ความคิดเห็นที่ 1 Executive Summary QE คือ การผ่อนคลายนโยบายการเงิน (ผลลัพธ์เสมือนหนึ่งการลดดอกเบี้ย) ของธนาคารกลาง โดยธนาคารกลางจะพิมพ์เงินออกมาซื้อสินทรัพย์มาเก็บไว้ที่ตัวเอง ธนาคารกลางมักทำ QE ในกรณีที่ไม่สามารถลดดอกเบี้ยได้อีกต่อไปแล้ว ในกรณีของสหรัฐฯ Fed เชื่อว่า QE ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถึง 3% (เมื่อเทียบกับไม่ทำ) และช่วยการจ้างงานกว่า 2 ล้านตำแหน่ง อย่างไรก้อดี ผลข้างเคียงของการทำ QE อาจส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจในอนาคตได้ แม้ปัจจุบันจะยังเห็นไม่ชัด โดยเฉพาะปัญหาฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ต่างๆ (เขียนมาตั้งนาน สรุปว่าเนื้อๆ มีแค่นี้จริงๆ นะเนี่ย ฮา) แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 22:49:46 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:48:11

ความคิดเห็นที่ 2 Q: นโยบายการเงินคืออะไร? A: ถ้าพี่ๆ ได้อ่านกระทู้ก่อนเรื่องนโยบายการเงิน* พี่ๆ คงพอทราบคร่าวๆ แล้วว่า นโยบายเศรษฐกิจมหภาคมีสองอันใหญ่ๆ คือนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง นโยบายการเงินคือ นโยบายที่ธนาคารกลางเป็นคนควบคุม โดยใช้เครื่องมือที่ตัวเองมีอยู่ ผลักดันให้เศรษฐกิจดำเนินไปในแบบที่ตัวเองต้องการ เครื่องมือที่ใช้ส่วนใหญ่มีสองแบบหลักๆ คือ อัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางใหญ่ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) รวมถึงธนาคารกลางของไทยด้วย (ธปท.) ใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือ กล่าวคือ ถ้าเศรษฐกิจโตจนมีปัญหาเงินเฟ้อ ก้อจะขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ ในทำนองเดียวกัน ถ้าเศรษฐกิจตก ก้อจะลดดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ เหมือนกันครับ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ใช้มักเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นครับ (เช่น กรณีของไทยใช้อัตราดอกเบี้ย 1 วัน (R/P 1day) ) *อาจารย์โกร่ง "ถก" กับแบงค์ชาติเรื่องอะไรครับ? http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2012/09/I12631620/I12631620.html จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:50:11

ความคิดเห็นที่ 3 Q: แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน? A: ที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น เราเรียกว่ามันเป็นนโยบายการเงินแบบดั้งเดิมครับ (Conventional Monetary Policy) สังเกตไหมครับ ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน สมมติว่า ถ้าเศรษฐกิจแย่ เราก้อลดดอกเบี้ยใช่ไหมครับ ถ้าลดไปเรื่อยๆ จนดอกเบี้ยเป็นศูนย์แล้ว เศรษฐกิจก้อยังไม่ดีขึ้นละครับ จะทำอย่างไร? ;) นั่นล่ะครับ ปัญหาใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศหลักๆ ทั่วโลกตอนนี้ อย่างที่ได้เรียนไว้ข้างต้น กระทู้นี้ ผมจะเน้นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ นะครับ ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า Fed มีเป้าหมายสำคัญสองอย่างคือ (1) ทำให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับที่เหมาะสม (คำว่าเหมาะสมในปัจจุบันก้อน่าสัก 5-6%*) และ (2) ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม (สัก 2% กำลังสวยเลย) แต่จากรูปคุณจะเห็นว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ ห่างไกลจากเป้าหมายของ Fed มากกกก คนสหรัฐฯ ตกงานเยอะมาก อัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูง เมื่อหันไปมองนโยบายการคลังก้อเริ่มขยับลำบาก หนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐฯ ถือว่าสูง แถมภายใต้กฏหมายปัจจุบัน ปีหน้าสหรัฐฯ จะลดการกระตุ้นทางการคลังอย่างมหาศาล (หรือที่เรารู้จักกันในนาม Fiscal Cliff นั่นเองครับ อ่าาา อะไรนะครับ โอเคครับ เดี๋ยวงวดหน้า จะมาเขียนเรื่อง Fiscal Cliff ให้อ่านกันครับ ^^") ดังนั้น Fed คิดว่า เค้าควรจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมครับ *ทางเทคนิคคือ การทำให้อัตราว่างงานเท่ากับอัตราว่างงานธรรมชาติ (Natural rate of unemployment หรืออัตราว่างงานที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออ่ะครับ) ซึ่งปัจจุบัน เค้าคาดว่าน่าจะอยู่ราวๆ 5 - 6% ถ้าจะพูดแบบหยาบๆ คือ ถ้าอัตราการว่างงานสูงกว่า 5-6% Fed จะกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผ่อนคลายนโยบายการเงินครับ เช่น ลดดอกเบี้ย หรืออะไรก้อว่าป แต่ถ้า อัตราการว่างงานต่ำกว่า 5-6% แปลว่า เศรษฐกิจเริ่มจะร้อนแรงเกินไป ถ้าเราปล่อยให้นโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไป มันจะไปเร่งให้เกิดเงินเฟ้อครับ ดังนั้น ถ้าอัตราการว่างงานต่ำเกินไป Fed มันจะเข้มงวดนโยบายการเงิน เช่น ขึ้นดอกเบี้ย ครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:51:10

