็นไร แต่ปีหน้าห้ามลืมนะครับ เงื่อนไขที่เราต้องพิจารณาก่อนเลือก LTF ซักกอง จริงๆไม่ใช่แค่เรื่องผลตอบแทนว่าใครดีกว่าใครนะครับ อยากให้พิจารณาในประเด็นอื่นด้วย ส่วนตัว ผมแนะนำให้พิจารณาตามนี้ครับ 1. ความเสี่ยงที่ตัวคุณเองรับได้ – หลายคนไม่รู้ว่า ถึงจะเป็น LTF เหมือนๆกันทั้งหมด แต่ความเสี่ยงของ LTF แต่ละกองก็ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกอง      a. ลงทุนในหุ้นหมด 100% - เหมือนกองทุนหุ้นธรรมดาๆ แต่ได้สิทธิภาษี กองทุนประเภทนี้ เสี่ยงสูงครับ      b. ลงทุนในหุ้น 70-75% ที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ 25-30% - กองทุนประเภทนี้ความเสี่ยงต่ำกว่าแบบลงทุนหุ้นหมด แต่ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา กองทุนประเภทนี้ แพ้พวกหุ้นล้วน เพราะตลาดอยู่ในขาขึ้น เมื่อมีหุ้นน้อยกว่าคนอื่น ก็ได้ประโยชน์จากการขึ้นของหุ้นน้อยลงเช่นกัน แถมแต่ละกอง บางกองมีนโยบายจ่ายปันผล (เสี่ยงน้อย) แต่ต้องโดยภาษี หรือ ไม่มีนโยบายจ่ายปันผล (เสี่ยงมาก) แต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า เห็นแบบนี้ก็ต้องเลือกดีๆนะครับ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 13:19:21

ความคิดเห็นที่ 3 2. อย่าดูแค่ Promotion - โดยปกติ นักลงทุนทั้งหลาย เวลาเลือก LTF มักจะควานหากองที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือที่หนักกว่านั้น กลายเป็น เลือกกองทุนโดยดูที่ “Promotion” เพราะคิดว่ากองทุนไหนก็เหมือนๆกัน ... คิดงี้ ผมมองว่า ง่ายไปนะครับ สมมติเราเลือกกองทุนที่ Promotion ดีที่สุด ให้เครื่องเล่น DVD หรือ ให้ Cash Back มูลค่า 2,000 บาท ต่อเงินลงทุน 500,000 บาท (คิดเป็น % ก็อยู่ที่ 0.4% แค่เท่านั้น) แต่กองทุนนั้นกลับทำผลการดำเนินงานได้แย่กว่ากองอื่นซักแค่ 5% ก็พอ แต่ 5% ของเงิน 500,000 บาท มันคือเงิน 25,000 บาท นะครับ เพราะฉะนั้น หากคุณจะเลือกกองทุนเพราะ Promotion ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้เช็คให้ดีว่า กองทุนนั้นมันดีกว่าหรือแย่กว่า เมื่อเทียบกับคู่แข่งด้วย แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 55 13:20:10 จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 13:19:52

ความคิดเห็นที่ 4 3. เลือกผลตอบแทนดี แต่ต้องสม่ำเสมอ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว – เป็นปกติธรรมดาที่ผู้ขายแต่ละรายจะพยายามหาข้อดีมาบอกเราเยอะๆ และพูดถึงข้อเสีย หรือข้อจำกัดของกองทุนที่ตัวเองเสนอขายให้น้อยๆ บางกองที่ผลตอบแทนดีที่สุดตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ก็มักจะบอกเราแค่ช่วงเวลาที่เขาดี แต่ในฐานะนักลงทุน และเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของเราเอง เราก็ควรจะมองผลตอบแทนให้ครบ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่ใช่ดีแค่ปีนี้ แต่ผลตอบแทนย้อนหลังระยะยาว 3 ปี 5 ปี แพ้กองอื่นกระจุย อันนี้ เราก็ต้องมาหาสาเหตุ และพิจารณาให้รอบคอบ อย่าลืมนะครับ เราซื้อ LTF เราต้องถืออย่างน้อยๆ 5 ปีปฏิทิน ไม่ใช่แค่ 6 เดือน หรือ 1 ปี อย่ามองอะไรแค่สั้นๆเป็นอันขาด 4. ผลตอบแทน เปรียบเทียบความเสี่ยง – การคำนวนหาก็ใช้ Sharpe Ratio สูตรคือ ผลตอบแทน หารด้วย ค่าความเสี่ยง ซึ่งโดยปกติ กองทุนจะใช้ Standard Deviation หรือ S.D. นั้นเอง บ่อยครั้งที่บางกองทุนให้ผลตอบแทนสูง แต่ตัวกองทุนเองก็ NAV ผันผวนมากตามไปด้วย ซึ่งอาจไม่เหมาะกับตัวเรา เพราะกองทุนที่ความผันผวนสูง เวลาตลาดขึ้น ก็ขึ้นแรง แต่ตอนลง ก็ลงแรงกว่าชาวบ้านด้วยเช่นกัน แล้วจะดู Sharpe Ratio จากไหน? ดูในตารางจัดอันดับ LTF ในตลาดที่ให้ค่า Sharpe Ratio สูงสุด 20 อันดับแรกของตลาด (ไม่ได้ตามผลตอบแทนดีสุดนะครับ แต่เรียงตามผลตอบแทน เปรียบเทียบความเสี่ยง ดีที่สุดในตลาด) ถ้ายิ่งค่า Sharpe Ratio สูงมากๆ ก็แสดงว่ายิ่งคุ้มเสี่ยงมากเท่านั้น ส่วนผลตอบแทนระยะสั้น 1 ปี หรือตั้งแต่ต้นปีเป็นอย่างไร ลองดูประกอบกันไป เชื่อว่า ด้วยหลักการทั้ง 41 ข้อนี้ เราก็จะได้กอง LTF ในดวงใจถือยาวๆนิ่งๆไป พร้อมเชียร์ให้หุ้นไทยวิ่งทำ New High ไปเรื่อยๆนะ โอมมม เพี้ยงงง!! ------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ จากคุณ : Mr.Messenger เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 13:21:35

