Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
การลงทุนใน Growth stock และจิตวิทยาการลงทุน ติดต่อทีมงาน

28 October 2012 364 views No Comment
Written by: gobkung
นพ. พงศกร เอื้อชวาลวงศ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น รพ.ศูนย์อุดรธานี

ผมได้สรุปเนื้อหาที่ผมได้บรรยายในงานสังสรรค์ VI ไตรมาส 2 ลงในบทความนี้นะครับ ต้องขอบคุณทางสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าที่ให้เกียรติเชิญผมไปเป็นวิทยากรในงานนี้ ขอบคุณผู้ฟังทุกท่านที่ตั้งใจฟัง ไม่มีใครคุยกันเลย…หลายตั้งใจจดมากแม้ว่าผมบอกแล้วว่าจะแจกใน Blog หลายคนถึงขึ้นอัด VDO กันเลยทีเดียว

ขอบคุณภรรยาที่ช่วยตัด Slide ให้เพราะว่าผมงานประจำเยอะมากจนแทบไม่มีเวลาทำ แถมยังมาเป็นกำลังใจให้ถึงขอบเวทีด้วยครับ ขอบคุณครับ
ผมได้พยายามเต็มที่แล้วที่จะให้เนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นเติบโตครบถ้วน เข้าใจง่ายที่สุดภายในเวลา 2 ชม. เริ่มตั้งแต่ง่ายไปยาก พยายามจะใส่จุดที่นักลงทุนหลายคนยังเข้าใจผิดและทำให้ภาพเหล่านี้ชัดเจนขึ้น และนำหลักการที่ผมให้ไปใช้จริงได้ครับ

ต่อไปนี้จะเป็นเนื้อหาใน Slide ที่จะไปบรรยายนะครับ และผมจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นเติบโต (Growth investing) แบบในรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อนนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามได้ครับ
การลงทุนใน Growth stock และจิตวิทยาการลงทุน

Outline

- ทำไมต้องลงทุนในหุ้นเติบโต?
- ความเข้าใจเรื่องหุ้นเติบโต
- ความสำคัญของเวลา / ความเข้าใจเรื่องอนาคต / มองอนาคตโดยใช้จินตนาการและเหตุผล
- ภาพลวงตาของ PE / คุณภาพและอนาคตของกำไร
- พฤติกรรมผู้บริโภค
- การมอง Business model ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโดยรวม / Natural selection ในระบบทุนนิยม / Megatrend
- ความสามารถในการแข่งขัน (DCA) – สิ่งที่สำคัญต่อการอยู่รอดและเติบโต
- การเลือกหุ้นจากชีวิตประจำวัน / Systemic approaching
- ช่องทางการเติบโตของกำไร
- ที่มาของการขยายธุรกิจ / เอาเงินมาจากไหนมาขยายการเติบโต?
- การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ
- การพัฒนาจิตใจของนักลงทุนหุ้นเติบโต / จิตวิทยาการลงทุน

ทบทวนหลักการของ VI กันก่อน

- ซื้อหุ้นด้วยมุมมองของการซื้อธุรกิจ เพราะหุ้นคือส่วนหนึ่งของเจ้าของบริษัทสัดส่วนการถือหุ้น
- ซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic value)
การลงทุนหุ้นเติบโต
- มองที่การเติบโตของบริษัทเป็นหลัก…แล้วจึงมาดูว่าราคาที่ตลาดให้น่าซื้อ – มีส่วนลดราคาหรือไม่?
- ไม่ใช่การมองที่ราคาถูกกว่ามูลค่าแล้วตัดสินใจซื้อเลย
- บ้านต้องมีเสา – การลงทุนต้องมีหลักการหรือโครงสร้างทางความคิด
- แต่ละคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ให้ฟังในสิ่งที่นำไปใช้ประโยชน์กับตนเองได้

การแบ่งหุ้นเป็น 6 ประเภทตามแบบฉบับของ Peter Lynch

- ประเภท 1 – 3 ( หุ้นโตช้า, หุ้นแข็งแกร่ง, หุ้นโตเร็ว ) ใช้การเติบโตเป็นตัวแบ่ง ดังนั้นความสามารถในการเติบโตของธุรกิจหรือการเติบโตของกำไรเป็นที่สิ่งสำคัญมาก
- ชนิดของการจำแนกหุ้นเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา
- หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้นปันผล (ธุรกิจอิ่มตัว ไม่เติบโตแล้ว) ..หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้นวัฎจักร (กำไรขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ) ..หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้น Asset play ได้ (สินทรัพย์ที่ซื้อมาในช่วงธุรกิจเติบโตมีมูลค่าสูงขึ้นมาก)