ความคิดเห็นที่ 4 Q: อ้าว ดอกเบี้ยสหรัฐฯ มันเหลือศูนย์นานแล้วนิ มันลดดอกเบี้ยอีกไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ? A: ครับผม ภายหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 Fed พยายามที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ลดจนกระทั่งดอกเบี้ย จากที่เคยอยู่ระดับ 5.25 ก่อนวิกฤตปี 2008 จนเหลือ 0%* ในช่วยปลายปี 2008 หลังจากนั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯก้อยังไม่แข็งแกร่งนัก  ดังนั้น Fed คิดว่า Fed ต้องทำอะไรเพิ่มเติมสักหน่อย แต่ในเมื่อมันลดดอกเบี้ยอีกไม่ได้แล้ว แปลว่าเราไม่สามารถทำอะไรกับนโยบายการเงินแบบดั้งเดิมได้แล้ว อย่างไรก้อดี หลังๆ เริ่มมีคนศึกษาเรื่องนี้เยอะขึ้น และโดยทั่วไป เค้าแนะนำกันว่า ถ้านโยบายการเงินแบบดั้งเดิม (Conventional Monetary Policy) ใช้ไม่ได้แล้ว มาลองใช้นโยบายการเงินแบบไม่ดั้งเดิม (Unconventional Monetary Policy) กันดีกว่า ;) *จริงๆ มันไม่เชิง 0% ทีเดียวหรอกนะครับ Fed ตั้งไว้ที่ 0.00-0.25% เพราะ Fed คิดว่า การตั้งไว้ที่ 0 เลย อาจจะส่งผลเสียต่อตลาดการเงิน เพราะการกู้เงินในตลาดการเงินผ่านหน้าต่างต่างๆ ของ Fed มันก้อไม่ใช่ 0% ซะทีเดียวอยู่แล้ว จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:51:52

ความคิดเห็นที่ 5 Q: Unconventional Monetary Policy คืออะไร? A: ในทางทฤษฎี เวลาที่ธนาคารกลางไม่สามารถลดดอกเบี้ยลงได้อีกต่อไปแล้วนั้น เค้ามีทางเลือกหลักๆ 3 ทาง ในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจครับ คือ 1. สื่อสารว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกสักพัก (Forward Guidance) 2. เปลี่ยนสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ในงบดุลของธนาคารกลาง 3. ขยายงบดุลของตัวเอง (หรือที่เค้าเรียกว่า Quantitative Easing หรือ QE พระเอกของเราในวันนี้เนี่ยล่ะครับ ;) ) ซึ่ง Fed ได้ทำ 3 ข้อข้างต้นหมดเลย เช่นกันครับ ฟังดูยากเนอะครับ มาดูของจริงกันดีกว่าครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:52:36

ความคิดเห็นที่ 6 ข้อ 1. สื่อสารว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกสักพัก รู้ไหมครับว่า คำพูดของธนาคารกลางมีผลต่อตลาดสุดๆๆๆๆๆ ด้วยเหตุนี้ ธนาคารกลางจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ตามใจชอบ โดยเฉพาะคำพูดที่เป็นทางการนี่ ต้องผ่านการกลั่นกรอง ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก การใช้คำพูดสื่อสารถึงอัตราดอกเบี้ยในอนาคต จะช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest rate risk) ให้กับระบบเศรษฐกิจ กรณีของ Fed เค้าเริ่มต้นโดยใช้คำว่า อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปสักพัก โดยใน statement ของการประชุมวันที่ 18 ธ.ค. 08 Fed พูดว่า "weak economic conditions are likely to warrant exceptionally low levels of the federal funds rate for some time." จากนั้น เค้าใช้คำพูดที่แรงขึ้น โดยในการประชุม ณ วันที่ 18 มี.ค. 09 Fed สื่อสารว่า อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง หรือที่ภาษาอังกฤษว่า "economic conditions are likely to warrant exceptionally low levels of the federal funds rate for an extended period" เศรษฐกิจก้อยังไม่ดีขึ้นอีก ดังนั้น ในการประชุม ณ วันที่ 21 ก.ย. 10 เค้าเลยพูดให้ชัดขึ้นไปอีกว่า อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำจนถึงกลางปี 2013 "to warrant exceptionally low levels for the federal funds rate at least through mid-2013." ซึ่งเค้าก้อขยายเวลาการขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนล่าสุด เมื่อการประชุมครั้งที่ผ่านมา Fed อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำจนถึงช่วงกลางปี 2015 ครับ การให้คำมั่นว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ต่ำต่อไป ช่วยให้คนที่กำลังลังเลว่าจะกู้เงินดีหรือไม่ (เพราะกลัวว่า ถ้ากู้ไปแล้ว ต่อไปดอกเบี้ยขึ้น จะทำให้ตัวเองต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงขึ้น) ตัดสินใจกู้เงินได้ง่ายขึ้น สถาบันการเงินก้อเช่นกัน ถ้าจะจัดโปรโมชั่นดอกเบี้ยต่ำ ก้อกลัวว่า จัดไปสักพัก Fed ขึ้นดอกเบี้ย ตัวเองก้อขาดทุน เลยไม่ค่อยจะอยากปล่อยกู้ การที่ Fed ให้คำมั่นแบบนี้ มันช่วยให้สถาบันการเงินกล้าปล่อยกู้มากขึ้น ถ้าผมเป็นแบงค์แล้วผมรู้แน่นอนว่า ผมสามารถกู้เงินจาก Fed ได้ในอัตราดอกเบี้ย 0% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมก้อคงจัดโปรโมชั่น ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับผ่อนซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า ซื้อกล้อง ซื้อโทรศัพท์ไรงี้ หรือแม้กระทั่งซื้อรถยนต์ก้อยังได้เลย ถ้าคุณตั้งใจจะผ่อนหมดในสามปี เห็นไหมครับ การให้ความมั่นใจกับสาธารณะว่า อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำในอนาคตมันช่วยเศรษฐกิจได้ ด้วยเหตุนี้ล่ะครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:53:03

