|
การลงทุนใน Growth stock และจิตวิทยาการลงทุน (ต่อ)
- การมอง megatrend จะทำให้เราเข้าใจว่า..กลุ่มอุตสาหกรรมใดที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น จากการเติบโตของความต้องการของผู้บริโภค และการเติบโตของ supply ที่มีต่อ demand ของผู้บริโภค - ไม่สามารถรับประกันได้ว่า…หุ้นที่อยู่ใน Megatrend จะเป็นหุ้นที่ประสบความสำเร็จเสมอไป เนื่องจาก 1. ถ้าบริษัทไม่ได้มีแรงจูงใจในการเติบโต…ทำพออยู่ไปวันๆ ก็ไม่มีทางเติบโตได้ เช่น ร้านมือถือ แม้ช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมจะเติบโตเพราะมือถือราคาถูกลง…แต่ถ้าเจ้าของเป็นคนที่ทำงานเช้าชามเย็นชามไม่หาความก้าวหน้า บริษัทไม่มีทางเติบโตได้ 2. ถ้าบริษัทไม่ได้มีความสามารถในการแข่งขัน…เมื่อทรัพยากรไม่พอเพียงต่อการเจริญเติบโตของทุกองค์กร (สิ่งมีชีวิต) ไม่สามารถหาตลาดใหม่ๆ (หาพื้นที่แหล่งอาหารใหม่) ไม่สามารถป้องกันผู้เล่นรายใหม่ที่เข้าสู่อุตสาหกรรมได้ (มีสิ่งมีชีวิตอื่นมาแย่งชิงอาหารในพื้นที่) ไม่สามารถป้องกันการถูกแย่งชิงลูกค้าเดิมของบริษัท (มีสิ่งมีชีวิตมาแย่งอาหารของเผ่าพันธ์ตนเอง)
มี Megatrend ใดที่น่าสนใจบ้าง?
1. AEC การจัดตั้งประชาคมอาเซียน - โอกาสของการขยายธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันสู่ตลาดใหม่ (ต่างประเทศเข้าไทย, ไทยไปต่างประเทศ) - มีโอกาสการลงทุนที่ดีในหลายประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น พม่า ลาว กัมพูชา ในเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน - การเติบโตของ Logistic ในเขตอาเซียน การค้าขายข้ามพรมแดนมากขึ้น - การเข้ามาแข่งของแรงงานราคาถูกจากกประเทศที่กำลังพัฒนา - การที่แต่ละประเทศสร้างจุดแข็งของตนเอง เช่น ไทยเด่นเรื่องท่องเที่ยว การแพทย์ ศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาค 2. Aging economy สังคมผู้สูงอายุ 3. Female economy ผู้หญิงมีรายได้เพิ่มขึ้น มีบทบบาทในสังคมและครอบครัวมากขึ้น 4. Raising of China การเติบโตของประเทศจีนและประเทศในแถบเอเชีย 5. Urbanization การที่มนุษย์เข้ามาอยู่อาศัยในเมืองมากขึ้น 6. คนแต่งงานลดลง มีลูกน้อยลงแต่เลี้ยงดีขึ้น ให้การศึกษาลูกอย่างดี 7. Energy and Green energy พลังงานและพลังงานทางเลือก 8. Modern trade พ่อค้าคนกลางยุคใหม่ 9. Internet, Social network, E-commerce คนใช้เวลากับอินเตอร์เนตมากขึ้น 10. Logistic, Transport การขนส่ง เนื่องจากการเกิด FTA เขตการค้าเสรี ไม่มีการตั้งกำแพงภาษี การเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการทำได้อย่างอิสระ ต้นทุนที่เกิดคือค่าขนส่ง 11. Food ประชาการโลกอยู่ดีกินดีขึ้น มีแนวโน้มบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น 12. การเพิ่มขึ้นของชนชั้นกลาง เมื่อเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาดีขึ้น ผู้คนอยู่ดีกินดี สินค้าและบริการเพื่อความบันเทิง ท่องเที่ยว สุขภาพ จะมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น 13. Investment ผู้คนหันมาสนใจการลงทุนมากขึ้น, การทำงานแบบเข้าออฟฟิตลดลง ทำงานที่บ้านแบบออนไลน์
การมองเป็นระบบ Systemic approaching
