ความคิดเห็นที่ 1 ต้องถามว่ามีประสบการณ์แค่ไหนกับตลาดหุ้น ถ้าประสบการณ์เยอะแล้วสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ ยังไงก็ลงทุนครับ จากคุณ : rockthenroll เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:05:08

ความคิดเห็นที่ 2 ขาดรอย จากคุณ : tarapan เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:06:33

ความคิดเห็นที่ 3 ผมว่ามันคนละเรื่องเลยครับ ซื้อรถ ราคามันมีแต่จะลดลง ถ้าเทียบซื้อบ้าน คอนโด กับ หุ้น ค่อยคิดหนักหน่อย จากคุณ : อ้วนตุ้ยนุ้ย เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:09:07

ความคิดเห็นที่ 4 ผ่อนรถ มีโอกาสเจออุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต ลงทุนในหุ้น มีโอกาสหมดตัวเท่าที่เราลงทุน แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต สรุปแล้วเสี่ยงทั้งคู่...เสี่ยงในหุ้นดีกว่า จะได้บริหารปอดให้แข็งแรงขึ้น จากคุณ : คนลืมแก่ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:09:30

ความคิดเห็นที่ 5 รถจำเป็นหรือเปล่าครับ ถ้าไม่จำเป็น ลงทุนในหุ้นดีกว่า ถ้าเรามีความรู้ ความเสี่ยงลดลงได้ด้วยความรู้ จากคุณ : Pa_New341 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:11:39

ความคิดเห็นที่ 6 เล่นหุ้นสิครับ เอากำไรจากหุ้นมาผ่อนรถได้ด้วย(ถ้าทุนเยอะ) แม่ผมมีเงินก้อนนึงให้ถามว่าเลือกเอาจะดาวน์รถหรือเล่นหุ้น ผมบอกเล่นหุ้น ทนเดิน นั่งรถเมล์ซักปีค่อยเอาเงินมาดาวน์รถยังได้ จากคุณ : prince-IEC เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:13:24

ความคิดเห็นที่ 7 อย่าลืมลองไปโพสถามในห้องรัชดามั่งนะครับ มาโพสถามห้องนี้น่าจะพอรู้ๆคําตอบนะ ... จากคุณ : Fakey เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:14:43

ความคิดเห็นที่ 8 #3 ประเด็นคือมีเงินจะเอาไปใช้อะไรให้มันคุ้มค่ามากกว่ากัน ซื้อบ้าน คอนโด ผมว่าไม่น่าจะเทียบกันได้เพราะเรื่องระยะเวลาครับ มันนับเป็นหลาย 10 ปี แต่่ผอนรถน่าจะเวลาที่พอเหมาะ ประเด็นเลยเป็นแบบนี้ครับ 1.เงินเหลือเดือนละหมื่น 2.ระยะเวลา 5 ปีเท่ากัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ประมาณนี้ครับ จากคุณ : oracleman เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:18:50

ความคิดเห็นที่ 9 ผมก็กำลังจะผ่อนรถเหมือนกันครับ ต้องขายหุ้นมาดาวน์รถ  เลือกผ่อนยาวๆ5ปี เพราะจะได้แบ่งเอาเงินเดือน มาลงทุนบ้าง จากคุณ : ผู้ถือหุ้น เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:20:50

ความคิดเห็นที่ 10 ซื้อหุ้นวันนี้ ผ่อนรถ5ปีดีกว่า เจ้าลากเม่ามาปล่อย พยุ่งSetไว้ ไปดูหุ้นเเต่ละตัวสิ ผ่านจุดนิวดอยกันหมดเเล้ว จากคุณ : por_sas_a เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:25:41

ความคิดเห็นที่ 11 อยู่ที่ว่าเล่นหุ้นแล้วได้กำไรไหม ถ้าเล่นไม่เป็นแล้วขาดทุนก็ซื้อรถ จากคุณ : หมึกสด เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:32:58

