ความคิดเห็นที่ 1 Q: การใช้จ่ายภาครัฐสำคัญอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจ? A: ขอเริ่มจากตรงนี้ละกัน ในระบบเศรษฐกิจ มันจะมีผู้เล่นๆ หลักๆ แค่ไม่กี่คนหรอกครับ คือ ภาคครัวเรือน ภาคต่างประเทศ (ประเทศต่างๆ ที่ซื้อสินค้าหรือทำธุรกรรมด้านการเงินกับเรา) ภาคธุรกิจ (บริษัทห้างร้านต่างๆ) และภาครัฐบาลครับ การใช้จ่ายของคนหนึ่งจะเป็นรายได้ของอีกคนหนึ่ง เช่น เราซื้อข้าวแกงที่ร้านป้าหน้าปากซอย รายจ่ายของเราก้อคือรายได้ของป้าเค้าใช่ไหมครับ รายจ่ายที่บริษัทจ่ายให้เรา มันก้อคือรายได้ (เงินเดือน) ของเรา ไรงี้ครับ ดังนั้น การวัดระบบเศรษฐกิจว่ามันใหญ่แค่ไหน ขยายตัวมากน้อยเพียงใด แทนที่เราจะวัดจากรายได้ ซึ่งมันทำได้ยากกว่า เราเลยวัดจากรายจ่ายแทนครับ ตัวเลขที่เราดูกันก้อคือ GDP ครับ ซึ่ง GDP จะประกอบด้วยรายจ่ายของภาคต่างๆ หลักๆ 3 คนคือ 1. ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ (Private expenditure) ซึ่งจะแยกได้เป็น รายจ่ายด้านการอุปโภคบริโภค (Private consumption) และรายจ่ายด้านการลงทุน (Private investment) 2. ภาคต่างประเทศ ก้อคือ export ของเราครับ (ต่างชาติเป็นคนจ่าย) แต่ก้อมีบางส่วนที่เราเป็นคนจ่ายด้วย ก้อคือ Import เมื่อหักลบกลบนี้กันแล้ว ก้อเป็น Net export ครับ 3. ภาครัฐบาล (Government expenditure) อันนี้ก้อจะเหมือนภาคเอกชนล่ะครับ มีทั้งรายจ่ายด้านการอุปโภคบริโภค (Government consumption) และรายจ่ายด้านการลงทุน (Government investment) เวลาเขียนเป็นสมการ เราก้อจะเขียนว่า GDP = Consumption (C) + Investment (I) + Government (G) + Export (X) - Import (M) ไรงี้ใช่ไหมครับ (C กับ I คือของภาคเอกชน G ของภาครัฐ และ X-M คือภาคต่างประเทศ) ทุกประเทศจะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดครับ แต่สัดส่วนก้อจะแตกต่างกันออกไป แต่ประเด็นสำคัญคือ ภาครัฐเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญมากของระบบเศรษฐกิจ ถ้าภาครัฐใช้จ่ายน้อยลง เศรษฐกิจก้อจะชะลอลง หรือหดตัวครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:43:10

ความคิดเห็นที่ 2 Q: แล้ว Fiscal Cliff คืออะไร A: Fiscal Cliff แปลเป็นไทยว่า ฟิสคอลคลิฟ ครับ (55+) อันนี้ส่วนตัวล้วนๆ นะครับ (และทราบดีครับ ว่าสิ่งที่ผมคิดนั้น ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไรนัก) ผมรู้สึกว่า คำแปลที่หลายๆ คนใช้ว่า "หน้าผาทางการคลัง" อะไรนั่นล่ะ ผมว่า มันตลกอ่ะ และมันยิ่งทำให้งงหนัก (หน้าผาไรฟ่ะ ไรงี้) ผมขอไม่แปลล่ะกันนะครับ ความหมายของมันคือ ภายใต้กฏหมายสหรัฐฯ ปัจจุบันเนี่ย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายๆ ตัว ที่รัฐบาลในอดีตเคยออกมาใช้ ทั้งการลดหย่อนภาษี ทั้งการใช้จ่าย ให้เงินอุดหนุน บลาๆๆ ไรงี้ มันจะหมดอายุลงพร้อมๆ กันปลายปีนี้ ถ้ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ต่ออายุมาตรการเหล่านี้ออกไป (ซึ่งภายใต้กฏหมายปัจจุบัน เค้าจะไม่ต่ออายุครับ) จะทำให้รายจ่ายภาครัฐของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมหาศาลในปีหน้า และจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของสหรัฐฯ อย่างมากเช่นกัน และอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัว (recression) ก้อได้ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:44:21

ความคิดเห็นที่ 3 Q: ทำไมถึงชื่อ fiscal cliff อ่ะ เกี่ยวไรกับหน้าผา? A: ดูจากรูปครับ อันนี้เป็นงบประมาณของสหรัฐฯ ในปีต่างๆ จะเห็นได้ว่า มันขาดดุลเพิ่มสูงขึ้นทุกปีๆ (แปลว่า รัฐใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจก้อขยายตัวมากขึ้น) แต่ภายใต้กฏหมายปัจจุบัน มันจะทำให้การขาดดุลของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากในปีหน้าครับ (เนื่องจากการลดภาษีจะลดลง รัฐก้อจะเก็บภาษีได้มากขึ้น รายจ่ายที่เคยจ่ายต่างๆ ก้อจะหมดอายุลง รัฐก้อไม่ต้องจ่าย บลาๆ ) เค้าก้อเลยเปรียบเปรยกันว่า ถ้าเราไปยืนอยู่บนยอดของงบประมาณในปี 2012 เมื่อมองดูในปี 2013 จะเห็นว่า มันลาดลงมา เหมือนหน้าผาครับ :) ด้วยเหตุนี้ เราถึงเรียกมันว่า Fiscal Cliff ครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:45:08