- ต่อยอดจากการมอง Megatrend - มองเห็นโอกาสจากชีวิตประจำวันของเรา เราเห็นแนวโน้มอะไรบ้างจากชีวิตการทำงานและชีวิตประจำวันของเรา ยกตัวอย่าง การเอา Demand trend จากพฤติกรรมมนุษย์เพียงอย่างเดียวมาแยกเป็นบริษัทที่เราจะประเมินเพื่อหาหุ้นเติบโตลงทุนได้มากมายครับ - แนวโน้มคนใช้ Smart phone มากขึ้น (บริษัทที่ผลิตมือถือ Smart phone – บริษัทที่ให้สัญญาณโทรศัพท์ – บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนมือถือ – บริษัทที่ขายมือถือ – บริษัทที่ให้บริการสัญญาณอินเตอร์เนต – บริษัทที่ให้บริการทางอินเตอร์เนต พวก Application – บริษัทที่ทำ E-commerce เป็นต้น) - คนรุ่นใหม่ชอบอยู่คอนโดในเมืองมากขึ้น (บริษัทที่ขายคอนโด – ธุรกิจรถไฟฟ้า – บริษัทที่ขายวัสดุก่อสร้างให้คอนโด – บริษัทที่รับเหมาก่อสร้างให้คอนโด – บริษัทที่ขายเฟอร์นิเจอร์ให้คอนโด – บริษัทที่ขายสาธารณูปโภคให้คอนโด เช่น สัญญาณอินเตอร์เนต ทีวี น้ำ ไฟฟ้า เป็นต้น) - การคิดเชิงระบบทำให้เราคิดได้ไกลกว่าสิ่งที่เราเห็น…มองแนวโน้มเดียวเห็นได้หลายอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ - แต่ทั้งนี้ขึ้นกับรายได้ของสินค้าจากแนวโน้มที่เราเห็นว่าเติบโตเป็นสัดส่วนเท่าใดของรายได้ของบริษัท ค่อยพิจารณาอีกครั้งว่าบริษัทใดเป็นบริษัทที่เติบโต
การประเมินผู้บริหารของหุ้นเติบโต
1. แรงจูงใจของผู้บริหารในการเติบโต / ผลประโยชน์เป็นไปในแนวทางเดียวกับผู้ถือหุ้น 2. ความซื่อสัตย์ / ตรวจสอบประวัติการทำงาน / การให้ข้อมูลกับผู้ถือหุ้นแล้วทำจริงได้หรือไม่? 3. ความสามารถในการบริหารธุรกิจ / แนวคิด-วิสัยทัศน์-ผลประกอบการณ์บริษัทระยะยาว
Natural selection ในระบบทุนนิยม
- ทุนนิยมในมุมมองระบบนิเวศวิทยา - ผลกระทบจากระบบทุนนิยม … โลกเราจะวิ่งเข้าหาจุดสมดุลในที่สุด หลายบริษัทต้องดิ้นรนเติบโตเพื่อเข้าสู่ Safety zone ที่แข่งขันได้ - สภาพแวดล้อมมีผลต่อการเจริญเติบโตของหุ้น ยกตัวอย่าง การประเมินสภาพแวดล้อม (ปัจจัยภายนอก) - Demand trend ของสินค้าและบริการเติบโต - การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อความต้องการสินค้า - การพัฒนาสินค้าทดแทนที่คุณภาพดีกว่า…ราคาถูกกว่า - ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ความสามารถในการปรับตัวตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป - มาตราการ, นโยบายของรัฐบาล การประเมินบริษัทที่เราสนใจจะลงทุน - ปัจจัยภายนอก – สภาพแวดล้อม เช่น Demand trend เป็นต้น - ปัจจัยภายใน – DCA, SWOT analysis, งบการเงิน เป็นต้น การเพิ่มคุณค่าของสินค้าและบริการ - ยิ่งมีการเพิ่มมูลค่าของสินค้าหรือบริการมากขึ้นเท่าไร…Margin ยิ่งสูงขึ้น เพราะคุณค่าในสายตาผู้บริโภคสูงกว่าต้นทุนการผลิต เช่น การขายหนังสือ…เราไม่ได้ขายกระดาษแต่ขายเนื้อหาที่อยู่บนหนังสือ, การขายอาหาร…เราไม่ได้ขายวัตถุดิบ…แต่เราขายความอร่อย คุณภาพทางโภชนาการ เป็นต้น
มองการเติบโตจากปัจจัยเชิงปริมาณ
- รายได้ - รายจ่าย - กำไร กำไรมาจากไหน? รายได้ – รายจ่าย = กำไร การเติบโตของบริษัทเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมในมุมมองของ Pie chart
Pie chart
- ขนาดตลาดโดยรวม – การเติบโตของอุตสาหกรรมโดยรวม – เค้กชิ้นใหญ่ขึ้น - ขนาดส่วนแบ่งการตลาด – การรักษาและเติบโตของส่วนแบ่งการตลาด – DCA การเติบโตของรายได้มาจาก (Pie chart) 1. ตลาดโดยรวมเติบโต และ Market share เพิ่มขึ้น 2. ตลาดโดยรวมเติบโต และ Market share เท่าเดิม 3. ตลาดโดยรวมไม่เติบโต แต่ Market share เพิ่มขึ้น (ตลาดโดยรวมเติบโตจากการมีจำนวนผู้บริโภคในอุตสาหกรรมมากขึ้น…รวมถึงจำนวนการใช้จ่ายต่อรายบุคคลเพิ่มขึ้น)
การมองหา Market share
- 1. ศึกษาข้อมูลจากรายงานประจำปี, เอกสาร 56-1 ของทั้งบริษัทที่เราสนใจและบริษัทคู่แข่ง - 2. เก็บข้อมูลจาก sample size รอบตัวเรา … ถือว่าคนใกล้ตัวเป็นกลุ่มตัวอย่างแล้วดูว่า…มีใครบ้างเป็นกลุ่มเป็นกลุ่มเป้าหมายบ้าง ..ในกลุ่มคนที่เรารู้จักมีคนที่ใช้สินค้าในอุตสาหกรรมที่เราสนใจกี่คน ..ในคนที่ใช้สินค้ามีของบริษัทที่เราสนใจและบริษัทของคู่แข่งเป็นสัดส่วนเท่าไร