ความคิดเห็นที่ 7 ข้อ 2 เปลี่ยนสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ในงบดุลของธนาคารกลาง นอกจากนี้ โดยปกติ เงินที่พิมพ์ออกมาจะนำเป็นซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ในสัดส่วนประมาณหนึ่งเสมอ อย่างไรก็ดี ถ้าธนาคารกลางเห็นว่าสินทรัพย์หนึ่งๆ มีราคาต่ำเกินไปจนก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางอาจ "ลำเอียง" (bias) โดยการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการเข้าซื้อของตนได้ เช่น ถ้าเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงเกินไป (เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น) ธนาคารกลางอาจจะขายพันธบัตรระยะสั้น เพื่อเอาเงินนั้นเข้าไปซื้อพันธบัตรระยะยาวในจำนวนเงินที่เท่ากัน การทำแบบนี้ ไม่ทำให้สินทรัพย์ที่ธนาคารกลางถืออยู่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ สัดส่วนของสินทรัพย์ที่ Fed ถืออยู่ และ Fed หวังว่า ราคาของสินทรัพย์ต่างๆ จะเปลี่ยนไปตามสัดส่วนนั้นๆ ด้วยครับ ข้อ 3. ขยายงบดุลของตัวเอง เอาง่ายๆ นะครับ ธนาคารกลางมีหน้าที่พิมพ์เงินอยู่แล้วใช่ไหมครับ เงินทุกๆ บาท ที่ธนาคารพิมพ์ออกมา มันจะทำให้สภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น เงินในระบบที่เพิ่มขึ้น มันจะไปโผล่ในงบดุลของธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) พอ ธพ. มีเงินมากขึ้น เค้าก้อจะสามารถปล่อยกู้ได้มากขึ้นครับ ซึ่งกรณีที่ธนาคารไม่สามารถลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ แต่ยังต้องการจะกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ธนาคารกลางก็จะพิมพ์เงินออกมาเนี่ยล่ะครับ การกระทำแบบนี้ เราเรียกว่า Quantitative Easing (QE) หรือภาษาไทยว่า การผ่อนคลายเชิงปริมาณ*นั่นเองครับ *ถ้าสังเกตดีดี จะเห็นว่า การลดดอกเบี้ยเป็นการผ่อนคลายเชิงราคา (ด้าน price) ส่วนการเพิ่มปริมาณเงินก็เป็นเชิงปริมาณ (ด้าน quantity) ซึ่งมีเป้าหมายเดียวกัน คือ กระตุ้นเศรษฐกิจ ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:53:38

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าอ่านแล้ว งงๆ มาดูตัวอย่างกันครับ กรณีของสหรัฐฯ นั้น Fed ทำ QE มาสามหน ครั้งแรกเมื่อปีไตรมาสที่ 4 ปี 2008 Fed ทยอยเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและ Asset-Backed Security (ABS) ที่ออกโดย Government Sponsored Enterprise (GSEs) (พวก Fannie Mae & Freddie Mac อ่ะครับ) รวมทั้งสิ้น 1.425 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการล้างหนี้เน่าออกจากงบดุลของ ธพ. ถ้าใครจำได้ในกระทู้ Subprime ผมเคยเล่าให้ฟังว่า ธพ ไม่สามารถกู้ยืมเงินในตลาดได้ เพราะทุกคนกลัวกันหมดว่า คนที่เข้ามายืมเป็นคนที่มีหนี้เน่าๆ และกำลังจะเจ๊ง ทำให้ตลาดการเงินไม่มีใครกล้าปล่อยกู้ การที่ Fed เข้าไปซื้อหนี้เน่าๆ ออกมา ทำให้ ธพ กล้าให้ยืมกันมากขึ้น ตลาดการเงินจึงเป็นปกติมากขึ้น ส่งผลให้ ธพ. ปล่อยกู้ได้มากขึ้น เศรษฐกิจก้อเป็นปกติมากขึ้น นอกจากนี้ Fed ยังเจียดเงินอีก 300 ล้านดอลลาร์ไปไล่ซื้อ พันธบัตรรัฐบาล เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงอีกด้วย สังเกตไหมครับ  QE I ของ Fed มุ่งเน้นไปที่การทำให้การกู้ยืมในตลาดเป็นปกติมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ Fed จึงบอกอยู่เสมอว่า การทำ QE I นั้น เป็น Credit Easing มากกว่าที่จะเป็น Quantitative Easing  (จุดประสงค์หลักคือ ทำไงก้อได้ ให้การกู้ยืมกลับมาเป็นปกติ) หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมต้อง สร้างคำขึ้นมาใหม่ด้วย ใช้ QE เดิมๆ ไม่ได้หรือไง หรืออยากให้คำมันฮิตๆ แฮะๆ อย่างที่บอกไว้ในความเห็นต้นๆ ครับ คำพูดของธนาคารกลางสำคัญมากๆ และมีผลต่อตลาดมากๆ นโยบายการเงินส่วนใหญ่ทำงาน ผ่านความคาดหวังของคนทั้งนั้น (via expectation channel) Fed ต้องการให้ตลาดกลับมาเป็นปกติ Fed เลยต้องออกมาตรการออกมา พร้อมสื่อสารด้วยว่า Fed ต้องการอะไร ถ้าธนาคารกลางมีความน่าเชื่อถือ ตลาดก้อจะทำตามแบบนั้นครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:54:55