ความคิดเห็นที่ 4 Q: มาตรการที่ว่าจะหมดอายุเนี่ย มีอะไรบ้าง? A: จริงๆ มันมีหลายตัวมากและผมคงไม่สามารถเขียนมันได้ทั้งหมด ณ ที่นี่ ดังนั้น จึงขอยกมาเฉพาะตัวใหญ่ๆ เท่านั้นนะครับ (ไม่ขอลงรายละเอียดมากนะ สนใจอันไหน ถามได้นะครับ ตอบได้หรือเปล่าอีกเรื่องนะ ^^") 1. การหมดอายุของมาตรการลดภาษีเงินได้ 3-5% (ขึ้นอยู่กับฐานภาษี) หรือที่เราเรียกว่า Bush tax cut (เพราะกฏหมายนี้เกิดในยุดของประธานาธิปดีบุช จูเนียร์ครับ)  มันจะหมดอายุสิ้นปีนี้ ถ้าไม่ต่อ ปีหน้า คนอเมริกันเสียภาษีมากขึ้น 3-5% (ขึ้นอยู่กับฐานภาษีครับ) 2. การหมดอายุของการยกเว้นภาษี 2% สำหรับภาษีหัก ณ ที่จ่ายเข้าสมทบกองทุนสวัสดิการสังคม (Payrolls Tax Cut)  ปีหน้า คนอเมริกันต้องจ่ายส่วนนี้เพิ่มครับ 3. การขยายเพดานของเงินได้ที่นำมาคำนวณภาษี Alternative Minimum Tax (AMT)* ถ้าไม่ขยายฐานเงินได้ที่นำมาคำนวณ AMT ปีหน้า จะมีคนอเมริกันจำนวนมาก ต้องมาจ่ายภาษีในแบบ AMT ครับ 4. การตัดรายจ่ายภายใต้กฏหมาย Budget Control Act (หรือรู้จักในนาม Sequester) ซึ่งรัฐบาลไปสัญญาไว้ตอนขึ้นเพดานหนี้ครั้งก่อนครับ ว่าจะตัดรายจ่ายให้ได้ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้ เพื่อแลกการกับขึ้นเพดานหนี้ในมูลค่าที่ใกล้เคียงกันครับ ซึ่งกฏหมายอันนี้ก้อจะเริ่มบังคับให้รัฐบาลลดรายจ่ายตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปครับ 5.ที่เหลือก้อเป็นมาตรการยิบๆ ย่อยๆ อีกเยอะมากครับ เช่น การหมดอายุของเงินช่วยเหลือสวัสดิการการว่างงาน หรือมาตรการที่ให้เงินอุดหนุนเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนทำในสิ่งที่รัฐบาลอยากให้ทำเช่น ใช้พลังงานทางเลือก หรือช่วยบำรุงรักษารางรถไฟ บลาๆ ไรงี้ครับ มูลค่ารวมทั้งหมด ก้อแล้วแต่ใครจะประเมินครับ แต่รวมๆ น่าจะสูงถึงราวๆ 450 - 750 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตกราวๆ 3 - 5% ต่อ GDP ครับ ;) * คนอเมริกัน เวลาคำนวณภาษีต้องคำนวณสองแบบ คือ แบบปกติ (คล้ายๆ บ้านเรา คือ หักโน้น หักนี้ เหลือเงินได้สุทธิเท่าไร จ่ายภาษีตามเงินได้ตามอัตราภาษีแบบขั้นบันได) กับแบบ AMT คือ ไม่หักอะไรเลย คิดเรตแบบดิบๆ เลย จากนั้นเอาทั้งสองแบบมาเปรียบเทียบกัน อันไหนสูงกว่า ให้จ่ายอันนั้น   การที่มี AMT ก้อเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มีรายได้มาก (ซึ่งมักหักโน้นหักนี้ได้มากกว่าคนรายได้น้อย จนเหลือเงินได้สุทธิน้อยกว่า) จ่ายภาษีต่ำกว่าความเป็นจริงครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:45:47

ความคิดเห็นที่ 5 Q: ถ้ามันมีปัญหานัก ต่ออายุมาตรการออกไปก้อจบไม่ใช่เหรอ? A: อันนี้ฟังแล้วเจ็บปวด จริงๆ มันก้อง่ายประมาณนั้นล่ะครับ แต่ที่มันยากคือ นักการเมืองครับ ^^" ในระบอบการเมืองของสหรัฐฯ ในการออกกฏหมาย จะมีคนสำคัญๆ อยู่ 3 คน คือ ประธานาธิปดี (The President) วุฒิสภา (Senate) และสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) โดยวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ รวมกันเราเรียกกันว่า Congress กฏหมายต่างๆ จะเริ่มจากสภา โดยไม่จำเป็นว่าต้องเริ่มจาก สส. ก่อนเหมือนเรา ถ้าผ่าน ก้อส่งต่อไปให้อีกสภาหนึ่ง ถ้าผ่านทั้งสองสภาแล้ว ก้อส่งไปให้ประธานาธิปดีเซ็นเพื่อออกเป็นกฏหมายบังคับใช้ครับ จะเห็นได้ว่า การต่ออายุมันเป็นเรื่องของ Congress  ขณะที่ประธานาธิปดี ไม่มีสิทธิเสนอเรื่องโดยตรง* ดังนั้น คนที่จะตัดสินเรื่อง Fiscal cliff นี่ก้อคือ Congress ครับ * ถ้าอยากจะเสนอกฏหมาย ต้องทำในแนวให้คำแนะนำเท่านั้น สภาจะฟังหรือเปล่าก้ออีกเรื่องนะ 55+ อย่างไรก้อดี ประธานาธิปดีมีสิทธิไม่เห็นด้วย (veto) กับกฏหมายที่ Congress เสนอมาก้อได้ แล้ว Congress จะนำไปพิจารณาใหม่ แต่ถ้า Congress ยืนยันดังเดิม ด้วยเสียง 2 ใน 3 ก้อสามารถตราเป็นกฏมายบังคับใช้ได้ทันทีครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:46:52