การเติบโตของรายได้ที่นอกเหนือจาก Pie chart
1. การออกสินค้าตัวใหม่ 2. การขึ้นราคาสินค้า การลดลงของต้นทุน 1. ต้นทุนลดลง เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ใช้เป็นต้นทุนราคาตกลง 2. ต้นทุนต่อหน่วยลดลง (ต้นทุนเพิ่มในอัตราที่ช้ากว่ากำไร) การเติบโตของกำไร
Model ของกำไร กำไร = รายได้ – ต้นทุน
ดังนั้น…กำไรจะเพิ่มขึ้นจาก 1. รายได้เติบโตขึ้นแต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่าๆกัน – NPM เท่าเดิม 2. รายได้เติบโตขึ้นแต่ต้นทุนเพิ่มในอัตราที่น้อยกว่า – เกิด Economy of scale 3. รายได้เติบโตขึ้นแต่ต้นทุนลดลง 3. รายได้เท่าเดิมแต่ต้นทุนลดลง
Competitive advantage
– ความสามารถในการแข่งขัน - ถ้าบริษัทที่เราลงทุนอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตสูง…เมื่อผลตอบแทนนั้นหอมหวานก็ย่อมมีคนอยากมาขอส่วนแบ่งเป็นธรรมดา บริษัทที่เราลงทุนต้องมีความสามารถในการแข่งขันจึงจะอยู่รอดและเติบโตได้ในระยะยาวครับ - พัฒนาจนเป็น Durable competitive advantage - DCA ไม่ใช่ความยากในการเข้าสู่อุตสาหกรรม (Entry) อุตสาหกรรมที่มีผู้เล่นน้อยรายเพราะมีผู้เล่นเข้ามายากจะถือเป็น Low competition ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี …แต่อุตสาหกรรมที่เข้ามาง่ายไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี DCA เพราะ DCA คือสิ่งที่บริษัทเหนือกว่าคู่แข่ง (ใช้เพื่อแข่งขัน) เมื่อเกิดการแข่งขันบริษัทที่มี DCA ย่อมเหนือกว่า ยกตัวอย่าง Search engine – Google (ความเร็วในการโหลด -> การสร้าง brand -> ครบวงจร เป็นต้น)
ลักษณะของบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน
1. Brand ที่ได้รับความนิยมสูง…เหนือกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีอำนาจการตั้งราคาได้สูงกว่า รวมถึงการตัดสินใจเลือกซื้อโดยไม่ดูที่ราคาเป็นหลัก เลือกที่ความพึงพอใจเป็นหลัก 2. ต้นทุนที่ต่ำกว่า…ทำให้ลดราคาสินค้าได้ถูกกว่าคู่แข่งโดยที่คุณภาพไม่แตกต่างกัน โดยมักจะเป็นอุตสาหกรรมที่ความนิยมของสินค้าและบริการไม่แตกต่างกัน เช่น ธุรกิจ OEM ที่ทำสินค้าวัตถุดิบให้กับบริษัท End product อีกที การบริหารจัดการที่ดีจะช่วยให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่าและแข่งขันได้ 3. บริษัทมีทีม Marketing ที่มีความสามารถเหนือกว่า ขายสินค้าได้มากและรวดเร็ว 4. บริษัทมีการขายเร็ว Turnover rate สูง ซึ่งมาจากการบริหารจัดการที่ดี มีทีมขายที่มีประสิทธิภาพ สินค้าไม่ค้างนาน, เข้าสู่ลูกค้ารายใหม่ได้ก่อนและเอาชนะใจลูกค้าได้ 5. บริษัทมีทีมวิจัยชั้นเลิศ (Research and development) ที่สามารถสร้างสินค้าและบริการที่นำคู่แข่งอยู่เสมอ (โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องมีการพัฒนาอยู่เสมอ…เช่น บริษัทยา บริษัทเทคโนโลยี) 6. คุณภาพสินค้าและบริการที่เหนือกว่า…ซึ่งนำไปสู่ความนิยมใน Brand สินค้า 7. มี Connection ที่ดีกับลูกค้าและคู่ค้ามายาวนาน มี Switching cost การประเมินงบการเงินหุ้นเติบโต
- งบการเงินคืออดีต…แต่การดูงบการเงินบอกเราได้หลายอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติของบริษัทครับ เช่น
1. ธุรกิจเน้น Margin สูง แต่ขายได้น้อย (Turnover ต่ำ) 2. ธุรกิจ Margin ต่ำ เน้นขายได้มาก ผลิตมาก (Turnover ต่ำ) 3. ธุรกิจ Margin ต่ำ เน้นขายได้มาก Stock ของน้อย (Turnover สูง) 4. ธุรกิจ Margin สูงและขายได้มากด้วย (ดีเยี่ยม!!!)