ความคิดเห็นที่ 9 ต่อจากนั้นมาอีกสองปี ถ้าทุกท่านยังจำกันได้ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2010 ณ งานสัมมนาวิชาการประจำปีของ Fed ที่ Jackson hole Bernanke ได้กล่าวสุนทรพจน์โดยสื่อสารว่า Fed กำลังจะออก QE2 โดย Fed จะเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ เป็นจำนวน 600 พันล้านดอลลาร์ เป็นระยะเวลา 8 เดือน (ตั้งแต่ พ.ย. 08 ถึง มิ.ย. 09) ตอนนั้นเป็นข่าวดังมาก เพราะปกติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมักจะรอออกมาตอนประชุม FOMC (เหมือนประชุม กนง. บ้านเรา) แต่นี่ ประธาน Fed ออกมาพูดล่วงหน้าก่อนการประชุม ซึ่งไม่ค่อยมีใครเค้าทำกัน ตรรกะของการทำ QE2 แตกต่างกับตอน QE1 อย่างสิ้นเชิง โดยเหตุผลของ QE2 Fed ชี้ว่า ตอนนั้นเศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้อย่างอ่อนแอ แต่อัตราเงินเฟ้อกลับชะลอลงอย่างมาก จน Fed กลัวว่าจะเกิดเงินฝืด (Deflation) ทราบไหมครับ ว่า Fed กลัวเงินฝืดมากที่สุด มากกว่าเงินเฟ้อ มากกว่าเศรษฐกิจตกต่ำ เพราะเงินฝืดมันแก้ไขยากกว่ามากๆ ลองถ้าประเทศตกอยู่ในสถานการเงินฝืดแล้ว เศรษฐกิจก้อจะหดตัวตามไปด้วย เนื่องจากคนไม่ใช้จ่าย ไม่ลงทุน * ยิ่งถ้าธนาคารกลางไม่สามารถทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาขยายตัวเหมือนเดิมได้ แม้ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจมากขนาดไหนแล้วก้อตาม ปัญหานี้ก้อจะยิ่งหาทางออกลำบากครับ ตัวอย่างก้อไม่ต้องไปไกล ญี่ปุ่นเนี่ยล่ะครับ ที่เจอปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้เศรษฐกิจแทบจะไม่ขยายตัวเลย สภาพคล่องล้นระบบ อัตราเงินเฟ้อก้อออกแนวติดลบนิดๆ ไรงี้ครับ เมื่อตอนปี 2003 Bernanke เคยไปพูดที่ญี่ปุ่น (ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นประธาน Fed นะครับ แค่เป็นบอร์ดเฉยๆ) ซึ่ง Speech อันนี้ของ Bernanke ดังมากๆๆ โดยเค้าบอกว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นทำผิดพลาดไปหลายอย่าง เช่นไม่ยอมกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนเยอะๆ ในช่วงที่ญี่ปุ่นเจอเงินฝืดใหม่ๆ การปล่อยให้เงินฝืดมายาวนาน ทำให้การแก้ปัญหามันอาจจะยากเกินแกงแล้ว ด้วยเหตุนี้ล่ะครับ หลังจากที่เค้าขึ้นมาเป็นประธาน Fed เราจึงเห็นว่า เมื่อสหรัฐฯ แค่เริ่มมีสัญญาณเงินฝืดแม้เพียงนิดเดียว Bernanke ต้องออกมาตรการตอบโต้ทันทีทันใด แม้จะรอไปอีกสักนิดสักหน่อย ก้อไม่ยอม ต้องลุยกันเดี๋ยวนั้นครับ ;) *เนื่องจากเงินในอนาคตจะมีอำนาจซื้อมากกว่าปัจจุบัน เช่น ปัจจุบัน ก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาท แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณทราบว่า มันจะลดราคาเหลือชามละ 5 บาท วันนี้คุณจะกินแค่กันตายพอ แต่พรุ่งนี้ค่อยซัดเต็มๆ แต่พอมันลดมาเหลือ 5 บาทจริงๆ คุณก้อจะทราบอีกว่า พรุ่งนี้มันจะลดเหลือ 2 บาทเองนะ คุณก้อจะผลัดการใช้จ่ายไปเรื่อยๆ บลาๆ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวก้อขายไม่ดี แถมคิดว่าพรุ่งนี้ราคาก้อจะตกอีก เจ้าของร้านก้อไม่ค่อยอยากลงทุนขยายร้าน บลาๆ เศรษฐกิจก้อจะตกต่ำครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:55:40