ความคิดเห็นที่ 6 Q: แล้วปัญหาคือ? A: ปัญหาคือ ทั้งสองสภา มาจากคนละพรรคกันครับ และทั้งสองพรรคเค้าเห็นไม่ตรงกันเรื่องมาตรการไหนควรต่ออายุ และต่อแบบไหน ไรงี้ครับ ปัจจุบัน วุฒิสภาเป็นของ Democratic ครับ เช่นเดียวกันกับประธานาธิปดี บารัก โอมาบา ก้อมาจาก Democratic เช่นกัน ส่วน สส ตอนนี้ Republican เป็นเสียงข้างมากครับ เรื่อง Fiscal cliff นี่จริงๆ เค้าพิจารณากันมาหลายวาระแล้วนะครับ ต่างฝ่ายต่างก้อเสนอวาระของตนซึ่งที่ได้ผ่านสภาของตนแล้ว แต่พอยื่นเรื่องไปอีกสภาหนึ่ง ก้อโดนตีตกลงมาครับ อะไรแบบนี้ ซึ่งโดยสรุป  พรรค Democratic เค้าอยากให้เน้น การหารายได้มากกว่า เช่น อยากให้ขึ้นภาษี บลาๆ เพื่อให้รัฐยังมีอำนาจในการใช้จ่าย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วน พรรค Republican อยากให้เน้น การลดรายจ่าย เช่น ตัดงบประมาณที่ไม่ใช่ทางด้านความมั่นคง เพื่อให้รัฐมีขนาดเล็กลง และปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจปรับตัวของมันเอง* เรื่องใหญ่ๆ ที่เห็นไม่ตรงกันมากๆ ก้อเรื่องการมาตรการลดภาษี (หรือเราเรียกกันว่า Bush Tax cut เพราะมาตรการนี้เกิดขึ้นในช่วงประธานาธิปดี จอร์จ บุช ผู้ลูก เมื่อช่วงปี 2001-2003 ครับ) ที่ทาง Democratic อยากให้ต่ออายุแค่ผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง แต่ให้ขึ้นภาษีผู้มีรายได้สูง ขณะที่ทาง Republican อยากให้ต่อมาตรการสำหรับทุกคน ยังไม่พอครับ ^^" เรื่องราวมันยิ่งซับซ้อนไปอีก เพราะสหรัฐฯ ดันมีกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 6 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้อีกครับ ซึงการเลือกตั้งงวดนี้ เป็นการเลือกตั้งใหญ่ ทั้งเลือกประธานาธิปดี เลือก สส.ใหม่ยกชุด และเลือก สว. ใหม่ 1 ใน 3 ครับ ดังนั้น ต่างฝ่ายต่างดึงเช็ง บางคนใส่เกียร์ว่าง ไม่ยอมที่จะประนีประนอมกัน เพราะรอดูก่อนว่า ผลการเลือกตั้งจะออกมาในรูปแบบไหนครับ *ถ้าพูดภาษาเศรษฐศาสตร์หน่อย ก้อต้องบอกว่า ฝั่ง Democratic เชื่อในทฤษฎีของเคนเซียน (Keynesian) ที่ให้ภาครัฐเข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจเพราะเห็นว่า ระบบกลไกลตลาดทำงานได้ไม่สมบูรณ์ (Market failure) ขณะที่ฝั่ง Republican เชื่อในทฤษฎี Classic ครับที่ว่า ปล่อยให้กลไกลตลาดเป็นตัวกำหนดเองว่า อะไรควรเป็นอะไร (เพราะถ้าไม่เป็นอย่างนั้น จะมีมือที่มองไม่เห็น (invisible hand) มาทำให้เป็นเองครับ) แก้ไขเมื่อ 06 พ.ย. 55 19:59:43 จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:47:17

ความคิดเห็นที่ 7 Q: ดังนั้น ใครชนะการเลือกตั้งก้อจะเป็นคนกำหนดว่า Fiscal cliff จะจบแบบใด? A: ถูกต้องนะครับ :) ซึ่งจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่ใครชนะอย่างเดียวนะครับ ต้องดูด้วยว่า ชนะที่ไหน และชนะเท่าไร   สำคัญที่สุด คือ ประธานาธิปดี ต้องดูก่อนว่า โอบามาหรือรอมนี่จะชนะ ใครชนะ ก้อจะใช้กรอบนโยบายของคนนั้นเป็นตัวตั้งครับ ในการผ่านกฏหมายหรือนำไปปฏิบัติ จากนั้นก้อต้องมาดูว่าใครจะชนะ Congress ถ้าทั้งสองสภามาจากพรรคเดียวกันกับประธานาธิปดี เรื่องก้อจะง่ายที่สุด ถ้าสภามาจากคนละพรรค (แบบปัจจุบัน) อันนี้คงยุ่งยากอีกหน่อย ต้องต่อรองกันเยอะหน่อย แต่ถ้าสองสภามาจากพรรคเดียวกัน แต่คนละพรรคกับประธานาธิปดี อันเนี่ย ผมว่า อันเนี่ยปวดหัวสุด เพราะต่างคนต่างใหญ่พอกัน เยอะครับ เยอะ ^^" เรื่อง Fiscal cliff นี่ มันทำให้การเลือกตั้งในวันอังคารนี้ (6 พ.ย.) ยิ่งเป็นที่น่าจับตามองมากขึ้น อีกไม่กี่วันก้อรู้กันแล้วครับ อดใจรออีกนิด ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:47:52

