Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คำตอบสำหรับคนที่ถามมาว่า “สงครามค่าเงินในฮ่องกงจะกระทบไทยอย่างไรบ้าง” ติดต่อทีมงาน

ผมเป็นร่างทรง คุณวรวรรณ อิ อิ อิ


http://www.facebook.com/photo.php?fbid=4676342153765&set=a.2018634832743.2123830.1450051196&type=1



วรวรรณ ธาราภูมิ


คำตอบสำหรับคนที่ถามมาว่า “สงครามค่าเงินในฮ่องกงจะกระทบไทยอย่างไรบ้าง”

คนที่จะตอบได้ดีที่สุดน่าจะเป็น ดร.กอบ หน้าใส ใจดี คนนี้ค่ะ
---------------------------------------------------------------


ฮ่องกง กับ สงครามเงินไหลเข้า

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯ

9 พฤศจิกายน 2555

ช่วงนี้ หลังจากมีข่าวว่า ทางการฮ่องกงต้องเข้าแทรกแซงค่าเงินของตนอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันนี้ นับเป็นการเข้าแทรกแซงครั้งที่ 8 แล้ว ในรอบ 2 สัปดาห์ และเป็นการเข้าแทรกแซงค่าเงินของตนเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี หลายคนจึงมีคำถามเกี่ยวกับการที่ฮ่องกงถูก “โจมตีค่าเงิน” และอยากรู้ว่า เราควรกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวหรือไม่

คำตอบสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องค่าเงิน คือ ไม่ต้องกังวลใจ

สิ่งที่เราต้องเข้าใจก่อนอื่น (ก่อนที่จะไปตื่นตกใจตามกระแสข่าวที่ออกมา) ก็คือ ฮ่องกงกำลังเผชิญกับปัญหาเงินไหลเข้า เนื่องจากนักลงทุนทั่วโลกต้องการที่จะเอาเงินมาลงทุนในฮ่องกง ซึ่งในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับเงินไหลเข้าเช่นนี้ ค่าเงินก็มักจะแข็งค่าขึ้น

ท้ายสุด เมื่อค่าเงินแข็งถึงระดับหนึ่ง ก็จะไปชนกรอบล่างที่ทางธนาคารกลางฮ่องกงประกาศไว้ คือ ที่ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง/ดอลลาร์สหรัฐ (ฮ่องกงตรึงค่าเงินของตนไว้ที่ 7.75-7.8 ดอลลาร์ฮ่องกง/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 28 ปีที่ผ่านมา และตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา กำหนดกรอบให้ค่าเงินสามารถขึ้นลงไปมาในช่วงแคบ ๆระหว่าง 7.75-7.85) จึงเป็นหน้าที่ของทางการที่ต้องออกมาดูแลให้ค่าเงินเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบตามที่ได้ประกาศไว้ จนกลายเป็นข่าวว่า “ต้องออกมาแทรกแซงค่าเงิน” นั่นเอง

ที่บอกว่าไม่ต้องกังวลใจเรื่องค่าเงินก็เพราะว่า

(1) การเข้าแทรกแซงค่าเงินของฮ่องกงเป็นเรื่องปกติเพราะประกาศไว้ว่า จะดูแลให้อยู่ในกรอบดังกล่าว

(2) ทางการฮ่องกงได้เข้าแทรกแซงตลาดอยู่เป็นระยะอยู่แล้ว (เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับฮ่องกง) ดังจะเห็นได้จากยอดเงินสำรองระหว่างประเทศของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน จาก 1.5 แสนล้านดอลลาร์ สหรัฐ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เป็น 3 แสนกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปัจจุบัน และใน 1 ปีที่ผ่านมา ทางการฮ่องกงได้เข้าแทรกแซงไปแล้วประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียงแต่ไม่ได้เป็นข่าวเท่านั้น เพราะค่าเงินยังไม่ได้ชนกรอบ ดังเช่นในช่วงนี้

(3) ที่สำคัญที่สุด ช่วงที่เงินไหลเข้าเช่นนี้ต่างจากช่วงที่เมืองไทยโดนโจมตีค่าเงินเมื่อหลายปีที่แล้วมาก ครั้งนั้นเงินไหลออก ยิ่งทางการเข้าแทรกแซง เงินสำรองก็จะค่อยๆ ลดลงไป และเมื่อผ่านเวลาไปก็ยิ่งลำบากมากขึ้นจนต้องปล่อยเงินบาทลอยตัวในที่สุด สำหรับฮ่องกงรอบนี้ ยิ่งแทรกแซงก็ยิ่งมีเงินสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น