- ในขณะเดียวกันหุ้นชนิดอื่นอาจจะกลายเป็นหุ้นเติบโตได้เช่นกันถ้าปัจจัยพื้นฐานเอิ้ออำนวย หุ้น turn around บางตัวพอ turn จบกลายเป็นหุ้นเติบโตต่อเนื่อง หุ้นวัฎจักรบางตัวมีแผนการเติบโตที่ชัดเจนและ Demand สินค้าสูงอย่างต่อเนื่องระยะยาว…เราจะมองหุ้นเหล่านี้ด้วย Model ของหุ้นเติบโต หุ้น Asset play บางตัวมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำธุรกิจใหม่…แล้วปรากฎว่าเข้าได้กับ Model ของหุ้นเติบโต

- ดังนั้น…อย่ายึดติด “ชื่อหุ้น” กับชนิดของหุ้น เพราะชนิดของหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเหตุของมันเปลี่ยน (พื้นฐานเปลี่ยน)
ความเข้าใจเรื่องหุ้นเติบโต
ลักษณะของหุ้นเติบโต

- หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่มองไปยังอนาคต (หุ้นบางชนิดจะมองปัจจุบันเป็นหลัก เช่น หุ้น Asset play, หุ้นปันผล)
- เวลาเป็นตัวแปรสำคัญของมูลค่าหุ้นเติบโต ทั้งด้านปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณ
- ขอให้ “ลืม” ราคาหุ้น ลืม PE ratio ลืมตลาดหุ้นไปก่อน …แล้วมองดู Core business ว่าบริษัทมีการเจริญเติบโตหรือไม่? ถ้ามีบริษัทมีการเติบโตของธุรกิจ กระแสเงินสดและกำไร บริษัทนั้นคือบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต หุ้นของบริษัทเติบโตที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์คือ “หุ้นเติบโต” ครับ
- หุ้นเติบโตต้องดูจากโครงสร้างธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth potential) ไม่ใช่ดูจากค่า PE สูง…แม้ว่าหุ้นเติบโตส่วนใหญ่ค่า PE จะสูงก็ตาม หุ้น PE ต่ำบางตัวเป็นหุ้นเติบโตได้เช่นกัน ค่า PE คือการให้มูลค่าของตลาดหุ้น ไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวนี้คือหุ้นเติบโต

ทำไมต้องลงทุนในหุ้นเติบโต?

- เป็นหุ้นที่เหมาะต่อการถือระยะยาว เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าจอหุ้น ไม่มีเวลาตามข่าวระยะสั้นทุกวัน แต่ต้องการผลตอบแทนที่ชนะตลาด (เช่น ผม เป็นต้น)
- เป็นหุ้นที่ไม่ต้องเชียร์เลย…ผมไม่เคยเชียร์หุ้น ชอบถือหุ้นเงียบๆ แต่หุ้นเติบโตราคาจะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องไปนั่งเชียร์เพราะมีตัว Driver ราคาหุ้นตลอด นั่นคือการพัฒนาของกิจการในเชิงคุณภาพ รายได้และกำไรที่เติบโตขึ้นในเชิงปริมาณ รวมถึงปันผลที่เพิ่มขึ้นจากกำไรที่เพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ
- ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุน VI สไตส์ไหนก็ตาม เช่น หุ้นปันผล หุ้น Turn around หุ้นคอมโม … ต้องเข้าใจเรื่องการเติบโตทั้งสิ้น
- นักลงทุนควรมีหุ้นเติบโตติดพอร์ตเอาไว้บ้างจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้น ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนก็ตามครับ

ตลาดหุ้นในปัจจุบันควรสนใจหุ้นเติบโตหรือไม่?