- การประเมินให้ดูแบบ Timeline ไม่ดูเฉพาะเวลาใดเวลาหนึ่ง (Cross sectional) การประเมินงบการเงินขึ้นอยู่กับคำถาม / สมมุติฐานที่เราสนใจ?
1. การตรวจสอบการเติบโตของบริษัท 2. การตรวจสอบคุณภาพการเติบโตของบริษัท 3. การตรวจสอบกระแสเงินสด 4. การตรวจสอบความแข็งแกร่งงบการเงินเพื่อที่จะเป็นฐานให้การเติบโต 5. การตรวจสอบผลจากการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานบางอย่าง หมายเหตุ - อย่าลืมตรวจสอบความน่าเชื่อถือของงบการเงินจากรายงานผู้ตรวจสอบบัญชี - ดูงบการเงินแล้วคิดย้อนกลับไปความจริงของธุรกิจ…โดยไม่หมกมุ่นแต่กับตัวเลข
1. การตรวจสอบการเติบโตของบริษัท - รายได้เติบโตหรือไม่? เพิ่มขึ้นเพราะอะไร? ลดลงเพราะอะไร? -> รายได้ควรจะเพิ่มขึ้น - ต้นทุนสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นในอัตราที่เท่ากับหรือน้อยกว่ารายได้หรือไม่? ต้นทุนเพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่ารายได้อะไร? ต้นทุนเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่ารายได้เพราะอะไร? ต้นทุนลดลงเพราะอะไร? -> ต้นทุนควรจะเพิ่มในอัตราที่น้อยกว่าหรือเท่ากับรายได้ ถ้าต้นทุนลดต้องประเมินว่าเกิดจากอะไร…จะยั่งยืนหรือไม่? - กำไรสุทธิที่ได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นหรือไม่? -> กำไรสุทธิควรจะเพิ่มขึ้น ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น
2. การตรวจสอบคุณภาพการเติบโตของบริษัท - GPM เพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิมหรือไม่? เพราะอะไร? -> บริษัทควรจะรักษา GPM ได้ … ถ้า GPM ลดลงต้องหาสาเหตุ เช่น ต้นทุนการขายสินค้าเพิ่มขึ้น ลดราคาสินค้าเพื่อรักษายอดขายที่ขายที่ราคาปกติไม่ออก หรือถ้า GPM เพิ่มต้องหาว่าเกิดจากอะไร…มีผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มี Margin สูงมาเพิ่ม หรือว่ามีอำนาจต่อรองต้นทุนได้ถูกลง - NPM เพิ่มขึ้นหรือไม่? เพราะอะไร? -> บางบริษัทมีเรื่องของ Economy of scale ทำให้มี NPM สูงขึ้น - Inventory turnover = ต้นทุนสินค้าขาย / สินค้าคงคลังเฉลี่ย -> หมุนสินค้าได้เร็วจะทำให้ยอดขายสูงขึ้น…Dead stock ลดลง สินค้าไม่เน่าเสีย มีของใหม่หมุนเวียนตลอดเวลา - ROE *** ROE - ROE มีค่าเท่าไร? เปรียบเทียบภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน ถ้าค่า ROE สูงกว่าแสดงว่าทำผลตอบแทนต่อการลงทุนได้เหนือกว่า…มีประสิทธิภาพมากกว่า - อย่ายึดติดกับค่า ROE ในอดีต … ให้ประเมิน Forward ROE - การมีค่า ROE สูง ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการเติบโต … ถ้าบริษัทไม่มีการลงทุนเพิ่มเติบเพื่อสร้างรายได้ แล้วปันผลออกมาทุกปี ROE จะสูงเท่าๆเดิมเพราะส่วนของผู้ถือหุ้นไม่เพิ่ม (เพราะปันผลออกมา) และกำไรไม่เติบโตขึ้น - แต่การมี ROE ที่ดีเป็นผลดีต่อการเติบโต…ทำให้บริษัทมีเงินไปลงทุนเพื่อขยายกิจการ ถ้าการลงทุนใหม่ทำได้ดีเหมือนที่ผ่านมา…ยอดขายจะเพิ่ม กำไรจะเพิ่ม เมื่อคิดออกมาเป็น ROE จะสูงเท่าเดิม…แต่กำไรเพิ่มขึ้นเพราะส่วนของทุนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ - อาจจะใช้ ROTC (Return of total capital) เปรียบเทียบความสามารถของธุรกิจ เพราะบางธุรกิจใช้เงินกู้ระยะยาวมาขยายกิจการเพื่อเพิ่ม ROE - ผมชอบ ROE เกิน 15 %