ความคิดเห็นที่ 8 Q: เดาสักนิดน่า แล้ว m_ple คิดว่า ใครจะชนะ? A: ปรับ ครม. ไทย ยังเดาไม่ออกเลยครับ จะเอาการเมืองสหรัฐฯ เลยเหรอ ^^" ถ้าดูจากผลสำรวจล่าสุด ก้อเป็นไปได้ที่ทุกอย่างจะเหมือนเดิมครับ กล่าวคือ ประธานาธิปดีจะเป็นบารัก โอบามาต่อไป ขณะที่ Democratic จะชนะใน สว. ส่วน สส. Republican ได้ไป ถ้าจะเจาะจงทีละอัน ที่น่าจะแน่นอนที่สุดคือ สส ที่ Republican น่าจะชนะอีกสมัย รองลงมา คงเป็น ประธานาธิปดี ที่แม้คะแนนนิยมจะใกล้เคียงกันมากสำหรับโอบามาและรอมนี่ แต่เนื่องจากระบบการเลือกตั้งเป็นแบบ winner-take-all ซึ่งเมื่อคิดคะแนนแบบนี้ โอบามามีโอกาสชนะมากกว่าครับ* สุดท้ายที่ สว. อันนี้ อาจจะมีโอกาสพลิกล็อกหน่อย สว. สหรัฐฯ เค้าจะหมดวาระกันทีละ 1 ใน 3 (แต่ละคนมีวาระ 6 ปี ให้ผลัดกันหมด การออกกฏหมายจะได้ไม่สะดุด) สว. มีทั้งหมด 100 คน หมดอายุคราวนี้ก้อ 33 คน ซึ่งคนที่หมดอายุงวดนี้ มาจาก Democratic มากกว่าครับ (คือ 21 คน ขณะที่ Republican ออกแค่ 10 คน ส่วนอีก 2 คนที่เหลือ เป็นผู้สมัครอิสระ ซึ่งสนับสนุน Democratic ซะด้วย) ดังนั้น ความเสี่ยงที่ Democratic จะเสียที่นั่งก้อมีมากกว่าครับ แต่ดูจากผลสำรวจ ก้อดูเหมือนว่า Democratic น่าจะกลับมาได้มากกว่า และเป็นเสียงข้างมากต่อไปครับ *ขออธิบายระบบการเลือกตั้งประธานาธิปดีสหรัฐฯ สั้นๆ หน่อยนะครับ จริงๆ มันไม่ใช่ว่า เราไปกาบัตรเลือกใครเป็นประธานาธิปดี แต่เราไปกาบัตรเลือกผู้แทน (ภาษาอังกฤษคือ electoral college คนละอันกะ สส หรือ สว นะครับ) เพื่อที่จะไปเลือกประธานาธิปดีอีกรอบครับ แต่ละรัฐจะมีจำนวนผู้แทนไม่เท่ากัน รัฐไหนประชากรมาก ก้อจะมีผู้แทนมาก สมมติว่า รัฐหนึ่งมีผู้แทนได้ 20 คน แล้วผลโหวตรัฐนี้ ปรากฏว่า โอบามาได้คะแนน 51% ขณะที่รอมนี่ได้ 49% รัฐนี้โอบามาจะได้ไปหมด 20 ที่เลยครับ ไม่มีการมาแบ่งกัน หรือที่เราเรียกว่า Winner-take-all ครับ ทีนี้ มันก้อจะเป็นไปได้ครับ ที่คนชนะอาจจะได้คะแนนโหวตน้อยกว่า เมื่อรวมทั้งประเทศ (คือไปชนะไปรัฐที่มีผู้แทนเยอะ แม้จะแพ้หลุดลุ่ยในรัฐอื่นๆ ก้อตาม) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:48:50

ความคิดเห็นที่ 9 Q: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจล่ะ จะเป็นอย่างไร? A: จะว่าไป เราคงไม่สนหรอกนะครับ ว่าใครจะชนะ เท่าไร จะต่ออายุอันไหน บลาๆๆ แต่จริงๆ เราสนใจแค่ว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ใช่ไหมครับ ;) แต่อันนี้ล่ะ ประทานโทษนะครับ แมงโคดยากอ่ะ ^^" เพราะก่อนอื่นนะครับ คุณต้อง "เดา" ก่อนว่า ใครจะชนะการเลือกตั้ง (อันนี้ เดา หนึ่ง) เดาสอง คือ คุณต้องเดาว่า เค้าจะต่อมาตรการอะไรบ้าง (อันนี้ เดา สอง) สาม คุณต้องเดาต่อไปว่า เค้าจะต่อแบบไหน เช่น ขึ้นภาษี จะขึ้นกี่ % ลดรายจ่ายจะลดกี่บาท ลดใน sector ไหน และอายุมาตรการอันใหม่ จะยาวแค่ไหน อาทิ ต่อไปอีกสามเดือนนะ หรืออันนี้ต่อไปยันสิ้นปี ยังไม่จบนะครับ เดา 4 คุณต้องเดาว่า ระบบเศรษฐกิจจะตอบสนองอย่างไร เช่น ถ้าคุณเสียภาษีเพิ่มขึ้น คุณจะใช้จ่ายน้อยลงหรือเปล่า หรือถ้าบริษัทคุณได้รับงานจากรัฐอยู่ แล้ววันดีคืนดี รัฐไม่จ้างบริษัทคุณต่อ คุณจะโดนไล่ออกไหม บลาๆๆ ทานโทษเหอะครับ เอาแค่แบบไม่มี shock แบบช่วงเวลาปกติ เรายังเดา GDP กันไม่ค่อยจะถูกเล้ยย (อย่างวันศุกร์ที่ผ่านมา GDP Q3 ของสหรัฐฯ ออกมา 2.0% ตลาดเดาว่า 1.8% เองครับ เหอๆ) เห็นไหมครับ คุณต้องเดาถูก 4 อย่าง ในทุกๆ มาตรการของ Fiscal cliff คุณถึงจะเดาได้ว่า GDP สหรัฐฯ จะเป็นอย่างไงครับ ซึงผมว่า ไม่มีใครรู้หรอกครับ แต่อย่างไรก้อดี เพื่อให้เห็นภาพคร่าวๆ สำนักงบประมาณของสหรัฐฯ (Congressional Budget Office: CBO เป็นหน่วนงานของรัฐดูเรื่องงบประมาณโดยตรงครับ ซึ่งถ้าจะมีใครรู้ดีที่สุด คงเป็นอีตานี่ละครับ ^^") เค้าเชื่อว่า มาตรการส่วนใหญ่จะถูกต่ออายุออกไปครับ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้1.7 %ในปี 2013 แต่ถ้าไม่มีอันไหนต่อเลย เตรียมเผาผีเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้เลยครับ เพราะจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย (recession) โดยอาจหดตัวถึง 0.5% ครับ จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:49:20