- ตลาดหุ้นขึ้นมาสูงขึ้นส่วนใหญ่ราคาแพงแล้วแสดงว่าเราไม่ควรลงทุนในหุ้นเติบโตจริงหรือ?
- ช่วงนี้หุ้นราคาแพง หาหุ้นดีราคาถูกยาก หลังวิกฤติต้มยำกุ้งและวิกฤติซับไพรม์มีหุ้นดีราคาถูกมากมาย แค่นั่งขุดหุ้นแล้วเชียร์สร้าง story ก็ได้กำไรหลายรอบแล้ว (ไม่แนะนำให้ทำครับ ผมไม่ทำแน่นอน) แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ดังนั้นมี 2 วิธีคือ
1. รอให้เกิดวิกฤติซึ่งไม่รู้อีกนานแค่ไหนเพื่อที่จะได้ซื้อหุ้นถูกสุดๆ
2. หาธุรกิจที่เติบโตได้สูงกว่าตลาดแล้วซื้อในขณะที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าและถือหุ้นเติบโตไว้ตราบที่บริษัทยังเติบโตอยู่
- นักลงทุนแนว VI หลายคนเข้าใจว่า…ลงทุนแบบ VI คือซื้อหุ้นถูก PE ต่ำ, PBV ต่ำ ซึ่งอาจจะทำให้ไปซื้อหุ้นที่คุณภาพไม่ดีเพราะไม่ได้ประเมินลักษณะการทำธุรกิจ Business model และทำให้ผลตอบแทนไม่ดีในที่สุด
- อย่างน้อยถึงแม้ว่าเราจะหาหุ้นเติบโตที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาไม่ได้เลย ไม่มี MOS เราก็สามารถศึกษาข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ว่า…”บริษัท” ใดมีการเติบโตระยะยาว เพื่อว่าความ “เตรียมพร้อม” ที่เราศึกษาไว้ก่อนจะทำให้เรา “กล้าซื้อ” หุ้นเมื่อตลาดตกหนักในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน บริษัทยังมีการเติบโตระยะยาวต่อเนื่อง
- สรุปว่า…ไม่ควรหยุดที่ศึกษาเรื่องธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตไม่ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดใดก็ตาม (แต่การซื้อขายเป็นคนละเรื่องครับ ไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่สามารถทำได้ทุกวันครับ)
ความเข้าใจเรื่องอนาคต
- นักลงทุนต้องทำความเข้าใจกับเรื่องอนาคตเพราะการลงทุนในหุ้นเกี่ยวข้องกับอนาคตโดยตรง…เพราะหุ้นจะขึ้นเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ “เชื่อ” ว่า หุ้นตัวนี้ผลกำไรจะดีขึ้นในอนาคต (เช่น ไตรมาสหน้า ปีหน้า สิบปีข้างหน้า แล้วแต่ความไกลของสายตาตลาดและความแรงของข่าว หรือการเติบโตของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว) และนักลงทุนส่วนใหญ่หวังผลที่ได้จากการเพิ่มของราคาหุ้น (Capital gain) เมื่อเวลาผ่านไปในอนาคต

- การลงทุนหุ้นหรือการเก็งกำไรหุ้น เกี่ยวข้องกับมองอนาคตโดยตรง
- เราจึงต้องมาเรียนรู้เรื่องอนาคตครับ

” เรามีความเข้าใจเรื่องอนาคตอย่างไรบ้าง? “

1. อนาคตเป็นภาพเดียวที่เกิดแน่นอน อนาคตเป็นความน่าจะเป็น
2. อนาคตถูกกำหนดมาแล้ว อนาคตเป็นไปตามเหตุและผล
3. ทำนายอนาคตได้ ทำนายอนาคตไม่ได้

- Einstein VS Quantum physics (เช่น ไฮเซนเบริก) พระเจ้าไม่โยนลูกเต๋ากับจักรวาล VS เราไม่สามารถระบุตำแหน่งของอนุภาคและโมเมนตัมได้อย่างแม่นยำพร้อมกัน

ความเห็นของผมในเรื่องอนาคต- เรารู้อนาคตได้จริงเหรอ? ทั้งที่สิ่งที่เรา perceive คือปัจจุบันล้วนๆ (ข้อมูลอดีตในสมองและประสาทสัมผัสในปัจจุบัน) หรือว่า…จริงๆแล้วอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย (Unknowable)