ความคิดเห็นที่ 10 หลังจากจบ QE2 Fed ยังเห็นว่า อัตราการว่างงานยังไม่ลงมาเท่าไรนัก Fed จึงออกมาตรการเพิ่ม ซึ่งคราวนี้ไม่ได้ขยายงบดุล แต่ Fed เปลี่ยนไปใช้เครื่องมือในข้อ 2 แทน คือ เปลี่ยนสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ในงบดุลของตัวเอง ซึ่ง Fed เรียกโปรแกรมนี้ว่า Maturity Extension Program หรือที่ตลาดเรียกกันว่า Operation Twist (OT) ครับ จุดมุ่งหมายก้อตามชื่อเลยครับ Fed ต้องการขยายอายุ (maturity) ของพันธบัตรรัฐบาลที่ตัวเองถืออยู่ โดย Fed จะขายพันธบัตรระยะสั้นจำนวน 400 พันล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เดือน ก.ย. 11 ถึง มิ.ย. 12 และนำเงินดังกล่าวไปซื้อพันธบัตรระยะยาวในมูลค่าที่เท่ากัน การทำเช่นนั้นจะทำให้อายุเฉลี่ยของพันธบัตรที่ Fed ถืออยู่ยาวขึ้น หรือในทางกลับกัน อายุเฉลี่ยของพันธบัตรที่อยู่ในตลาดสั้นลง การทำ OT นอกจากจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวลดลงแล้วนั้น การลดลงของอายุเฉลี่ยของพันธบัตรในตลาด จะทำให้ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest rate risk) ของตลาดลดลงอีกด้วย (ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้น คนที่ถือพันธบัตรระยะยาวจะเจ็บตัวมากกว่าคนที่ซื้อพันธบัตรระยะสั้น ดังนั้น Fed จึงยอมถือเอาไว้เอง เพื่อลดความเสี่ยงของตลาด ซึ่งปัจจุบันความเสี่ยงด้านดอกเบี้ยมันคงเป็นขาขึ้นมากกว่าใช่ไหมครับ เพราะดอกเบี้ยมันอยู่ที่ศูนย์แล้ว ^^") หลังจากที่ OT1 หมดอายุลงเมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา Fed ก้อต่ออายุมาตรการ หรือ OT2 ออกมาครับ โดยทำแบบเดียวกันเลย เป็นจำนวนเงิน 267 พันล้านดอลลาร์ จนถึงสิ้นปีนี้ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:56:33

ความคิดเห็นที่ 11 Q: แล้ว QE ที่ทำมาเนี่ย ประสบความสำเร็จไหม? A: จริงๆ คำถามนี้ มันตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะต่อเราเห็นว่า เศรษฐกิจมันดีขึ้น การกู้ยืมมันเพิ่มขึ้น เราก้อไม่ทราบแน่ชัดว่า มันเป็นผลเพราะ QE หรือเปล่า อย่างไรก็ดี ตอนที่ Fed ทำ QE ผลตอบแทนของพวกตราสารต่างๆ มันลดลงจริงๆ ครับ ทั้ง MBS หรือพันธบัตรรัฐบาลเอง (ซึ่งตามตรรกะ มันก้อควรจะเป็นแบบนั้นครับ มีคนไปไล่ราคา ไงไงหุ้นมันก้อน่าจะขึ้นจริงไหมครับ ^^" ) Bernanke เค้าเคลมว่า QE1+2 เนี่ย สามารถช่วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้* โดย QE1 สามารถทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ ลดลงได้ 40-110 bps ขณะที่ QE2 ลดได้ 15-45 bps QE ทั้งสองครั้ง สามารถช่วยให้ GDP สหรัฐฯ ขยายตัวได้เพิ่มขึ้น 3% (เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มี QE นะครับ) และช่วยเพิ่มการจ้างงานได้กว่า 2 ล้านตำแหน่งครับ อย่างไรก้อดี เศรษฐกิจสหรัฐฯ เหมือนทำท่าจะไปได้สวย เมื่อตอนต้นปีนี้ ก้อยังขยายตัวดีอยู่ แต่ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา เศรษฐกิจก้อดูจะอ่อนแอลงไปอีกครับ *"Monetary Policy since the Onset of the Crisis", Speech at Jackson Hole, Aug 31, 2012 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:57:11

ความคิดเห็นที่ 12 Q: และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญของ QE3 ? A: ใช่ครับ Fed บอกว่า เศรษฐกิจขยายตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็นมาก และการขยายตัวช้า มันทำให้อัตราการว่างงานมันไม่ลดลงมาสักที ดังนั้น Fed จึงออก QE เป็นรอบที่ 3 อย่างที่ทุกท่านทราบล่ะครับ คราวนี้ Fed เปลี่ยนไปซื้อ MBS แทนที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลในงวดก่อน โดย Fed เห็นว่า การซื้อ MBS จะช่วยตลาดบ้านได้ดีกว่าการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล โดย Fed จะทยอยๆ ซื้อ เดือนละ 40 พันล้านดอลลาร์ โดยไม่มีกำหนดว่า จะเลิกเมื่อไร พร้อมๆ กับย้ำด้วยว่า ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น Fed ก้อพร้อมที่จะออกมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมครับ ซึ่งเมื่อดูจากประมาณการณ์เศรษฐกิจของ Fed แล้ว ดูท่าทางพี่แกจะมั่นใจมากครับว่า QE3 จะช่วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ และจะช่วยให้อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 6% ในปี 2014 ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:58:13