ความคิดเห็นที่ 12 นั่นสิ ควรทำสิ่งไหนก่อน ถ้ารถไม่มีขับ ลงทุนในหุ้น ก้อ มือใหม่ แล้วถ้าเงื่อนไขแบบนี้ คุณ ๆ ในห้องนี้ เลือกอะไรกัน  อยากรู้เหมือนกันแฮะ จากคุณ : pp_patch เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:34:11

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าคิดแต่เรื่องเงิน ...หากสามารถ "นำรถมาทำเงิน" เช่นขนของขายสะดวกกว่าเดิม(กับที่เป็นอยู่ตอนนี้)ทำให้รายได้มากขึ้นและทำได้มากกว่าความสามารถในการลงทุน ก็น่าจะคุ้มกว่าครับ แต่ถ้าคิดเรื่องอื่น เช่น ทำให้คุณภาพชีวิตชของตัวเองและครอบครัวดีขึ้น หรือตอบสนองความต้องการลึกๆหรือความฝันในใจ เช่นบางคนชอบขับรถออกทริปมากๆ ผมว่าก็คุ้มเหมือนกัน เงินทองหาได้เรื่อยๆ(ลดบ้างเพิมบ้างตามความสามารถ) แต่ถ้ามัวหาแต่เงินไม่ได้ใช้ชีวิตด้านอื่นเลยก็ไม่รู้จะหาไปทำไม ^^ (เว้นแต่หาให้พ่อแม่ลูกเมียเท่านั้น) จากคุณ : มิ่งกลิ้ง เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:45:23

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าเป็นตัวผม   ผมจะซื้อรถเพราะยังไม่มีและถ้ามีจะช่วยเบาภาระ เลยเลือกรถ แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้รถ ก็ลงทุนเถอะครับเงินงอกเงยซื้อรถมีแต่ราคาจะตก จากคุณ : tanapon000 เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:47:33

ความคิดเห็นที่ 15 ซื้อรถคุ้มกรณีเดียวก็คือ ซื้อมาแล้วทำการค้าขายได้รายได้เพิ่ม หรือ ซื้อมาแล้วย้ายงานได้เงินเดือนขึ้นได้ค่ารถ ระดับ +10000 - 30000 บาท เติมน้ำมันฟรี อันนี้คุ้ม จากคุณ : taecu เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 22:48:37

ความคิดเห็นที่ 16 ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ 1. ความรู้ของผู้ซื้อ 2. การนำรถไปใช้ประโยชน์ 3. สภาพคล่องของผู้ซื้อ 4. ความคิดหวังและการวางแผนในอนาคต 1. ความรู้ของผู้ซื้อ เช่นว่าหากคุณจะซื้อรถสักคัน คุณศึกษาอะไรบ้าง แล้วถ้าคุณจะซื้อหุ้นหละ คุณจะศึกษาอะไรบ้าง 2. หากคุณซื้อรถมาเพื่อต่อยอดทั้งในส่วนของการดำเนินชีวิต และ ธุรกิจ คุณก็ควรคิดด้วยว่า ธุรกิจที่ต้องเอารถมาใช้มีความเสี่ยงเท่าใด และมองในมุมกลับกันด้วยว่า หากธุรกิจที่ว่านั้นไม่สำเร็จ คุณมีความเสี่ยงเท่าใด 3. สภาพคล่อง หากลงทุนซื้อรถแล้วเกิด ช๊อต หึหึและมันก็ยังผ่อนอยู่อย่างที่ว่าจะยังไงต่อ มีแผนสองไหม แต่ในกรณีของหุ้น ซื้อไปแล้วกามีกรณีฉุกเฉินต้องการเงินกลับมาใช้  ผมเชื่ออย่างสุดตัวว่ามีเงินเหลือกลับมาใช่แน่นอนไม่ว่าจะอยู่ในกรณีที่ลงทุนแล้ว ขาดทุน หรือ กำไร 4. การคิดหวัง คาดหวัง และการวางแผนอนาคต  รถซื้อมาแล้วถ้าเป็นรถใหม่ค่าใช้จ่ายที่เกิดก็จะมีประมาณ พรบ ประกันภัยชั้น 1 (โดนบังคับทำ) ทะเบียน ภาษี ค่าบำรุงรักษาตามระยะ และที่สำคัญ ค่าน้ำมันและยิ่งถ้าใช้เยอะโอ๊ย หายห่วง เดือนนึงอย่างน้อยก็ 5000 แต่หุ้น หากคุณเล่นเดย์เทรด บางทีเล่นแต่ไม่กี่เดือนเสียสัก 3-4 หมื่นอาจถอดใจเลิกเล่น ดังนั้นคุณเสียแค่นี้ 3-4 หมื่น แต่กลับกันว่า หากเสียไป 3-4 หมื่นแล้วไม่ถอดใจ มุ่งมั่นที่จะศึกษา อาจจะเก่งและได้กลับคืนมากมาย  หรือ หากคุณลงทุนแนว VI หาหุ้นพื้นฐานดีมาเพื่อลงทุนระยะยาว คุณเอ๊ย คุณอาจจะรวยขึ้นในเวลา 5-6 ปีซึ่งเท่ากับเวลาที่คุณผ่อนรถเลยทีเดียว   ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อสรุป มันเป็นเพียงแนวคิดนะครับ ลองตัดสินใจดูเงินของคุณตราบใดที่ยังอยู่ในมือคุณมันก็เป็นของคุณ จากคุณ : EXGolf เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 23:01:16