- ลองทายสิ่งที่เกิดขึ้นอีก 1 นาทีข้างหน้าเราแทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำ (เช่น ทายผู้ชนะของนักวิ่ง 100 เมตร, การแข่งม้า, ราคาหุ้นระยะสั้น, ไพ่ที่เราจะได้รับในการแข่ง Poker … เป็นต้น)
- ผมเคยลองซื้อหวย – เจ๊งครับ (คนส่วนใหญ่จะเจ๊งตามความน่าจะเป็น…และไม่มีใครทำนายอนาคตได้)
- ดังนั้นเวลาทำนายอนาคตถูกอย่ามั่นใจในตัวเองเกินไปเราอาจจะแค่โชคดี เพราะไม่มีใครรู้แน่นอนว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นครับ

Future prediction

- เราทุกคนอยากรู้อนาคต…มีศาสตร์มากมายที่อ้างว่าทำนายอนาคตได้ (โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี) มีกูรูมากมายที่เชื่อว่าผู้คนเชื่อว่าทำนายอนาคตได้ แต่ความจริงแล้ว…อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้
- เรามักจะชอบฟังความของผู้เชี่ยวชาญ…กูรูทั้งหลายเรื่องอนาคต เพราะเรากลัวและไม่มั่นใจกับอนาคต

- ดังนั้นไม่มีประโยชน์ในการทำนายอนาคต…โดยเฉพาะการทำนายเรื่อง Macroeconomic ครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ครับ
- แต่สำหรับพื้นฐานของกิจการและการเติบโตในอนาคตเราพอคาดการณ์ได้…โดยคิดแบบจำลองสถานการณ์หลายเหตุการณ์และเข้าใจถึงเหตุปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลต่อธุรกิจครับ

การพยายามคาดการณ์อนาคตนำมาซึ่ง…

- นักลงทุนหลายคนพยายามเก็งกำไรงบการเงินเพื่อหาว่าไตรมาสหน้าบริษัทใดจะมีกำไรเติบโตขึ้น…โดยไม่ได้ประเมินว่ากำไรที่เติบโตขึ้นจะเป็นอย่างไรในระยะยาว ต่อให้เดาถูก…ราคาตลาดอาจจะไม่ขึ้นหรือแม้กระทั่งลดลง (เนื่องจาก Sell on fact) นักลงทุนลักษณะนี้มีอยู่มากมายทำให้ซื้อรับความคาดหวังไปกันหมดแล้ว ยิ่งถ้าเดาผิด…ราคาตลาดจะลดลงอย่างมากเพราะตลาดผิดหวังรุนแรง

- ตัวอย่างการคาดเดาอนาคต ซื้อดักงบการเงิน ซื้อดัก Opportunity day ซื้อดัก Company visit เป็นต้น
- แล้วอย่างนั้นเราจะมีมุมมองอนาคตอย่างไรดี?
ผมคิดว่า…
- อนาคตไม่ได้มีแค่ภาพเดียว…เพราะมนุษย์เรามีสิทธิเลือกที่จะตัดสินใจกระทำในปัจจุบันได้ ขอให้มองอนาคตเป็นหลายเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยความน่าจะเป็นขึ้นกับเหตุปัจจัยที่ส่งผลลัพธ์ในอนาคต มองทั้งด้านดี…ด้านร้าย โอกาสและความเสี่ยง ถ้ามองแต่ด้านดีอย่างเดียวแล้วเหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเราจะเสียหลักรับมือไม่ถูกครับ
- ดังนั้นขอให้มองอนาคตตามภาพของความน่าจะเป็น…ด้วยการศึกษาข้อมูล…เหตุและปัจจัยในปัจจุบันที่มีผลต่ออนาคต

เราได้อะไรบ้างจากความเข้าใจเรื่องอนาคต

1. ไม่ปักใจเชื่อผู้เชี่ยญชาญหรือเซียนโดยไม่ไตร่ตรองด้วยตนเองเพราะเข้าใจว่าไม่มีใครรู้อนาคต
2. มองหาเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่จะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต…ทั้งปัจจัยภายนอก Demand trend ปัจจัยภายในทั้งปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณ
3. การรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น…ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่า มี MOS การรู้จักกระจายความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม
4. เข้าใจการประเมินบริษัทว่าเป็น Dynamic ไม่ใช่ Static ปัจจัยที่ส่งผลต่ออนาคตของบริษัทไท่ได้อยู่นิ่งกับที่ เราต้องประเมินคุณภาพของกิจการเป็นระยะ (เช่น ปีละครั้ง)
5. ไม่ปักใจว่ามูลค่าของบริษัทว่ามีเพียงตัวเลขเดียว (เพราะหุ้นเป็น Dynamic) …ขอให้มองเป็น Range (ช่วงราคา) จะทำให้ดีต่อการตัดสินใจซื้อขายมากกว่าครับ