ความคิดเห็นที่ 10 จบแล้วครับ (เห็นไหมครับ ไม่เกิน 10 ความเห็น 55+) พบกันใหม่โอกาสหน้าครับ สวัสดีครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 55 23:50:13

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ อารมณ์เหมือนตอนเพิ่มเพดานหนี้ ดึงเรื่องกันตามประสาการเมืองใช่มั้ยครับ สุดท้ายก็ต้องต่ออายุอยู่ดี แต่อาจมีเปลี่ยนในรายละเอียด ตอนนี้ ออกข่าวให้คนกลัวเล่นๆเหมือนเดิมใช่เปล่าครับ จากคุณ : kanstk เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 01:01:32

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับ มีความรู้มากมีภาพประกอบอ่านสนุกดี อ่านเรื่อยๆได้ความรู้ครับ ^^ จากคุณ : Exzion เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 01:03:57

ความคิดเห็นที่ 13 ผมจำได้ตอนเพิ่มเพดานหนี้ปีที่แล้ว แดงเช็ดเป็ด Halt สุดคลาสิค แล้วคราวนี้ หน้าผาอันนี้ล่ะ 555+ จากคุณ : เขียนบน iPhone (nammak) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 01:57:55

ความคิดเห็นที่ 14 thx krub จากคุณ : :::GANTZ::: เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 02:23:30

ความคิดเห็นที่ 15 จขกท ขอบคุณครับสำหรับข้อมูล แต่มีแย้งนิดหน่อยครับ แค่อยากแชร์ข้อมูลด้วยนะครับ ผมว่าเรื่องภาษีที่คิดสองแบบใน คห 4 ไม่น่าจะถูก คือเวลาผมกรอกแบบขอคืนภาษี มันมีวิธีคิดสองแบบ แบบแรกคือ ขอลดหย่อนแบบละเอียด กับอีกแบบคือมาตรฐาน คือ คิดเหมาไปเลยว่าลดหย่อนได้เท่าไหร่  แล้วแบบไหน ได้ภาษีคืนมากกว่า (คือเสียภาษีน้อยกว่า) ให้เลือกแบบนั้นครับ  อันนี้ไม่ได้คิดเองนะ เพราะผมใช้โปรแกรมคำนวณภาษี มันจะคำนวณให้ทั้งสองแบบ และจะแนะนำว่าให้ใช้แบบไหน ซึ่งแน่นอน มันแนะนำให้เลือกอันที่ได้เงินคืนมากกว่า   ตรง AMT ผมไม่แน่ใจนะว่าคืออะไร แต่ที่คุณบอกว่าป้องกันคนรวยจ่ายภาษีน้อยมันคงไม่จริง เพราะถ้าจำได้ รอมนี่ (หรืออีกคนที่แข่งกับรอมนี่ สับสนนิดหน่อย) เสียภาษีแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าคนชนชั้นกลางอเมริกัน ทั้งที่รายได้เป็นหลักล้านเหรียญต่อปี ซึ่งควรจะเสียภาษีสูงสุด แต่เค้าหักนู่น นี่ นั่น และรู้สึกจะมีเรื่องรายได้จากปันผลหรือกำไรจากราคาหุ้น ซึ่งคิดในอัตราภาษีที่ต่ำกว่ารายได้ทั่วไป (ซึ่งนำมาใช้ในสมัยบุช) ทำให้เกิดเป็น talk of the town ตอนนั้นเลย แก้ไขเมื่อ 05 พ.ย. 55 02:55:07 จากคุณ : Tiger อู๊ด เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 02:46:11

ความคิดเห็นที่ 16 นักการเมืองบ้านเขา ก็ยังดีนะครับ ตอนเพิ่มเพดานหนี้ก็ประชุมกันดึกดื่น และหาข้อสรุปจนได้ แม้จะต่อรองกันจนนาทีสุดท้าย ต่อรองเรื่องนโยบายที่ต้องแลกกัน ผู้แทนก็ไม่ได้ยีกติดกะพรรคมากมาย มีการวิพากษ์วิจารณ์ มีไม่เห็นด้วยกับพรรคเยอะ แยะ โหวตให้อีกฝ่ายมันก็เลยผ่าน            เชื่อเหอะ ถ้าผู้แทนไทย มันต้องมีมือที่มองไม่เห็นจูงจมูก ไปมา แม่มไม่มีสมอง สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ ตีมึน ลากจนประเทศชาติเสียหายนะแหละ ......  จะตกลงกันได้กรณีเดียวคือผลประโยชน์ต้องเข้าตัว หรือมีเงินมายกมือ ( ส่วนใหญ๋เป็นอย่างนั้น ส่วนน้อยดี  ๆ ก็มี แต่น้อยจิง ๆ ) จากคุณ : BigMooHuHu เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 06:44:54