ความคิดเห็นที่ 5 เซตจะ 1300 แล้ว แถมปีนี้โดนบังคับซื้อ ปวดตับจริงๆ ปล. ตามอ่านเหมือนเดิมครับ จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 13:38:56

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นด้วยทุกประการ ตั้งแต่ต้นปีล่ะ มีกระทู้ถามตลอด ซื้อ LTF ได้ยัง ไม่รู้ท่านเหล่านั้นซื้อไปแล้วยังนะ ผมซื้อเฉลี่ยๆ ไปตั้งแต่ 1100 จุดล่ะ กลางๆ ปี เสียดาย ไม่มีตังก์ 555 ตอนนี้ต้องมารอๆๆๆ ขอแค่ 1200 ต้นๆ จะจัดไปอีกล่ะ จากคุณ : ++HotDog++ เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 14:06:05

ความคิดเห็นที่ 7 Volatility คืออะไรหรอครับ ดิท. ผมได้คำตอบแล้วครับ หาใน google ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.ย. 55 14:16:12 จากคุณ : I-want-to-be-a-Filmmaker เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 14:12:55

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเฉลี่ยนซื้อทุกเดือนเดือนละ 10,000 บาท ตอนนี้ได้กำไรไปแล้ว 11.30% จากคุณ : หมอก้อนหิน เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 14:33:08

ความคิดเห็นที่ 9 LTF ห้ามซื้อเกิน 15% ของรายรับทั้งปี 1.ถ้ามีรายรับจากปันผลต้องเอามารวมด้วยใช่ไหมครับ 2.ถ้าซื้อเกิน 15% ทำได้ แต่ลดภาษีได้ไม่เกินยอด 15% นั้นใช่หรือเปล่าครับ ปล.ไม่ค่อยถนัด แต่ปีนี้ว่าจะซื้อไว้บ้าง ^^ จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 14:36:52

ความคิดเห็นที่ 10 อัตราฐานภาษี ร้อยละ 10 ซื้อ LTF คุ้มไหมครับ ปกติซื้อกองทุนอยู่แล้วครับ จากคุณ : nut_dev เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 22:47:27

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ ของผม 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็ลงทุนแต่ใน LTF  ที่ลงหุ้น 100% ก็ผลตอบแทนดีมากครับ และก็ยังพอรับความเสี่ยงไหวอยู่ ก็หวังว่าตอนครบกำหนดขาย 5 ปี ภาวะของหุ้นยังดีอยู่ ไว้ใกล้เกษียณ ก็คงเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่ จากคุณ : Knight เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 22:50:44

ความคิดเห็นที่ 12 กำลังคิดเหมือน คห 10 ฐานภาษี 10% ถ้าคิดจะลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ดูมันรู้สึกจะเหมือนไม่ค่อยคุ้ม แต่ถ้าคิดที่จะลงทุนเพื่อระยะยาว น่าจะคุ้มกว่า แต่เป็นไปได้มั๊ยที่จะเกิดเหตุการณ์แบบปี 40 อีก ถ้าเกิดละก็....จะเกิดอะไรขึ้นบ้างครับ จากคุณ : mikabi เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 55 23:46:27