ความสำคัญของ “เวลา” กับหุ้นเติบโต

- “เวลา” คือ สิ่งที่มีพลังที่สุดในจักรวาลเพราะ…เวลาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แต่ในความไม่แน่นอนคือ…ทุกอย่างต้องเกิดจากเหตุไปสู่ผล ผลเกิดจากเหตุและปัจจัย

- ถ้าเราไม่รู้เหตุและปัจจัยเราจะไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ …แต่ถ้าเราทราบเหตุปัจจัยที่มีผลในทุกเหตุปัจจัย…เราจะทำนายผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำครับ เช่น การคาดการณ์การเคลื่อนที่ของดวงดาวบนท้องฟ้า เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างดาวต่างๆ (แรงโน้มถ่วง gravitation force)
- เมื่อเวลาผ่านไป…กิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต (growth potential) จะแสดงพลังออกมา ทั้งที่ตอนแรกเราอาจจะมองไม่เห็น … เหมือนเด็กทารกที่เริ่มจากเซลเดียวแล้วเมื่อเวลาผ่านใน 9 เดือนในครรภ์…กลายเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหมือนต้นไม้ที่เริ่มจากเมล็ดพันธ์เล็กๆที่เมื่อปลูกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม…จะแสดงศักยภาพเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต ซึ่งการเติบโตต้องอาศัยเวลา…จะไปเร่ง”ไม่ได้” เราต้องอดทนรอคอย

หุ้นเติบโตกับค่า PE

- ตลาดหุ้นไม่ให้ค่า PE ของหุ้นทุกตัวเท่ากันเพราะหุ้นแต่ละชนิดคุณภาพไม่เหมือนกัน หุ้นที่มีอนาคต…สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นระยะเวลานาน อนาคตสดใสย่อมได้รับค่า PE สูง หรือ หุ้นดีราคาแพงนั่นเอง
- ของดีมักจะมีราคาสูง ของที่เกรดต่ำกว่าราคาจะถูก แต่ก็ไม่เสมอไป การใช้ค่า PE แบ่งคุณภาพหุ้นจึงไม่สามารถทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์
- สำหรับหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพ PE ปัจจุบันอาจจะดูสูง…แต่เมื่อใช้ Earning ของอนาคต เช่น 1 ปีข้างหน้า หรือ 5 – 10 ปีข้างหน้าจะพบว่า Forward PE เมื่อใช้ราคาปัจจุบันหารด้วยกำไรของอนาคตจะมีค่าน้อยลงมากทีเดียวครับ

*** หุ้นเติบโตที่ราคาแพงเกินไปไม่เหมาะกับการเข้าซื้อเช่นกัน เช่น iphone แม้ว่าจะเป็นโทรศัพท์ที่ดีแต่การซื้อเครื่องละ 1 ล้านย่อมนับว่าไม่คุ้มค่าครับ ***

ยกตัวอย่าง – ความสัมพันธ์ของเวลาและหุ้นเติบโต
ลองเปรียบเทียบหุ้น 2 ตัว ดูนะครับ
หุ้น A เป็นหุ้นโตช้าเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
หุ้น B เป็นหุ้นเติบโตที่มีศักยภาพเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เติบโตเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลา 10 ปี
สมมุติว่า…กำไรสุทธิ = 1 บาท ที่จุดเริ่มต้น
หุ้น A จะมีกำไรปีที่ 10 เท่ากับ 1 x (1+0.05)ยกกำลัง 10 = 1.63 บาท
หุ้น B จะมีกำไรปีที่ 10 เท่ากับ 1 x (1+0.20)ยกกำลัง 10 = 6.19 บาท
จะเห็นได้ว่าหุ้น B มีกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีครับ มากกว่าหุ้น B ถึง 3.8 เท่า
ถ้าการเติบโตยิ่งต่อเนื่องยาวนานขึ้นเท่าใด…หุ้นเติบโตยิ่งทิ้งห่างหุ้นปันผลมากขึ้นเท่านั้น