ความคิดเห็นที่ 17 คุณ m_ple ซู๊ด...ดด ยอด...ดด ขอบคุณมากมาย จากคุณ : teeranet เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 07:23:07

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : รูปเงาะเดินสบาย เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 07:55:06

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณครับ จากคุณ : เปลี่ยวใจ เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 08:43:50

ความคิดเห็นที่ 20 โหวตกับแจกกิพท์ ให้ก่อนครับ จากคุณ : endophine เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 09:28:02

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับ รู้ขึ้นเยอะครับ จากคุณ : Juste เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 09:31:04

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : Superbot เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 09:31:52

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณครับ จากคุณ : ประชาชนคนเดินดิน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 09:51:56

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Llodanihc เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:43:21

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณค่ะ เห็นภาพชัดเลย >///<" จากคุณ : amakin เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:47:37

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณค่ะ  อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่อง  แต่ก็พยายามอ่านนะคะ  ขอบคุณที่หาข้อมูลดีๆให้อ่านค่ะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 10:49:27

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : แม่ครับ...อั่งเปารักแม่นะครับ เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 11:49:52

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณครับ จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 12:24:21

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ ครั้งนี้อ่านก่อนให้กิฟ ครับ ครั้งที่แล้วลืมอ่าน ^^' จากคุณ : kmir เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 13:03:01

ความคิดเห็นที่ 30 ได้ความรู้ดี ๆ เพิ่มขึ้นอีกแล้ว ขอบคุณมากนะคะ จากคุณ : Thanvarath เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 13:12:06

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณมากครับ ความรู้ล้วนๆ จากคุณ : Nat_YFS2011 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 13:55:26

ความคิดเห็นที่ 32 @ คุณ Tiger อู๊ด ขอแย้งหน่อยครับ ในฐานะคนที่เคยเสียภาษีให้อเมริกาเหมือนกัน เรื่อง alternative minimum tax (AMT) คุณ m_ple พูดไว้ถูกแล้วครับ ที่คุณ Tiger อู๊ดว่ามามันคือ deduction หรือการลดหย่อน มันก็เป็นไปตามที่คุณว่า คือ ลดหย่อนแบบมาตรฐาน (standard deduction) หรือลดหย่อนแบบละเอียด (itemized deduction) อันนี้เข้าใจว่าประมวลรัษฎากรของไทยก็มี คือ ถ้าคุณไม่อยากคิดอะไรมาก เลือกลดหย่อนแบบมาตรฐานไปได้เลย อันนี้มันก็จะลดหย่อนตามสถานะของคุณ เช่น แต่งงานหรือยัง มีลูกกี่คน อะไรพวกนี้ แต่บางคนโดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจส่วนตัว เลือก itemized deduction อาจจะได้ประโยชน์มากกว่า เพราะทำให้เงินได้พึงประเมินลดลง แต่ก็ต้องเตรียมใบเสร็จเอกสารหลักฐานเอาไว้ให้พร้อมเพราะ IRS หรือกรมสรรพากรอเมริกาอาจจะขอดูได้ แต่ AMT นี่มันคนละเรื่องกัน เพราะคนบางคนหัวหมอ ใช้ itemized deduction ซะจนแทบไม่เหลือเงินที่จะต้องเอาไปเสียภาษี เขาก็เลยมีตัวนี้มาป้องกันไว้ใช้ เพราะภาษีจะคิดเป็น flat rate เทียบกับรายได้เลย ถ้าภาษีที่คำนวณด้วยวิธีลดหย่อนแบบธรรมดากับภาษีที่คำนวณด้วย AMT อันไหนมากกว่าก็ให้เลือกเสียภาษีตามนั้น ที่คุณ Tiger อู๊ด ไม่คุ้นกับ AMT ผมคิดว่าเป็นเพราะถ้าคุณใช้โปรแกรมคำนวณภาษี คุณอาจจะไม่ต้องไปยุ่งกับมันเพราะโปรแกรมมันจะคำนวณให้คุณเสร็จสรรพ ไม่ต้องเอาข้อมูลไปกรอกเพิ่มเหมือนกับ itemized deduction แต่ถ้าคุณไปดูแบบฟอร์ม 1040 ดีๆ มันจะมีบรรทัดนึงที่เขียนว่า Alternative Minimum Tax ครับ จากคุณ : Dazzler เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 14:06:37

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณมากครับ ชอบที่มาของหน้าผา เข้าใจเปรียบนะ จากคุณ : attach43 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 18:40:16

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณมากค่ะ จากเรื่องยากๆ ที่คิดว่าตัวเองจะไม่เข้าใจ ทำให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น กระจ่างขึ้นเยอะเลยค่ะ^^ จากคุณ : iambas เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 18:57:18

ความคิดเห็นที่ 35 ปีหน้าท่าทางจะหนักจริงเศรษฐกิจโลก ชะลอกันหมดเลย จากคุณ : Godgate เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 19:18:19

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบคุณครับ... จากคุณ : ryzon เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 22:26:54

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ อธิบายได้เห็นภาพดี จากคุณ : วันที่เธอไม่สบาย เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 22:43:25