ความคิดเห็นที่ 13 Q: แล้ว m_ple คิดว่า QE3 จะช่วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ไหม? A: อันนี้มาจากความเชื่อล้วนๆ นะครับ ผมคิดว่า ผมเห็นด้วยว่า การทำ QE ของ Fed มันก้อคงช่วยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ในระดับหนึ่งล่ะ แต่การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมากแบบนี้ แล้วเศรษฐกิจมันยังไม่ดีขึ้น มันก้อฟ้องว่า ดอกเบี้ยต่ำ/นโยบายการเงินผ่อนคลาย อย่างเดียวมันไม่เพียงพอ มันคงมีปัจจัยอื่นๆ อีก ที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง จะว่าไป มันก้อปกติอยู่แล้วที่ภายหลังวิกฤตการเงิน เศรษฐกิจที่เจอปัญหาดังกล่าว มักใช้เวลานานในการแก้ไข (เช่น ทุกภาคส่วนคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก อาจจะหลายปีหน่อย ในการจัดการหนี้เสียที่ตัวเองก่อไว้) การทำ QE มันก้อคงช่วยให้ process ดังกล่าว เร็วขึ้น แต่ประเด็นสำคัญคือ ผมไม่แน่ใจว่า การทำ QE มันมีผลดีหรือผลเสียมากกว่ากัน โดยเฉพาะ วันที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัวกลับมาได้นั้น Fed จะถอนมาตรการที่ตัวเองทำขึ้น แบบไหน อย่างไร หรือถ้ามองโลกในแง่ร้ายกว่านั้น ถ้า QE ที่ทำไป มันไม่ช่วยเศรษฐกิจมากนัก แถมดันทำให้เกิดฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ล่ะ ถึงตอนนั้น คงดูไม่จืด ^^" เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหม่ ผมว่าไม่มีใครรู้หรอกครับ ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก้อได้แต่จับตาดูกันไปครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:58:47

ความคิดเห็นที่ 14 จบแล้วครับ เรื่องมุมมองเกี่ยวกับว่า หุ้นจะขึ้นไหม น้ำมันจะไปเปล่า บลาๆ ไรนี่ ผมขอตัวนะครับ แฮะๆ จนด้วยเกล้าครับ ^^" พบกันใหม่ โอกาสหน้าครับ สวัสดีครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 22:59:24

ความคิดเห็นที่ 15 ผมขอให้ได้เป็นกระทู้แนะนำนะครับ ในภาวะขาดกระทู้แนะนำแบบคุณภาพเช่นตอนนี้ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 15 ต.ค. 55 23:14:21 จากคุณ : กาแฟร้อนมันขม กาแฟเย็นมันหวาน เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 23:11:51

ความคิดเห็นที่ 16 รอมานานแล้ว สุดยอดเช่นเคย ขอบคุณมากครับ ^^ จากคุณ : SundayroyaL เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 23:16:27

ความคิดเห็นที่ 17 ไอ้เครื่องมืออันที่2 มันคือoperation twistใช่ไหมครับ จากคุณ : เขียนบน iPhone (nammak) เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 23:28:11

ความคิดเห็นที่ 18 QE คือนโยบายพิมพ์แบงค์ฟรีค่าเงินไม่ตก ทำได้เฉพาะ อเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นเท่านั้น จากคุณ : H-vichaiyut เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 23:50:59

ความคิดเห็นที่ 19 กระทู้น่าเเนะนำครับ ความรู้ จากคุณ : tunatae เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 55 23:55:48

ความคิดเห็นที่ 20 เข้ามาอ่านเก็บเกี่ยวความรู้และเชียร์น้อง m_ple ค่ะ สุดยอดไปเลย จากคุณ : หวานใจกัปตัน เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 08:40:24

ความคิดเห็นที่ 21 ให้ความรู้ดีมากครับ จากคุณ : hallelujoh เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 09:06:14

ความคิดเห็นที่ 22 คุณเอมเปิ้ล น่าจะลองรวบรวบบทความ เสนอสำนักพิมพ์พิมพ์เป็นหนังสือครับ  (ถ้าไม่อยากจะลงทุนเอง) จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 09:06:59

ความคิดเห็นที่ 23 งานคุณภาพไม่เคยเปลี่ยนค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : PrinceAlwaysLate เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 09:16:02

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ เข้าใจ QE ขึ้นมากเลยครับ จากคุณ : Enchize เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 09:26:28

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณที่มาแบ่งปันความรู้ค่ะ เข้าใจง่ายขึ้นเยอะเลย :) จากคุณ : pin_clip เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 09:38:40

ความคิดเห็นที่ 26 สุดยอดเลย จากคุณ : OreOแง่มๆ เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 10:12:06

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณมากครับ ทำให้เข้าใจเรื่องราวได้ดีมากขึ้น เหมือนดูหนังเรื่องหนึ่งจบ แต่ยังต้องมีภาคต่อไป และยากจะคาดเดา... จากคุณ : kokrab เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 10:26:41

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณค่ะ อ่านนานเลย จากคุณ : ฮีโร่เหมียว เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 10:29:00

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณสำหรับความรู้เจ้า จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 10:34:12

ความคิดเห็นที่ 30 เยี่ยมครับ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : Sylphs เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 10:44:11

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมาก  ๆ เลยนะครับที่ช่วยนำความรู้สู่คนรู้น้อย จากคุณ : tueuob1 เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 11:56:58

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณมากครับ ความรู้ที่ได้มากมายจริงๆ พึ่งเข้าใจ QE กะภาวะเงินฝืดจากกระทู้นี้เอง การเขียนเรื่องยากให้เข้าใจง่ายนี่ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและลำบาก ถ้าผู้เขียนไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่รู้วิธีการถ่ายทอด และไม่มีความอดทน เป็นไปไม่ได้นะครับ ชื่นชมคนเก่งที่มีใจเอื้อเฟื้อแบ่งปันความรู้ สุดยอดครับ จากคุณ : ไร้แก่นสาร เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 13:06:36

ความคิดเห็นที่ 33 อ่านแล้ว มีความเข้าใจมากขึ้น แต่คิดว่ายังแก้ไม่ได้เพราะคนอเมริกันติดนิสัยใช้ ทรัพยากรของประเทศอื่นที่ไปโกยเอามา ซึ่งรัฐบาลอเมริกันต้องหา แต่ยากขึ้น จากคุณ : จำใจเม่า (จำใจเม่า) เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 16:22:02