สมมุติถ้าหุ้น A ตลาดให้ PE แค่ 7 ราคาหุ้น A ปัจจุบันเท่ากับ 7 บาท ราคาหุ้น A ที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 11.40 บาท (7 -> 11.40 กำไร 63 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี)

สมมุติหุ้น B เป็นกรณี
กรณีที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หุ้น B เติบโตยังมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่อง…สมมุติตลาดให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 20 (เท่ากับการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 20 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 123 บาท (20 -> 123 กำไร 515 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี)

กรณีที่ 2 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีหุ้น B หมดศักยภาพในการเติบโตแล้วกลายเป็นหุ้นโตช้า…สมมุติตลาดให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 20 (เท่ากับการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 20 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลัง ตลาดลดค่า PE ลงเนื่องจากลายเป็นหุ้นโตช้าเท่ากับ PE 7 (เท่าหุ้น A) ราคาหุ้น B ในอีก 10 ปีให้หลังเท่ากับ 7 x 6.19 = 43.33 บาท (20 -> 43.33 กำไร 116 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี) แม้ว่าตลาดได้ลดค่า PE ลงแล้วยังได้กำไรมากกว่าการซื้อหุ้นโตช้าอยู่ดีครับ

กรณีที่ 3 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หุ้น B หมดศักยภาพในการเติบโตแล้วกลายเป็นหุ้นโตช้า…แต่ตลาดคาดหวังสูงให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 30 (มากกว่าการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 30 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 43.33 บาท (30 -> 43.30 กำไร 44 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี) แสดงว่าการซื้อหุ้นเติบโตที่ราคาแพงเกินไปจะทำให้ได้กำไรน้อยลงได้
(ตัวอย่างใช้การสมมุติตัวเลขเพียง 3 ชุดเพื่อแสดงให้เห็น “พลังของเวลา”…แต่การจำลองสถาณการณ์ของจริงทำได้มากกว่านี้ได้หลายรูปแบบครับ เช่น การเติบโตของกำไรที่มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี, การที่ตลาดให้ค่า PE หุ้นเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในการเติบโต, การให้ค่า PE ของหุ้นโตช้าสูงกว่านี้ เช่น ให้ PE = 10 เป็นต้น)

ดังนั้นจากตัวอย่างนี้…เราจะเห็นได้ว่า

1. การซื้อหุ้นเติบโตระยะยาวยิ่งถือนานกำไรยิ่งเพิ่มพูน เพราะ “เวลา” เป็นเพื่อนของกิจการที่ยอดเยี่ยม…ยิ่งถือหุ้นนานยิ่งเสี่ยงน้อยลงเพราะหุ้นเติบโตมีขนาดของ Upside ที่สูงพอที่จะกลบความผันผวนระยะสั้นได้อย่างสบายๆ
หุ้นประเภทอื่นยิ่งถือนานยิ่งเสี่ยง…เช่น
- หุ้น Turnaround ถ้า turn จบแล้วปัจจัยพื้นฐานไม่เติบโตต่อเนื่อง…อาจจะกลับไปฟุบซ้ำด้วยเหตุว่าพื้นฐานบริษัทไม่ดีมาตั้งแต่ต้น
- หุ้น Cycle กำไรขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ…ถ้าถือยาวตอนขาลงจะขาดทุนมาก ถ้าถือขาขึ้นแล้วถือยาวไม่ยอมขาย อาจจบขาขึ้นโดยไม่ได้ขายทำให้ไม่ได้กำไรหรือถือจนขาดทุนได้ในที่สุด

2. การซื้อหุ้นเติบโตต้องประเมินราคาเทียบกับการเติบโตด้วย…ถ้าซื้อหุ้นเติบโตที่ราคาแพงมากๆ โดยที่หุ้นไม่ได้มีศักยภาพในการเติบโตขนาดนั้น อาจจะขาดทุนในระยะสั้น…แม้ในระยะยาวอาจจะได้กำไรน้อยหรือกระทั่งขาดทุนได้ครับ ควรซื้อหุ้นเติบโตเมื่อราคาถูกกว่าการเติบโต ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง ต้องมี Margin of safety ครับ
(ผมจะพูดถึงเรื่อง PE อีกครั้งว่าทำไมหุ้นแต่ละตัว PE สูงต่ำไม่เท่ากันเอาอะไรมาวัดครับ)