ความคิดเห็นที่ 38 คราว  ที่แล้ว   หน้าผา การคลัง.. คราวนี้ หน้า ผา ภาค  ครัวเรือน    หรือ ครับ. คราวต่อ ไป... หน้าผา   ภาค การสาธารณ สุข คราวต่อไป นูน...  หน้า ผา  ทางงบประมาณ การศึกษา คราวต่อไปนั้น... หน้าผา   ทาง งบประมาณทาง  ทหาร... . คราว  ต่อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ไป.. ..ไม่รู้  จะ อะไร อีก.. แต่ ยังไง มันก็ ไม่มี ผล ต่อหุ้นที่มีมากที่สุด ในพอรต์ ของผม อยู่ดี ... ... เพราะ  ตลาด จะลง วันละ 100 จุด  หุ้น ผม ก็ บวกได้. 33  ไม่ก็  50  ~% จากคุณ : นาย หุ้น n-park (prince-npark) เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 55 22:59:50

ความคิดเห็นที่ 39 เปิดโลกไปอีกเรื่องนึงเลยทีเดียว จากคุณ : bozopop เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 12:56:03

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ทุกๆ กิฟท์ ทุกๆ เสียงโหวตนะครับ ชอบเขียนกระทู้ก้อเพราะแบบนี้ครับ มัน interactive ดี ถ้าอันไหนผมเขียนไม่ค่อยจะเคลียร์ ก้อจะมีพี่ๆ มาช่วยตบๆ ให้ อย่างเช่นคุณ Tiger อู๊ด  ใน คห. ที่ 15 ในขณะเดียวกัน ก้อจะมีคนมาร่วมแชร์อย่างคุณ Dazzler  ใน คห. ที่ 32 ครับ เพราะในท้ายที่สุด คนเขียนก้อจะเรียนรู้ไปด้วยล่ะครับ เราๆ ทุกคนก้อจะเข้าใจกันมากขึ้น ;) ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ขอตอบบางความเห็นดังนี้นะครับ คห. 11 คุณ kanstk ใช่ครับ เราเชื่อว่า มันจะจบอย่างงั้นครับ แต่อย่างว่าล่ะครับ ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้าย มันจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ ;) แล้วก้อตั้งแต่ตอนนี้ไปต้นไปครับ ติดตามรับชมการเลือกตั้งสหรัฐฯ กันตามอัธยาศัยครับ ผมว่า พรุ่งนี้ทุกๆ ตลาดจะเคลื่อนไหวไปตามคะแนนที่นับออกมาเลยล่ะครับ เตรียมตัวกันให้พร้อม เชคข่าวกันให้ดีดีครับ ;) แต่ไม่แน่นะครับ ถ้าเปิดมาเช้าๆ แล้วรัฐที่ยังไม่แน่นอน (swing states) อย่างฟอริดา และโอไฮโอ ออกมาว่า โอบามาได้ อาจจะจบข่าวแต่หัววัน แต่ถ้ารอมนี่ได้นี่ สงสัยต้องลุ้นกันจะถึงอลาสกา ซึ่งเป็นรัฐสุดท้ายครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 20:11:48

ความคิดเห็นที่ 41 ถ้าจำไม่ผิด โอบามาเคยเอาเรื่องภาษีมาเล่นงานรอมนี่ช่วงหาเสียง ประมาณว่า เลขารอมนี่ยังจ่ายภาษีอัตราทีสูงกว่ารอมนี่เสียอีก รอมนี่รวยครับ มีรายได้เยอะจากหุ้น เสียภาษีแบบ capital gain ที่ 15% ส่วนเลขาเสียภาษีแบบอัตราขั้นบันได เงินเดือนมากก็เสียเรทมาก ตอนนี้เรทสูงสุดอยู่ที่ 30กว่าเปอร์เซนต์(มั้ง) จากคุณ : Freedom and Justice เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 55 22:00:43

ความคิดเห็นที่ 42 โหวต จากคุณ : ice_im เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 03:51:05

ความคิดเห็นที่ 43 มันเป็นเศรฐกิจ ระยะสั้นนะครับ ดีแต่ในระยะสั้น ถ้าระยะยาว สะสมปัญหาไว้แบบนี้ เหมือนดินพอกหางหมู เวลาโดนเศรฐกิจกระชวก จะรับมือไม่ทันเอานะครับ ถ้ารัฐสู้ไม่ไหว เกม over เหมือนไทยตอน 40 นะครับ จากคุณ : เสือย้อมแมว เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 08:25:52

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับคุณ m_ple แต่รอบนี้จบได้"ดื้อๆ" มาก (^ ^) จากคุณ : Sylphs เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 17:22:57

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณมากครับ กระจ่างเลยเรา จากคุณ : Dissathat เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 55 23:37:57

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณมากเลยค่ะ อ่านกระทู้เดียวเข้เใจอะไรขึ้นอีกเยอะเลย ส่วนตัวแอบเห็นด้วยกับนโยบายของรอมนีย์ ถ้าภาครัฐใช้เงินโอบอุ้มทุกอย่างไว้ ปัญหามันก็เหมือนไม่โดนแก้ไขซักที ในที่สุดก็อาจจะเดินมาถึงหน้าผาซักวัน ตกลงไปก็เจ็บตัวแย่ งงตรงที่ว่า ตอนนี้แน่นอนแล้วว่าเป็นโอบามา เพราะฉะนั้นนโยบายหลาย ๆ อย่างก็น่าจะถูกต่อไปอีก มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทำไมดาวลงไป 300 จุดแล้ว!!! จากคุณ : เขียนบน iPhone (oXynAt) เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 01:06:10

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณมาก และขอนำข้อมูลไปบอกต่อนะค่ะ จากคุณ : EcHelon_utcc เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 08:28:35