ความคิดเห็นที่ 34 สุดหยอดครับ จากคุณ : Juste เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 17:05:04

ความคิดเห็นที่ 35 ความเข้าใจของผม คือ พวก มะกัน  และ ฝรั่ง หัวแดง   มัน ขี้เกียจ ทำงาน  รักงานสบาย แต่รายได้สูงตั้งมาตรฐานชีวิตตัวเองไว้สูง เกินกว่า มนุษย์ในโลก ที่ผ่านมา ทำได้ จากการ รีดไถ ประเทศ อื่น ๆ   มาถึง จุด ๆ หนึ่ง ไปรีดไถ เขาไม่ได้แล้ว ทั้งจากเรื่องการค้า  การเมือง ที่ประเทศอื่น คนเขาฉลาดขึ้น ขยันขึ้น   แต่  คนส่วนใหญ่ของประเทศตัวเอง ยังขี้เกียจ เคยชินกับความสบาย เงิน ทอง ก็เลยไม่พอใช้ ดูตัวอย่าง จาก กรีซ เป็นต้น เป็นที่มาของปัญหา    ฟันธง ได้เลย ว่า  QE3 แก้ไม่ได้ เพราะ คนจะกลัวเหมือนคนญี่ปุ่น   ไม่กล้าใช้เงิน แต่ก่อนหน้านั้น พวก ที่ดิน หุ้น  ทอง  ขึ้นแน่ ฟันธง จากคุณ : ใจสั่งมา เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 17:49:34

ความคิดเห็นที่ 36 ทำไมอัตราว่างงานในสหรัฐยังสูงครับ  คนเค้าจมไม่ลงจากเหตุการณ์ปี 2008 รึเปล่าครับ ประมาณลูกจ้างที่เคยทำงานในบริษัทใหญ่ๆตอนหลังถูกเลิกจ้าง  แต่ก็ไม่คิดจะลดตัวลงไปทำงานอื่น  ที่ได้แค่ค่าแรงขั้นต่ำ  ปัญหานี้มีส่วนมั้ยครับ จากคุณ : กำเนิดจากน้ำที่หน้าห้องน้ำ เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 20:50:57

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่รู้ว่าคุณmpleจะมาตอบให้ไหม คือไม่แน่ใจว่าประเทศอื่น เช่น กรีก สเปน ทำไมไม่คิดทำQE บ้างครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : ข้าวกระเพรา เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 55 23:41:39

ความคิดเห็นที่ 38 #37 คุณช้าวกระเพราไก่ไข่ดาว อาจผิดได้ครับ กรีซกับสเปนทำเองไม่ได้ครับต้องให้ ECB ทำ ก่อนหน้านี้ ECB ไม่อยากทำเพราะกลัวเงินเฟ้อ ซึ่งตอนนี้เงินเฟ้อในยูโรโซนก็อยู่ที่ 2% กว่าแล้ว แถมไม่อยากถูก(ด่า)ว่าพิมพ์เงินขึ้นมาในอากาศ แต่ล่าสุด OMT ก็เป็นลักษณะนั้นแล้วครับ เพียงแต่ว่าต้องขอความช่วยเหลือจากกองทุน ESM และใช้เงินจากกองทุน ESM ก่อนครับ จากคุณ : Sylphs เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 12:59:20

ความคิดเห็นที่ 39 บทเรียนที่ตัวเองเคยเจอเมื่อตอน Great Depression กับบทเรียนของญี่ปุ่นบอกว่า ให้สหรัฐฯต้องทำตรงกันข้าม แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันถูกหรือผิด ต้องมองย้อนกลับไป เมื่อเวลาและเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว จากคุณ : JohnRunway เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 14:39:01

ความคิดเห็นที่ 40 ใ้ห้ give ก่อนอ่าน จากคุณ : kmir เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 20:42:39

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณมากนะครับสำหรับความรู้ที่ได้รับครับ จากคุณ : เจ็บใจคนรักโดนรังแก เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 21:02:44

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณมากนะครับ สำหรับทุกๆ กิฟท์และทุกๆ โหวต จขกท ปลาบปลื้ม ^^" (โดยเฉพาะแรงยุให้รวมเล่มของเฮียเอนโด ฮา) ขอตอบบางคำถามดังนี้นะครับ คห. 17 คุณ nammak ถูกต้องนะครับ ;) คห. 36 คุณกำเนิดจากน้ำที่หน้าห้องน้ำ ที่คุณพูดมาก้อมีส่วนครับ แต่ส่วนใหญ่ เราเชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ไม่มากพอที่จะทำให้ภาคธุรกิจจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญครับ ถ้าของยังขายได้ไม่ดีมาก โรงงานคงลำบากใจที่จะจ้างคนเพิ่ม จริงไหมครับ ;) คห. 37 คุณข้าวกระเพรา ตอบสิครับ (ถ้าไม่ตอบ แปลว่าลืมครับ ฮา) ส่วนหนึ่งก้ออย่างที่คุณ Sylphs ตอบไว้ใน ความเห็น 38 ครับ ว่า กรีซและสเปนไม่มีนโยบายการเงินเป็นของตัวเอง แต่ใช้ ECB เป็นธนาคารกลางร่วมกันทั้งยูโร แต่ถ้าถามว่า ทำไม ECB ไม่ใช้ QE ผมขอตอบว่า ในทางทฤษฎีแบบดั้งเดิม อย่างที่ผมเรียนไว้ข้างต้น เราใช้ QE ก้อต่อเมื่อ ดอกเบี้ยมันลดลงไม่ได้แล้วครับ แต่ ECB ยังพอมีช่องทางที่จะลดดอกเบี้ยได้อยู่ (อัตราดอกเบี้ย refi rate ที่เค้าใช้เป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 0.75% ครับ) ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ก้อลดดอกได้ครับ ไม่จำเป็นต้องทำ QE ครับ แต่บางท่านอาจจะแย้งว่า อ้าวแล้ว OMT (Outright Monetary Transactions) ล่ะ หรือ SMP (Securities Market Program) ที่เคยทำมันก้อเหมือนๆ QE ไม่ใช่เหรอ ส่วนตัวผมเห็นว่า แม้การกระทำจะคล้ายๆ กัน แต่จุดมุ่งหมายของเค้าไม่ได้ต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่มุ่งเน้นไปในการเพิ่มสภาพคล่องในบางตลาดมากกว่า ดังนั้น ผมจึงไม่ได้จัดว่ามันเป็น QE ครับ ;) แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 55 23:46:45 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 55 23:45:48