3. การตรวจสอบกระแสเงินสด - เงินสดของบริษัทเพิ่มขึ้นหรือลดลง? เพิ่มจากเงินสดส่วนใด? กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน…กระแสเงินสดจากการลงทุน…กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน -> กระแสเงินสดจากการดำเนินงานควรจะเป็นบวกและเป็นไปในทิศทางเดียวกับกำไรสุทธิ เพื่อให้มีเงินสดไว้จ่ายหนี้และลงทุนต่อไป - กระแสเงินสดควรจะเป็นบวกในช่วงที่การลงทุนใหญ่ได้ทำไปหมดและการลงทุนเริ่มส่งผลแล้ว ทำให้มีเงินสดเพิ่มเพื่อขยายกิจการ … กระแสเงินสดอาจจะติดลบบ้างในช่วงที่ต้องลงทุนขยายกิจการ ให้ดูว่ามีเงินพอหรือไม่? เช่น ดูเงินดในมือ ดูเพดานในการกู้หนี้ ดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน … ถ้าไม่เพียงพอให้ระวังเพิ่มทุน - เงินสดในมือเมื่อเปรียบเทียบกับหนี้ระยะสั้นและดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องจ่ายเพียงพอหรือไม่? -> บริษัทควรจะมีเงินสดพอจ่ายหนี้
4. การตรวจสอบความแข็งแกร่งงบการเงินเพื่อที่จะเป็นฐานให้การเติบโต - หนี้มากน้อยแค่ไหน? – ผมชอบบริษัทที่มีหนี้ที่มีดอกเบี้ยน้อยหรือไม่มากเกินไป เช่น ไม่เกิน E (D ดอกเบี้ย /E < 1) - มีเพดานในการกู้เพิ่มในการขยายกิจการหรือไม่? - หนี้ที่มีดอกเบี้ยเมื่อเปรียบเทียบกับหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย (เจ้าหนี้การค้า) -> หนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ยดีกว่าเพราะไม่ต้องเสียดอกเบี้ย เจ้าหนี้การค้ารับภาระต้นทุนทางการเงินแทน
5. การตรวจสอบผลจากการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานบางอย่าง - บริษัทให้ข่าวว่ารายได้จะเพิ่ม … เพิ่มจริงหรือไม่? - บริษัทให้ข่าวว่าลดต้นทุนได้ … ลดได้จริงหรือไม่? - บริษัทให้ข่าวว่าจะขายสินค้าที่ Margin สูงขึ้น … GPM เพิ่มขึ้นหรือไม่? เป็นต้น ความเข้าใจเรื่องการประเมินมูลค่า - ไม่แนะนำใช้ PBV ครับ เนื่องจากมูลค่าของหุ้นเติบโตขึ้นกับกระแสเงินสดที่บริษัททำได้มากกว่าที่จะขายทรัพย์สินห้ผู้ถือหุ้นไปแบ่งกัน แล้วทรัพย์สินบางอย่างตีมูลค่าเป็นเงินไม่ได้มากแต่สร้างรายได้และกำไรได้จริง เปรียบเทียบมูลค่าบริษัทกับมูลค่าของต้นยาง ต้นยาง Model (ผมมีประสบการณ์กับสวนยางของพ่อตา) ราคาไม้ยาง = BV (ราคาต้องเติบโตขึ้นตามเวลาเพราะต้นไม่ใหญ่ขึ้น) แต่เราไม่ได้ปลูกต้นยางมาเพื่อตัดไม้ขายตั้งแต่แรก ยาง = Earning (ต้นยางผลิตน้ำยางได้มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และให้เมล็ดไปปลูกเป็นต้นใหม่ได้อีกด้วย)
การดู Earning ควรดูระยะเวลาทั้งหมดที่ช่วงชีวิตของต้นไม้ที่ผลิตได้
ดังนั้นนักลงทุนหุ้นเติบโตจะไม่ยึดติดกับ PBV แต่จะให้ความสำคัญกับความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของบริษัท ซึ่งค่า Book value ซึ่งเป็นส่วนผู้ถือหุ้นต้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน ตามการเติบโตของบริษัทเหมือนกับต้นยาง ทำไมตลาดถึงให้ค่า PE ของหุ้นแต่ละตัวแตกต่างกัน มุมมองการให้ค่า PE จากความเข้าใจเรื่อง DCF Model DCF เป็น Absolute valuation ส่วน PE ratio เป็น Relative