ความคิดเห็นที่ 17 อืืมม แค่คิดว่าจะโชคดีได้กำไรในตลาดหุ้นนี่คิดผิดมหันต์  จะไม่ได้ทั้งรถทั้งต้นทุนนะขอบอก ไม่ได้ดูถูกนะ  ถ้าคิดว่าเล่นหุ้นง่ายนี่คิดผิดจริงๆ จากคุณ : สายลมแห่งสุข เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 23:37:19

ความคิดเห็นที่ 18 ผ่อนทั้งรถ และซื้อทั้งหุ้นให้ได้ในเวลาเดียวกัน สุดยอดที่สุดครับ อิอิ จากคุณ : Big cap only เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 23:40:38

ความคิดเห็นที่ 19 มาถามห้องหุ้น... จากคุณ : Astromantic เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 23:44:04

ความคิดเห็นที่ 20 ผมเห็นด้วยกับ.         #18. ครับ อิ อิ จากคุณ : humble beggar เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 23:46:01

ความคิดเห็นที่ 21 ไม่มีสูตรสำเร็จครับ บางครั้งความจำเป็นต้องมีรถก็บังเกิด มันบังคับให่เราต้องมีรถ บางครั้งเราอาจเบื่อการมีรถมากเสียจนอยากขายรถทิ้ง เพราะสภาพการเดินทาง ราคาน้ำมัน ภาระการดูแลรักษามัน กับบางครั้งเรามีเงินเหลือเฟือพอที่จะลงทุน และพอดีมีข้อมูลทางใดทางหนึ่งหรือหลายๆทางว่าหุ้นตัวนั้นดีอย่างโน้น หุ้นตัวนี้ดีอย่างนั้น เราก็อยากเอาเงินต่อเงินบ้าง ขณะที่หลายคนกำไรจนติดเล่นหุ้น ขณะที่บางคนขาดทุนจนขยาดการเล่นหุ้น นานาจิตตัง และนานากาละ ครับผม จากคุณ : ไอไอ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 55 23:56:49

ความคิดเห็นที่ 22 ทำอะไรแล้วคิดว่ามีความสุขกว่า ทำแบบนั้นครับ จากคุณ : Locke เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 00:08:12

ความคิดเห็นที่ 23 จาก จขกท "ผ่อนรถ 5 ปี กับ ลงทุนในหุ้น 5 ปี เดือนละหมื่นเท่ากัน  "   คุณลืมคิดถึงเรื่องอื่นๆ อีกนะครับ การมีรถต้องมีค่าน้ำมันหรือแก๊ส ค่าเบี้ยประกันรถ (ชั้น 1 หรือ 3) ค่าซ่อมบำรุง ค่าล้างรถ (หากขี้เกียจล้างเอง) ค่าที่จอดรถ ค่าทางด่วน ... ถ้าคิดว่า อยากซื้อความสะดวกสบายให้ตัวเองก็ซื้อรถ   แต่ถ้าคิดว่า อยากซื้อประสบการณ์/ ความรู้ ก็ลงทุนในหุ้น จากคุณ : นายโอเค เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 00:40:02