การเติบโตระยะยาว VS การเติบโตระยะสั้น

- นักลงทุนบางคนบอกว่า…ยิ่งถือหุ้นยาวยิ่งเสี่ยงเพราะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากมายที่คาดเดาไม่ได้ การถือหุ้นยาวยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น สิ่งคำกล่าวนี้จริงหรือไม่?
- บางคนบอกว่าเราคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดได้แม่นยำกว่า…สิ่งที่จะเกิดในอีกหลายปีข้างหน้า
- ผมคิดว่าการมองแบบนี้เป็นจริงบางส่วน ไม่จริงบางส่วน และเป็นการด่วนสรุปเกินไป การคาดการณ์อนาคตมีภาพกรอบของเวลาที่เหมาะสมกับสิ่งต่างๆที่ไม่เหมือนกัน
- การมองภาพ…ต้องมีระยะที่เหมาะสมกับการมอง การมองเชื้อโรคต้องใช้กล้องที่มีกำลังขยายสูง การมองไกลต้องใช้กล้องส่องทางไกล การมองภาพปกติในการขยายระดับละเอียดจะไม่เห็นภาพรวม เปรียบเหมือนมอง TV แบบขยายจะเห็นแต่จุดเล็กๆ ไม่เห็นไม่เข้าใจเนื้อหาใดๆที่แสดงใน TV เลย การคาดการณ์ลมฟ้าอากาศถ้ามองในระดับรายวันอาจจะคาดยาก…แต่ถ้ามองเป็นฤดูจะพอคาดเดาได้ว่าช่วงไหนน่าจะเป็นฤดูใด
- ดังนั้นการมองธุรกิจในรายวัน…หรือแม้แต่รายไตรมาส เราจะมองไม่เห็นการเติบโตของธุรกิจในภาพรวม การคาดการณ์การเติบโตจะมีกรอบเวลาที่มองเห็นภาพชัดของแต่ละธุรกิจ เห็นภาพชัดที่กรอบเวลาใดให้ลงทุนที่กรอบเวลานั้น
- ใครจะเก่งคาดการณ์ในกรอบระยะเวลาใด…ให้ลงทุนในกรอบระยะเวลาที่เราคาดการณ์ได้ ในกรอบเวลาที่เรามองเห็นความน่าจะเป็นของอนาคต
แต่ถ้าเป็นการคาดการณ์ในเรื่องการเติบโตของธุรกิจ…ผมคิดว่าต้องเป็นระดับหน่วย “ปี” ขึ้นไป
และที่สำคัญกว่านั้น…ถ้าบริษัทนั้นมีศักยภาพในการเติบโต เวลาจะเป็นเพื่อนของเราครับ

ดังนั้น…งานของนักลงทุนหุ้นเติบโตคือการค้นหาบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวครับ

การคาดการณ์การเติบโตในอนาคตของบริษัทจากการเติบโตในอดีต…???

- ไม่แน่เสมอไป…เพราะเราต้องเข้าใจเหตุปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของบริษัท แล้วประเมินว่าเหตุปัจจัยเหล่านั้นยังคงอยู่หรือไม่?
- บางคนรองบการเงินออก มานั่ง check กำไร ROA ROE นั่งแกะงบ ผมคิดว่าช้าเกินไป… เพราะส่วนใหญ่กว่างบการเงินจะออกราคาจะตอบรับแนวโน้มการเติบโตไปเรียบร้อยแล้วจากการประเมินปัจจัยเชิงคุณภาพ
ในมุมมองของผมจะวิเคราะห์ Business model แล้วลองตั้งสมมุติฐานเรื่องความก้าวหน้าของกิจการที่มีผลต่อกำไร และตรวจสอบตัวเลขในงบการเงินที่สำคัญเป็นระยะ
มองอนาคตโดยใช้จินตนาการและเหตุผล