ความคิดเห็นที่ 43 ผมคิดว่ามาตรการ QE  เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมากกว่า เพราะถ้าได้ผลจริงป่านนี้  เศรษฐกิจสหรัฐก็น่าจะฟื้นจากก้นเหว ไปได้แล้วจากการออกQE1และ2  ปัญหาก็คือเงินไปอยู่แต่ในมือ ธนาคารพาณิชย์แต่ธนาคารไม่ปล่อยกู้ เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ดี กลัวว่าจะเกิดหนี้เสียอีก  ธนาคารจีงต้องเอาสภาพคล่องที่ได้มา ไปลงทุนในตลาดเงิน และตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ทำให้ราคา หุ้นและสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลกเพิ่มขึ้น    แต่ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจ ของสหรัฐฟื้นตัวอย่างที่คาดหวัง QE3นี้ก็คงจะช่วยไม่ได้มากเท่าไร นัก  ไม่สมกับจำนวนเงินมหาศาลที่ทุ่มลงไป และอาจจะเกิดผลเสียตาม มาได้อย่างที่คุณ m_ple ว่าไว้ ผมคิดว่าทางรัฐบาลสหรัฐควรจะออกมา กระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเพีื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในอีกทางด้วย เพราะการ อาศัยภาคเอกชนนั้นจะเชื่องช้ามาก   แต่ว่าทางรัฐบาลสหรัฐก็มีปัญหา ขาดดุลงบประมาณมหาศาล    ซี่งปีหน้าก็จะต้องตัดงบประมาณภาครัฐ ลงอีก ทำให้ทางรัฐบาลทำอะไรได้ไม่มากนัก    เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจ สหรัฐคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆกว่าจะฟื้นตัวเป็นปกติได้   ส่วนราคาหุ้น นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จากคุณ : Mazzor เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 11:45:54

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณมากนะครับ สำหรับความรู้ที่ได้แบ่งปัน จากคุณ : จอบบ้อน เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 16:04:44

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณมากครับ สำหรับความรู้ดีๆ จากคุณ : HAAA! เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 55 22:44:24

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณมากครับพี่ สำหรับข้อมูลดีๆ มีประโยชน์มากมาย ^^ จากคุณ : หน่อย (Todo) เขียนเมื่อ : 19 ต.ค. 55 11:03:35

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณค่ะ   หลังๆ มานี่เหมือนเน้นแต่ภาคการเงินนะคะ จากคุณ : nusarathi เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 55 09:43:20

ความคิดเห็นที่ 48 คุณ nusarathi Good point เลยครับ ทำไมหลังๆ มีแต่เรื่องแบบนี้ ทราบไหมครับ เพราะปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันทั้งสหรัฐฯ และยุโรป ภาคการคลัง ไม่มี  room ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนวิกฤตครั้งก่อน ๆ แล้วครับ นั่นทำให้ทุกอย่างต้องตกมาเป็นภาระของนโยบายการเงิน อีกอย่างหลังๆ ในแวดวงวิชาการ เราเชื่อว่า ภาคการเงินมีอิทธิพลต่อเศรษฐมากกว่าที่เราเคยทราบ (รวมถึงการพัฒนาตลาดการเงิน มันยิ่งทำให้อิทธิพลของมันยิ่งสูงมากขึ้นไปอีกครับ) ทำให้ช่วงหลังๆ ถึงมีแต่ข่าวพวกนี้ครับ เอะอะอะไร ก้อบอกว่า ภาครัฐทำอะไรไม่ได้ (หรือไม่ทำ) และพยายามจะบอกว่า ธนาคารกลางยังมี room ที่จะทำได้อยู่ มันก้อออกจะเหมือนมัดมือชกธนาคารกลางครับ ไม่ทำก้อไม่ได้ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 21 ต.ค. 55 13:47:20

ความคิดเห็นที่ 49 ขอบคุณครับ แต่ว่า อย่าไปเชื่อ  คำพูดมันมาก  เฟด ก็เหมือน คนอื่นๆในโลกการเงิน พูด เพราะผลประโยชน์ทั้งนั้น  โดยเฉพาะคำว่า กลัวเงินฝืด ความจริงคือ มันเป็นองกรณ์ที่ทำหน้าที่พิมพ์แบงค์ ไม่มีหรอกเงินฝืด มีแต่จะทำเงินเฟ้อ มันเลยต้องพูดว่า กลัวเงินฝืด จากคุณ : szworker เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 00:48:33