ความลำบากอยู่ที่ 2 ประเด็น

ประเด็นแรก

เมื่อไปแทรกแซง ทางการฮ่องกงก็ต้องดูดเงินดอลลาร์ฮ่องกงกลับคืนมา (เพื่อไม่ให้เงินดอลลาร์ฮ่องกงล้นเอ่ออยู่ในระบบ) โดยการขายพันธบัตร Exchange Fund Bills ล่าสุด พันธบัตรดังกล่าว เช่น ระยะ 3 เดือน มีดอกเบี้ยอยู่ที่เพียง 0.1% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ต้นทุนที่ธนาคารกลางฮ่องกงต้องแบกรับสุทธิจากการเข้าไปแทรกแซง โดยข้างหนึ่งซื้อเงินตราต่างประเทศ แล้วเอาไปลงทุนในต่างประเทศ และอีกข้างหนึ่งต้องไปดูดเงินตนเองกลับคืนมา แทบจะไม่แตกต่างกัน

ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็เรียกได้ว่า แทบไม่มีต้นทุนอะไรเลยในการดำเนินมาตรการดังกล่าว


ประเด็นที่สอง

เป็นเรื่องที่น่าหนักใจกว่ามากๆ ก็คือ แม้ว่าทางการจะดูดเงินกลับคืนมาได้แต่ว่าต่างชาติก็เข้าไปถึงฮ่องกงได้แล้ว และสามารถไปเก็งกำไรในที่ดิน เก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ เก็งกำไรในสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่ปัญหาฟองสบู่ของฮ่องกงจะก่อตัวขึ้นสามารถกลายเป็นปัญหาในที่สุด ตลอดจนนำมาซึ่งการใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อในฮ่องกงเช่นกัน (ถ้าฮ่องกงเงินเฟ้อมากไป สะสมไว้หลายปี ก็อาจจะเป็นปัญหาได้เช่นกัน)

ด้วยเหตุนี้ ทางการฮ่องกงจึงมีหมัดชุดออกมาเสริมอีกด้านไปพร้อมๆ กันเพื่อดูแลปัญหานี้ โดยประกาศว่า นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกงจะต้องจ่ายค่าภาษีแต่ต้นอีก 15%

และสำหรับนักเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ (ไม่ว่าจะเป็นคนฮ่องกงหรือคนต่างชาติ) จะต้องจ่ายอากรการขายอีก 20% ถ้าซื้อแล้วขายใน 3 ปี (เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 15% ถ้าต่ำกว่า 2 ปี) เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าวแต่เนิ่นๆ

พร้อมเตือนว่า มาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการเบื้องต้นเท่านั้น หากจำเป็นก็อาจจะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมอีก

เรียกได้ว่า ศึกนัดนี้ต้องตามกันอย่างใกล้ชิดประเภทไม่ให้คลาดสายตา เพราะว่าฮ่องกงนั้นถือเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของ “สงครามเงินไหลเข้าเอเชีย” รอบนี้

เพราะถ้าจะพูดไปแล้ว ในช่วงที่สภาพคล่องเอ่อล้นโลกเช่นนี้ ฮ่องกงเป็นเศรษฐกิจพิเศษ (หนึ่งเดียวในเอเชีย) ที่ไม่มีทำนบมาช่วยกั้นน้ำ ไม่สามารถ (1) ปล่อยให้ค่าเงินแข็งได้ หรือ (2) ขยับดอกเบี้ยได้ เพราะได้เลือกที่จะตรึงค่าเงินไว้กับสหรัฐและทำได้ดียิ่ง

ทำให้ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ฮ่องกงเป็นเหมือนรัฐที่ 51 ของสหรัฐ ที่มีเศรษฐกิจดียิ่งกว่า 50 รัฐที่เหลือมาก ขยายตัวดี สินทรัพย์ราคาเพิ่มดีมาก (ปีนี้ ราคาอสังหาฯของฮ่องกงขึ้นมาแล้ว 20%) แถมอยู่ในเอเชียอีกด้วย

จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมเงินจึงอยากไหลเข้าฮ่องกงกันขนาดนี้

ก็ได้แต่เอาใจช่วยฮ่องกงให้มีความเด็ดขาดในการออกมาตรการต่างๆ และสามารถประคองตนให้ผ่านปัญหาเงินไหลเข้ารอบนี้ให้ได้ครับ

จากคุณ : แล้วแต่ดวง
เขียนเมื่อ : 9 พ.ย. 55 11:15:42




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com