การพัฒนาการคาดการณ์อนาคต

- ภาพยนต์ต่างประเทศ การอ่านหนังสือ การไปเที่ยวต่างประเทศ การมองวิถีชีวิตของผู้คน
- ลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจ เราทุกคนมีความเข้าใจอุตสาหกรรมบางอย่างมากกว่าคนอื่น ตามความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมา … ถ้าสนใจธุรกิจที่ยังไม่เข้าใจ…ให้เข้าไปศึกษาคลุกคลีจนเข้าใจธุรกิจ เพื่อเพิ่ม Circle of competence ในการลงทุนครับ
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหมกมุ่นกับอนาคตจนละเลยปัจจุบัน…เพียงแค่ให้รู้ว่าบริษัทที่เราลงทุนกับกำลังจะเดินไปในแนวทางไหน คอยเฝ้าดูว่า…ตอนนี้ถึงจุดไหนของเส้นทางของการเติบโต

การมองอนาคตในการเติบโตของหุ้นเติบโต

1. การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรมผู้บริโภค (เข้าใจการเติบโตของ Demand – Demand trend)
2. การเข้าใจการบริษัทที่เราลงทุน (เข้าใจการเติบโตของ Supply ที่มีต่อ Demand …รวมถึงเข้าใจการสร้าง Demand)
กรณีศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ การใช้กล้องถ่ายรูปแบบฟิลม์ เพจเจอร์ อินเตอร์เนต โทรศัพท์มือถือ ชาเขียว การเดินห้าง
เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค (เราทุกคน)
- พฤติกรรมผู้บริโภคมีความสำคัญอย่างไร?
ยกตัวอย่าง…ความเชื่อมโยง
ความต้องการของมนุษย์บางคน -> Demand ของ End product -> Demand ของสายการผลิตที่เกี่ยวข้องกับ End product นั้น -> ความต้องการของมนุษย์ในสังคม (Critical mass) -> Demand trend -> Megatrend
- ความต้องการของมนุษย์คือตัวกำหนดราคาของสิ่งต่างๆ
- ความต้องการ = Demand
- ธุรกิจคือการพยายามตอบสนอง Demand ของมนุษย์โดยแลกกับเงินตรา
แล้วมนุษย์ต้องการอะไร?
- ความต้องการทางร่างกาย ปัจจัย 4 (อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม บ้าน คอนโด ยา โรงพยาบาล)
- ความต้องการเป็นที่ยอมรับ (ธุรกิจความงาม, เครื่องประดับ, สินค้า brand name, การสร้าง brand, Smart phone)
- ความต้องการค้นหาตนเอง (การสัมมนาพัฒนาตนเอง, หนังสือ)
- ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Social network, Communication)
- ความง่าย มนุษย์มีแนวโน้มเข้าหาความง่าย ไม่ชอบความยุ่งยาก
- ความเป็นหมู่คณะ มนุษย์ชอบทำตามกัน
- ราคาถูก (มูลค่าในใจเทียบราคาที่ขาย)
- ความสะดวกรวดเร็วทันใจ (การเสริมแรงทันทีเป็นกลไกของธรรมชาติ)
- หลีกหนีความทุกข์
- เข้าหาความสุข
เราสามารถเอาความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในการมอง Demand trend, การทำการตลาด, การประเมินความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการที่จะเอาชนะใจผู้บริโภคทั้งระดับ End product และกระบวนการผลิต
- เริ่มจากความเข้าใจตนเอง…สำรวจตนเอง สุดท้ายจะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์โดยทั่วไปที่สุด
- เริ่มจากการศึกษาพฤติกรรมของคนใกล้ตัว คนในสังคม รวมถึงคนในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว

การสร้าง Demand

- ธุรกิจจำเป็นต้องตอบสนอง Demand ของมนุษย์เสมอไปหรือไม่?
- มนุษย์หลายคนไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร…ส่วนใหญ่ต้องให้คนอื่นมาบอกให้…ว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี
- ประเมินว่าธุรกิจที่เราสนใจมีการสร้าง Demand หรือไม่? เช่น การโฆษณา การตลาดที่มีประสิทธิภาพ สินค้าที่โดนใจผู้บริโภค
Megatrend
(มาจาก Demand trend ที่เป็นภาพใหญ่และใช้ระยะเวลานาน)

ขอบคุณข้อมูลจากเว็ป : http://fundmanagertalk.com/growth-stock-psychology/

จากคุณ : Wild Rabbit
เขียนเมื่อ : 28 ต.ค. 55 22:38:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com