ความคิดเห็นที่ 48 กระจ่างเลยค่ะ  ขอบคุณมากที่ทำเรื่องยากให้เข้าใจง่ายๆ จากคุณ : ต๊อตโตะจัง เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 10:35:24

ความคิดเห็นที่ 49 ตอนนี้ผลเลือกตั้งออกมาแล้ว โอบามาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 สภาล่างเป็นของรีพับริกันส่วนใหญ่ ในขณะที่สภาสูงเป็นของเดโมแครตส่วนใหญ่ อยากรบกวนให้จขกท.วิเคราะห์ต่อว่า แล้วต่อจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเดินไปทางไหนคะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : areewan เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 11:10:07

ความคิดเห็นที่ 50 ผลเลือกตั้งสรุปแล้ว จากนี้ไปเป็นไงต่อครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : นายฉิม เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 16:23:57

ความคิดเห็นที่ 51 Thank จากคุณ : C_yada เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 19:39:52

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณอย่างร้ายกาจครับ จากคุณ : ภาพจากเสี่ยสี่ (Sawakato) เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 22:27:27

ความคิดเห็นที่ 54 สำหรับทุกท่านที่ถามเรื่องผลของการเลือกตั้งนะครับ ผลออกมาก้อเป็นไปตามที่คาดไว้ใน คห. 8 ครับ คือ ทุกอย่างเหมือนเดิม ผลการเลือกตั้งออกมาเป็นแบบนี้ ผมคิดว่า น่าจะเป็นผลดีต่อการแก้ปัญหา Fiscal Cliff นะครับ คือ ถ้าทุกฝ่ายเป็นคนเดิมๆ มันก้อง่ายในการสานต่อการเจรจาต่างๆ Base case ของผมคือ ผมคิดว่า ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป Congress ชุดเก่า เค้าจะมาประชุมสภากัน หรือที่เราเรียกว่า Lame duck session ครับ (คือ เป็นช่วงเวลาที่ Congress ชุดเก่ามาคุยกัน ก่อนที่จะส่งมอบงานให้กับ Congress ชุดใหม่ ที่ได้รับเลือกเข้ามา โดยชุดใหม่จะเข้ามาอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 มค ปีหน้า) แต่ผมคิดว่า ความคืบหน้าอาจจะยังมีไม่มากนัก (หรืออาจจะรอฟังนโยบายจากประธานาธิปดีก่อน) จากนั้น ในช่วงปลายๆ เดือน พ.ย. หลังเทศกาล Thanksgiving นั่นล่ะ ผมว่า การเจรจาน่าจะเริ่มจริงๆ จังๆ และความคืบหน้าน่าจะมีมาก ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. ผมคิดว่า บางกฏหมายน่าจะตกลงกันได้บ้างแล้ว เช่น จะต่ออะไรบ้าง หรือจะตัดอะไรออก ไรงี้ แม้จะทำไม่ได้เต็มร้อย แต่ผมคิดว่า มันน่าจะมากพอที่จะทำให้ Fiscal Cliff ไม่เกิดขึ้น อย่างที่หลายคนกลัวครับ ;) ดังนั้น ถ้า Fiscal cliff ไม่เกิด บวกกับ momentum ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มจะกลับมาบ้าง (ตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงเดือนที่ผ่านมา ออกมาค่อนข้างดีครับ) ผมคิดว่า นั่นน่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ ในปีหน้า แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่เร่งขึ้น (ไม่ต้องถึงขนาดชะลอลงจากระดับปัจจุบันหรอกครับ) ผมคิดว่า Fed น่าจะออกการกระตุ้นอื่นๆ เพิ่มเติม หลัง Operation Twist II จบลงในเดือน ธ.ค. นี้ ซึ่งนั่นก้อน่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้า น่าจะดีกว่าปีนี้ครับ ;) จากคุณ : m_ple เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 55 22:54:41

ความคิดเห็นที่ 55 ทำไมผมอ่านว่า fatal cliff นะ จากคุณ : มาไม่นาน เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 12:30:49

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณ คุณ m_ple ทีให้ความรู้และ เมื่อผลเลือกตั้งได้แล้ว ก็มีความเห็นเพิ่ม และขอบคุณเพื่อนสมาชิกทั้งหมด ที่ทำให้เป็นกระทู้แนะนำ จากคุณ : อิทธิ์ เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 14:33:13

ความคิดเห็นที่ 57 พึ่งเห็นกระทู้เข้ามาช้าไปมั้ยเนี่ย ขอบคุณ จขกท มากๆครับ ได้ความรู้เยอะแยะเลย ปล.ผมขอถามนิดนึงได้มั้ยครับ ไอ่การเกิดภาวะถดถอยเนี่ย มันจะส่งผลกระทบอะไรต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และโลกบ้างหรอครับ (มันจะมีข้อดีบ้างมั้ยอ่ะ  ถ้าไม่มีก็แสดงว่ายังไงก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานี้ใช่มั้ยครับ เพียงแต่ว่าจะไปจบที่นโยบายไหน ตกลงกันยังไงเท่านั้นเอง ใช่รึเปล่าครับ) จากคุณ : yutei เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 20:17:15

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณค่ะ...... จากคุณ : แม่จีด้า เขียนเมื่อ : 10 พ.ย. 55 23:30:36

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณมากครับ (^___^) จากคุณ : Gold-E เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 11:31:31

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณที่แชร์ครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นหรอกครับ บางทีข่าวลักษณะนี้อาจทำให้คน Panic ได้ หลังจากนั้นตลาดก็อาจจะตื่นตนก ทีนี้ก็จะกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้น จากคุณ : 2b-rich เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 55 15:24:23