หุ้นไทยเดือนต.ค.เสี่ยงปรับฐานแรง ไร้ข่าวบวก-ชี้ดัชนีดีดขึ้น25%ติดอันดับ1ในภูมิภาค
|
|
30 ก.ย. 2555 เวลา 17:20:59 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หุ้นไทยดีดแรงติดอันดับหนึ่งในภูมิภาค ขณะที่วอลุ่มหดน้อยสุด สมาคมนักวิเคราะห์ส่องตลาดหุ้นไทยเดือน ต.ค.ปรับฐาน คาดแกว่งตัวไซด์เวย์ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน ระบุพี/อีสูง 15 เท่า แพงกว่าตลาดเพื่อนบ้าน เชื่อสภาพคล่องโลกล้น หนุนเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้นและตราสารหนี้ในไทย ระบุนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ปรับลดน้ำหนักลงทุนหุ้นเหลือ 40%
นาย สมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือนตุลาคมนี้มีความเสี่ยงในการปรับฐาน โดยคาดดัชนีจะอยู่ในกรอบ 1,250- 1,300 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่หนุนการปรับตัวขึ้นของตลาด โดยช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาสูงรับข่าวบวกไปก่อนหน้า ทั้งสหรัฐออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) และผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีที่อนุมัติให้ใส่เงินช่วยเหลือวิกฤต หนี้ยุโรป จนทำให้ปัจจุบันค่าพี/อี (ราคาปิดตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 15 เท่า ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเอเชีย เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ตลาดหุ้นไทยมีพี/อีอยู่ที่ 12.5 เท่า ต่ำกว่าตลาดหุ้นเอเชีย
"ขณะนี้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นลดลง อีกทั้งภาคการส่งออกของไทยยังกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ ชะลอตัวของยุโรปและสหรัฐซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญ รวมถึงยังกังวลสถานการณ์น้ำท่วมที่ต้องติดตามต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน เพราะหลายพื้นที่เริ่มเห็นน้ำท่วมง่ายขึ้น"
สำหรับแนวโน้มเงินลงทุน ต่างชาติ นายสมบัติคาดว่าจะไหลเข้าทั้งในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ของไทย เนื่องจากดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงและมีทิศทางค่าเงินบาทแข็งค่า รวมทั้งเชื่อมั่นการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ระดับที่ดี จากกำลังซื้อประชาชนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ทางสมาคมกำลังรวบรวมผลสำรวจของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ซึ่งจะออกมาในช่วงปลาย เดือนตุลาคมนี้ หลังจากที่ครั้งก่อนหน้า (เดือนมิถุนายน) นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,268 จุด กำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโต 21% อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บทวิเคราะห์ที่ออกมาส่วนใหญ่แนะนำให้ "ลดน้ำหนัก" ลงทุนในหุ้นลงเหลือ 40% จากเดิมที่ 50-60% ของพอร์ต และ "ขายทำกำไร" ในหุ้นใกล้เต็มมูลค่า โดยให้กระจายความเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ, ตราสารหนี้, กองทุนเงินฝาก และถือเงินสด
ด้านนางสาววรสินี สังวรเวชภัณฑ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ทิสโก้ เวลธ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือน ต.ค.มีความเสี่ยงถูกกดดันจากประเด็นที่สเปนและอิตาลีมีภาระหนี้ก้อนใหญ่ครบ กำหนด
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยจากต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในเอเชียและเป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งกรณีรุนแรงสุดมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นจะลงไปทดสอบระดับ 1,150 จุด แต่เชื่อว่าตลาดไม่น่าปรับลดลงแรง เพราะในระบบมีสภาพคล่องอยู่จำนวนมากที่พร้อมจะไหลเข้ามาลงทุน หากไม่มีข่าวร้ายใด ตลาดหุ้นน่าจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ โดยมีแนวรับ 1,250 จุด และ 1,220 จุด
สำหรับ ในปีนี้ยังคงเป้าดัชนีที่ระดับ 1,300 จุด โดยยังมีความเสี่ยงจากหลายประเด็นที่ต้องรอความชัดเจน ทั้งผลของมาตรการช่วยเหลือปัญหาหนี้ในยุโรปและผลการเลือกตั้งในสหรัฐในช่วง ปลายปีนี้ อย่างไรก็ดี ยังมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทย โดยการบริโภคในประเทศและการลงทุนภาครัฐจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจ ในปีหน้า ซึ่งค่าพี/อีของกำไรปีུ ยังต่ำกว่าที่ 11.7 เท่า และ EPS ที่เติบโต 20% ให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น 60% ของพอร์ต
ส่วนนายเทิด ศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในเดือน ต.ค. นี้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติและสถาบันไทยจะขายทำกำไรเพราะขาดข่าวดี จึงมีแนวโน้มที่เงินจะเริ่มทยอยไหลออกจนถึงสิ้นปีนี้ ประกอบกับยังต้องติดตามผลของมาตรการต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมของทั้งสหรัฐและยุโรป และเดือน ต.ค.ที่ต้องติดตามหนี้ที่ครบชำระ PIGS จำนวน 6.7 หมื่นล้านยูโร จึงแนะนำขายทำกำไรและเลือกหุ้นอสังหาริมทรัพย์รายตัว คือ PS, MJD, SC, RML ซึ่งกำไรครึ่งปีหลังมีโอกาสเติบโตกว่าครึ่งปีแรก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นสูงสุดอันดับหนึ่ง ขณะ ที่มูลค่าการซื้อขายปรับลดลงน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย และภายหลังจากสหรัฐประกาศออกมาตรการ QE3 ถึงวันที่ 21 ก.ย.ดัชนีหุ้นไทยยังปรับตัวเพิ่มเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาค
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ก.ย. 55 22:14:32
|
|
|
|