valuation ผมแนะนำใช้ค่า PE มากกว่าเพราะสายตาตลาดมองค่อนข้างสั้น และการใช้ค่า DCF มีตัวแปรที่มีเปลี่ยนแปลงได้มากมายการคิดในกรอบเวลาที่ยาวนานจะได้ค่าหลายค่า (รวมเป็น range) ครับ … แต่มือใหม่ควรฝึกคิดแบบ DCF ให้ชินเพื่อให้เข้าใจที่มาของมูลค่า DCF model – มูลค่าของบริษัทเท่ากับผลรวมของกระแสเงินสดอิสระ (FCF) ที่บริษัททำได้ในอนาคต โดยคิดส่วนลดทางการเงินย้อนมายังปัจจุบัน แล้วนำมูลค่าของบริษัท (Firm value) มาหักลบจากมูลค่าของหนี้ (Debt value) เพื่อให้ได้มูลค่าผู้ถือหุ้น (Equity value) โดยที่ FCF = EBIT x (1 -T) + DA – CAPEX – CWC FCF – กระแสเงินสดอิสระ EBIT – กำไรปกติ (normalized EBIT) DA – ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจ่ายต่างๆ CAPEX – เงินลงทุนซื้อสินทรัพย์ CWC – เงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น < CAPEX + CWC คือ Investing cash flow กระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน > T – อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล WACC – ต้นทุนทางการเงินของบริษัท ดังนั้น…ถ้าคิดว่าการคำนวณมูลค่าตามแบบ DCF = Intrinsic value และการให้มูลค่าของตลาดสุดท้ายจะเข้าหา Intrinsic value เช่นกัน ถ้าอนุมานว่า Intrinsic value จากวิธี DCF = (หรือใกล้เคียงกับ) Intrinsic value จากวิธี PE
ดังนั้นตลาดจะให้ค่า PE สูงเมื่อบริษัท
1. บริษัทมีแนวโน้มที่จะสร้างกระแสเงินสดอิสระได้มากขึ้นเติบโตขึ้น (หุ้นเติบโต PE จะสูงกว่าหุ้นทั่วไป) ถ้า “ปริมาณ” กระแสเงินสดอิสระมีการเติบโตสูงตลาดจะให้ PE สูง ถ้า “ความแน่นอน” ของการเติบโตของกระแสเงินสดสูงตลาดจะให้ PE สูง - ในทางตรงข้าม…ตลาดจะให้ค่า PE ต่ำเมื่อหุ้นไม่มีการเติบโตของกระแสเงินสดอิสระ…หรือขาดทุนลงเรื่อยๆ 2. บริษัทใช้เงินลงทุนในสินทรัพย์น้อย เป็นกิจการทีไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่ ไม่ต้องเอาเงินสดงเงินกู้ไปลงทุนจำนวนมากๆ …ใช้แต่ทรัพย์สินทางปัญญาก็สามารถทำกำไรได้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ได้มาจะได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย - ในทางตรงข้าม…ตลาดจะให้ค่า PE ต่ำเมื่อกิจการต้องจ่ายเงินลงทุนหนักแล้วได้ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า เงินสดที่ได้มาไม่เคยถึงมือผู้ถือหุ้น 3. ช่วงที่ตลาดหุ้นมีการลดภาษีนิติบุคคล ตลาดจะให้ PE สูงขึ้น เพราะ FCF มากขึ้น 4. การลดดอกเบี้ยไม่ชัดเจน (ตามสมการควรจะค่า PE สูงขึ้นเมื่อลดดอกเบี้ย) … เพราะส่วนใหญ่เมื่อ กนง.ลดดอกเบี้ยจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ซึ่งจะไปชนกับเหตุผลข้อ 1 ที่มองว่า FCF ในอนาคตจะลดลง
การค้นหาหุ้นเติบโตที่ถูกมองข้าม
1. เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ใหม่มาก…เคยประสบความสำเร็จในต่างประเทศแต่ยังไม่มีในประเทศไทย เช่น Modern trade, Communication, IT ในช่วงแรกคนจะตั้งคำถามว่าจะทำได้เหมือนต่างประเทศหรือไม่? ไม่เห็นมีจุดที่แตกต่างในเรื่องความสามารถในการแข่งขันเลย เป็นต้น 2. เป็นบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เก่าแก่…คนคิดไปเองว่าอิ่มตัวแล้ว แต่จริงๆยังมีการเติบโตอยู่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น ธุรกิจขนมปัง, ธุรกิจเครื่องประดับ ธุรกิจเสื้อผ้า เป็นต้น 3. เป็นช่วงที่รายได้ของบริษัทเติบโตแต่ยังไม่ถึงขั้นเกิด Economy of scale ทำให้กำไรสุทธิน้อย…นักลงทุนที่ดูแต่กำไรสุทธิจะไม่สนใจ แต่พอรายได้เพิ่มเพราะการลงทุนที่ทำไว้ส่งผล ใช้ Fixed cost อย่างเต็มที่มากขึ้นจากยอดขายสูงขึ้น กำไรและกระแสเงินสดจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด 4. คนคิดว่ามันเป็น “หุ้นปั่น” หุ้นที่ก่อนหน้านี้ที่อาจจะมีปัจจัยพื้นฐานไม่ดีและเกิดการเปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานบางอย่างไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้ราคาพุ่งไปก่อน…แต่นักลงทุนจะไม่อยากเข้าไปวิคราะห์เพราะคิดเอาเองวั่นคือ “หุ้นปั่น” ครับ ทั้งที่จริงอาจจะกลายเป็นหุ้นเติบโตไปแล้วก็ได้ ค้นหา Super growth stock ที่ยังไม่มีใครเห็นให้เจอก่อนตลาด…นี่คือระดับขั้นสูงของการลงทุนหุ้นเติบโต
ความเสี่ยงของหุ้นเติบโต
1. การซื้อหุ้นเติบโตที่แพงเกินไป - ให้เข้าซื้อหุ้นเติบโตเมื่อประเมินด้วยสมมุติฐาน Conservative or Fair โดยที่มี MOS 30 – 50% - เล่นหุ้นเติบโตที่ไม่มี MOS อาจจะได้กำไรจากการเติบโตของบริษัท…แต่อาจจะเสียหายจากเหตุการไม่คาดฝันเพราะไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงครับ (กลายเป็น High risk High return ทั้งที่จริงควรจะเป็น Low risk High return มากกว่าครับ) 2. บริษัทเติบโตเร็วเกินไปจนไม่มีคุณภาพด้อยลง โตแบบไม่มีคุณภาพ 3. ตลาดหมี หุ้นเติบโตราคาจะตกลงมากกว่าหุ้นชนิดอื่นเนื่องจากราคาค่อนข้างสูงรวมทั้งนักลงทุนคาดหวังสูง (ตลาดลดค่า PE ลง)
การมองจุดซื้อขายหุ้นเติบโต
- กำหนดเป็นโซน เป็น range ไม่ใช่กำหนดราคาตัวเลขเดียว เพราะมีผลต่อการตัดสินใจของเรามาก ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจซื้อขายเมื่อไม่ใช่ตัวเลขที่เรากำหนดครับ เนื่องตัวเลขราคาในตลาดหุ้นเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็วตามอารมณ์ตลาด - จำลองสถาณการณ์ที่ไม่คาดฝันล่วงหน้า…เวลาเกิดเหตุการณ์จะไม่ได้ลนลาน เมื่อไรที่ควรเข้าซื้อหุ้นเติบโต? - เมื่อหุ้นเติบโตราคาถูกกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น เมื่อไรที่ควรขายหุ้นเติบโต? - เมื่อหุ้นเติบโตไม่เติบโตแล้ว…หมดศักยภาพในการเติบโตแล้ว - เมื่อหุ้นเติบโตราคาแพงกว่ามูลค่า - เมื่อเจอหุ้นเติบโตตัวอื่นที่ดีกว่า แนวคิดเรื่อง Mr. Market - อย่าประมาทนายตลาด - ระวัง EMH อย่ามองข้ามเหตุผลว่าราคาทำไมถึงมีส่วนลดมากจากการประเมินของเรา / ราคาส่วนลดจะอยู่อีกนานแค่ไหนเพราะอะไร? - พื้นฐานเหมือนเดิมแต่กำไรลดลงในระยะสั้น…หรือ…พื้นฐานแย่ลงจริงในระยะยาว - ตลาดมีจุดบอด (Blind spot) ในหุ้นเติบโตบางตัวจะถูกมองข้าม เพราะตลาดมัวไปสนใจตัวที่เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงอยู่
การพัฒนาจิตใจของนักลงทุนหุ้นเติบโต