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณสำหรับข้อคิดและความรู้ดีๆ เสมอนะคะ LTF ซื้อเกินได้ แต่ใช้ลดหย่อนได้ ตามสิทธิคิดจากรายได้ทั้งหมดเลยค่ะ เราก็เสียภาษี10%อยู่ค่ะตอนนี้ แต่ก็ซื้อ ltf ไม่เกินสิทธิมาตลอดค่ะ เพราะคิดว่าเป็นการลงทุน และเราชอบกองทุนที่เราซื้อด้วยค่ะ ก็เลยมั่นใจในการลงทุนระยะกลาง เพราะต้องถือยาวอย่างน้อยสามปีถึงจะขายได้ และเราซื้อแบบ dca มาตลอด เลยผ่านช่วงหุ้นตกครั้งที่แล้วมาโดยไม่เป็นไรมาก แถมยอดของปีนั้นตอนนี้ได้ผลตอบแทนแบบยิ้มได้เลยแหละค่ะ จากคุณ : arce เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 55 00:45:10

ความคิดเห็นที่ 14 LTF ขอเว้นภาษีไปแล้ว โยกกองได้ไหมครับ ถ้าโยก กองต้องจ่ายภาษีบวกค่าปรับเหมือนขายคืนเปล่าครับ จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 55 08:40:18

ความคิดเห็นที่ 15 มีประโยชน์มากๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูล ตัวผมเองยังไม่ได้ซื้อเลย เซ้งจริงๆๆ จากคุณ : illuminare777 เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 55 09:16:07

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 14     LTF ขอเว้นภาษีไปแล้ว โยกกองได้ไหมครับ ถ้าโยก กองต้องจ่ายภาษีบวกค่าปรับเหมือนขายคืนเปล่าครับ จากคุณ : ซื่อสัตย์ มั่นคง โยกได้ครับไม่เสียภาษีและค่าปรับ แต่อาจมีค่าใช้จ่ายถ้าโยกต่างบริษัท จากกสิกรไปบัวหลวงจ่ายประมาณ 200 แต่จากกรุงศรีไปบัวหลวง(ปีที่แล้ว)ไม่เสีย จากคุณ : Sabai_D เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 55 09:55:57

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณมากครับ ปีนี้อัดไปเกิน 50% แล้ว ถ้า สิ้นปี มันจะเยอะกว่านี้อาจจะไม่ซือครับ จากคุณ : Laganus เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 55 10:07:07

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณ พี่ Mr.Messenger มากครับผม ขอแสดงความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติมครับ สำหรับ ผู้ที่เสียภาษี 10% ถ้าเล่นหุ้นอยู่แล้ว ผมว่าไม่น่าซื้อ LTF ครับ เพราะ เงินแช่โดยประมาณ 3 ปี 2 วัน (5 ปีปฎิทิน) ได้หักลดหย่อนภาษี 10% ได้แน่ๆตกปีละ 3.3% ไม่รวมหุ้นขึ้นหรือลง ผมว่ามันน้อยมากเลยนะครับ เพราะตัวเลขนี้ หากองทุนตราสารหนี้ก็ได้แล้วครับ แต่ถ้าไม่ได้เห้นหุ้น จะเลือกลงทุน LTF ไว้ก็ไม่เสียหายครับ สำหรับ ผู้ที่เสียภาษี 20% ผมว่าเป็นฐานที่น่าจะเริ่มซื้อ LTF ครับ เพราะได้ลดหย่อนได้แน่ๆปีละ 6.7% ไม่รวมหุ้นขึ้นหรือลงเช่นกัน ตัวเลขนี้ผมว่าเริ่มน่าสนใจครับ และถ้าจะซื้อผมว่าซื้อให้ cover รายได้ในส่วนฐาน 20% ก็พอครับ ไม่ต้องซื้อเยอะ เพราะจะลงไปลดหย่อนในส่วนฐาน 10% ซึ่งกลับไปประเด็นแรกที่ว่าไม่คุ้มครับ (สำหรับพวกฐาน 20% ควรหาลดหย่อนให้เสียภาษีปีละประมาณ 35,000 บ. ) จากคุณ : Heinz เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 55 13:02:40