- ลักษณะของมนุษย์ - Short circuit VS Long circuit - Limbic system VS Forebrain - System 1 VS System 2 คำถาม? Bat and ball ราคารวมกัน 1.1 usd Bat ราคามากกว่า ball 1 usd Ball ราคาเท่าไร? เราได้อะไรจากคำถามนี้? - คนเรามีแนวโน้มที่จะใช้ความรู้สึกมากกว่าสมองคิดจริงๆ - ลองหาข้อมูลจริง ข้อเท็จจริง ตัวเลขจริงและเริ่มจากจุดนั้น อติที่ควรระวัง (Bias) - Overconfidence - Hindsight Bias - Anchoring - Herd Behavior - Loss aversion เราลงทุนเก่งจริงเหรอ…เพราะเราควบคุมปัจจัยภายนอกไม่ได้เลย เรามองไม่เห็นอนาคต เหตุผลที่ลงทุนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง – นำมาประเมินผล เพื่อพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ อนุมาน คาดการณ์ของตนเอง ตอบคำถามตนเอง? - เราเป็นนักลงทุนแนวไหน? - เป้าหมายของการลงทุนเราคืออะไร? - ผลตอบแทนที่เราต้องการต่อปีคือเท่าไร? สำหรับผม - แนวทางการลงทุนที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ - แนวทางการลงทุนที่ไม่ต้องตามข่าวทุกวัน - แนวทางการลงทุนที่ไม่ต้องเชียร์หุ้น - แนวทางการลงทุนที่มีเงินสดเข้าพอร์ต - แนวทางการลงทุนที่พัฒนาตนเอง…ยิ่งลงทุนยิ่งเก่งขึ้น - แนวทางการลงทุนที่ใช้ได้ต่อเนื่องเมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้น - แนวทางการลงทุนที่ผมมีเวลาอยู่กับครอบครัว ได้ทำงานช่วยเหลือผู้คน - แนวทางการลงทุนที่ปกป้องเงิน้นได้และชนะตลาดในระยะยาวครับ ผมคิดว่าการลงทุนนหุ้นเติบโตตอบโจทย์นี้ได้
พัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี
- เป็นนักฟังที่ดี - เป็นนักอ่านที่มีวิจารณญาณ - เป็นนักเขียน…นักพูดที่มีเหตุผล มีหลักฐาน (ฟัง, อ่าน, หาข้อมูลจริง -> คิด, วิเคราะห์ -> เขียนสรุป, พูดให้ Mentor ฟัง) - การเรียนรู้จากคนเก่ง…ให้คนเก่งเป็น Mentor - ระวังเรื่องอารมณ์และอคติที่เราไม่รู้ตัว เช่น เมื่อมีคนวิจารณ์ข้อเสียหุ้นที่เราถือแล้วเราหงุดหงิดขึ้นมา - ฝึกอ่านแรงจูงใจของผู้เล่นในตลาด เช่น ผู้บริหาร นักลงทุน ผู้ให้ข่าว ให้ดูการกระทำอย่าไปคำพูด - รู้จักฟังความคิดตัวเอง - เล่นหุ้นให้สนุกและมีความสุข…และต้องทำตามเป้าหมาย
การลอกเซียน
- ต่อให้เซียนมากระซิบบอกหุ้น…ก็ต้องคิดวิเคราะห์ด้วยตนเองก่อน ต้องไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อย่าลืมว่าไม่มีใครรู้อนาคต - กาลามาสูตร การสร้างวินัยในการลงทุน - มีความชัดเจนในหลักการการลงทุนของเรา…ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ากำไรคาดหวัง (Expected profit) เป็นบวกในระยะยาว - เข้าใจที่มาของหลักการลงทุนที่เราใช้…เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น เช่น เชื่อว่าราคาหุ้นจะเพิ่มเมื่อกำไรเพิ่มขึ้นในระยะยาว - ประเมินและจดบันทึกการตัดสินใจของตนเองว่าทำได้ตามที่วางไว้หรือไม่? (Check list) - การให้รางวัลเมื่อตนเองทำได้ตามแผนและลงโทษเมื่อตนเองไม่ทำตามแผนแล้วเกิดความเสียหาย - หมั่นตรวจสอบว่าผลตอบแทนเป็นบวกหรือไม่? เมื่อทำตามแผนในระยะยาว สุดท้ายนี้ - มีความรักในการลงทุนหุ้นเติบโตจะไม่เหนื่อยที่จะพยายามพัฒนาฝีมือการลงทุน (ฉันทะ) - ไม่มีอะไรทดแทนการพัฒนาตนเองได้ แม้ว่าคุณจะอยู่ใกล้เซียนหุ้น…คุณก็ต้องฝึกฝนตนเองอยู่ดี - เมื่อมีแล้ว…อย่าลืมแบ่งปันให้สังคมด้วย
จากคุณ |
:
Wild Rabbit
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ต.ค. 55 22:47:13
|
|
|
|
|