ความคิดเห็นที่ 19 เตือนทุกคนว่าไม่ควรซื้อเกินสิทธิ์ครับ หากเราซื้อเกินสิทธิ์ เงินส่วนที่เกินนอกจากไม่สามารถเอาไปลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังโดนล็อกเอาไว้เปล่าๆ ปลี้ๆ 5 ปีอีกด้วย หากใครเผลอเปรี้ยวปาก เห็นว่าหักภาษีไม่ได้ก็เลยไปขายคืนเข้า ทีนี้ก็ซวยล่ะครับ เพราะกำไร (capital gain) ถ้ามี ก็จะถูกคิดภาษีด้วย (ทั้งที่กองทุนหุ้นธรรมดาไม่ต้องเสีย) ผมแนะนำว่าถ้าเงินเหลือจริงๆ ในปีนี้ ก็ซื้อกองทุนหุ้นธรรมดาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันควบคู่ไปด้วย เช่น ถ้าเราซื้อกอง SET50 LTF เราก็อาจจะซื้อกอง SET50 ธรรมดา สำหรับเงินส่วนที่เกินสิทธิ์ การทำแบบนี้จะทำให้เงินของเราทั้งสองก้อนได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกัน พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่เสียโอกาสลงทุน แต่ก็จะ flexible ตรงที่หากปีถัดๆ ไปเราต้องจ่ายภาษีมาก เราก็เพียงแต่ "สวิตช์" เงินจากกองหุ้นธรรมดาไปหา LTF ในทางตรงข้าม ถ้าเราซื้อเกินสิทธิ์ไปตั้งแต่แรก เราก็จะไม่มีทางเลือก นอกจากหาเงินอื่นมาซื้อ LTF เพิ่ม จากคุณ : Antonio at MonkeyFreeTime เขียนเมื่อ : 24 ก.ย. 55 17:05:33

ความคิดเห็นที่ 20 ถามครับ สมมติซื้อกองทุน LTF ช่วง ธันวาคม 2012   จะสามารถขายคืนได้เร็วสุดเมื่อไหร่ ที่บอก5ปีนับตามปีปฏิทิน มกราคม 2016  หรือ 2017 ครับ จากคุณ : okazaki เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 15:47:57

ความคิดเห็นที่ 21 2012 2013 2014 2015 2016 สรุป มกราคม 2016 ครับผม ^^ จากคุณ : เขียนบน iPhone (Heinz) เขียนเมื่อ : 25 ก.ย. 55 17:42:50

ความคิดเห็นที่ 22 คคห 20  ค่ะ LTF ถือ 5 ปีปฏิทิน จึงจะขายได้ ซื้อ ธันวาคม 2012 สามารถขายได้ มกราคม 2016 เห็นด้วยกับ คคห 21 ค่ะ จากคุณ : Sally1008 เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 08:54:35

ความคิดเห็นที่ 23 สำหรับผมทดลอง DCA มาปีนึงละ  เห็นผลเหมือนกันว่ามันดีกว่าไปทุ่มซื้อทีเดียวมากครับ  ยิ่ง trend ตลาดโดยรวมยังขึ้นอยู่อย่างนี้ยิ่งได้ผลตอบแทนดีกว่า จากคุณ : silver seraph เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 09:42:06

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณคุณ Mr.Messenger  ที่อุตส่าห์มาย่อยข้อมูลให้ได้อ่านกัน วันนี้เลยตัดสินใจซื้อ LTF ไปแล้วค่ะ สัญญาว่าปีหน้าจะทำ DCA T0T จากคุณ : Summer Triangle เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 13:33:17

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาขอบคุณข้อมูลดีๆครับ วันนี้เพิ่งซื้อ LTF ปีนี้เป็นครั้งที่ 2 ครับ จากคุณ : As you know เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 16:49:52

ความคิดเห็นที่ 26 ฐานภาษี 10%  เห็นตามความคิดเห็นที่ 18 เลยครับ อย่าซื้อ LTF ครับ ไม่คุ้มอย่างแรง ถ้าคิดจะลงทุนระยะยาว ซื้อกองทุนเปิดหุ้นทั่วไป หรือ กองตราสารหนี้ยังจะดีกว่าครับ เพราะอิสระมากกว่า จะซื้อหรือขายตอนไหนก็ได้ เงินไม่จมครับ ส่วนท่านใดใกล้เกษียณ ย้ายไปลงทุน RMF เลยจะดีกว่า  เพราะความเสี่ยงจะต่ำกว่า โอกาสเิงินหลังเกษียณสูญจะมีน้อยครับ   แก้ไขเมื่อ 26 ก.ย. 55 18:19:12 จากคุณ : Jazzmo เขียนเมื่อ : 26 ก.ย. 55 18:16:33

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ มีประโยชน์มากครับ จากคุณ : lkunl เขียนเมื่อ : 27 ก.ย. 55 07:49:16

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณมากๆค่ะ จากคุณ : nu-nanniecute เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 09:38:04