ความคิดเห็นที่ 24 แต่ถ้าคุณลดสเปคของรถที่จะซื้อลง (ไม่ต้องผ่อนถึง 5 ปี) คุณอาจได้ทั้งรถแถมมีเงินเหลือพอสำหรับลงทุนในหุ้นด้วยอย่าง คห 18 บอก จากคุณ : นายโอเค เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 00:43:33

ความคิดเห็นที่ 25 ขอไม่ตอบแต่เล่าประสบการณ์แทนครับ ผมเป็นคนขับรถไม่เป็นครับและไม่ค่อยสนใจเรื่องรถเท่าไหร่ที่ทำงานกะที่บ้านก็เดินทางสะดวก แต่ผมเพิ่งออกรถมาใหม่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งก่อนหน้าจะซื้อรถคันนี้ผมถือ หุ้น nep ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ประมาณเจ็ดสิบสตางค์ต้นๆ อยู่เกิน 80 % ของพอร์ต (ตอนนั้นมีการเล่นข่าวขายที่แล้ว) ผมมั่นใจมากว่าหุ้นตัวนี้ยังไงก็เกินบาทแน่ แต่ผมก็ตัดสินใจขายหุ้นตัวนี้ไปส่วนนึง ในราคาเจ็ดสิบกว่าสตางค์ซึ่งได้กำไรไม่เท่าไหร่ เพื่อมาซื้อรถคันนี้ ซึ่งแน่นอนผมไม่ใช่คนใช้ เพราะขับไม่เป็นและไม่ค่อยอยากขับ (มันมีเหตุผลอยู่แต่ขอไม่เล่า) โดยรถที่ซื้อมาผมซื้อมาไว้ให้ภรรยาขับพาลูกวัยขวบเศษไปเที่ยวเล่นดูโน่นดูนี่ทั้งวัน  เพราะภรรยาผมไม่ได้ทำงานอะไรอยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว (ก่อนหน้านี้ครอบครัวเราไม่มีรถไปไหนแท๊กซี่ตลอด) วันหยุดก็ไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว  ผลที่ตามมา 555 ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบาน เงินที่กันไว้เป็นส่วนลงทุนในหุ้นก็ลดลง แถม nep ก็วิ่งไปถึง 1.21 เมื่อไม่กี่วันก่อนอีก รถคันนี้นี่ หาตังก็ไม่ได้ เอาไปลงทุนทำธุรกิจก็ไม่ได้ ยิ่งใช้เงินยิ่งลด ถ้าให้ย้อนเวลากลับไป ถามตัวเองว่ายังจะซื้อรถคันนี้ไม๊ ผมก็คงตอบว่า ยังไงก็ตัดสินใจเหมือนเดิม เพราะถ้าคุณเป็นผมที่ได้เห็นรอยยิ้มของลูกสาวตัวน้อย(และตัวแสบ)เวลาได้ไปเที่ยวเล่นกันจะให้ตัดสินใจกี่ครั้งคำตอบก็ยังเหมือนเดิมครับ                ที่เล่าให้ฝังไม่ได้อยากจะสื่อว่าสนับสนุนให้ซื้อรถ นะครับแต่อยากจะให้คิดทบทวนดูด้วยตัวของคุณเอง ว่าความสุขของการที่ได้รถคันใหม่มาขับ กับความสุขเมื่อเงินในพอร์ตเพิ่มขึ้น (ไม่พูดถึงกรณีที่ขาดทุนเพราะยังไงก็ทุกข์) อย่างไหนมันให้ความสุขกับตัวคุณเองมากกว่ากัน จะถามใครเค้าก็คงตอบในมุมมองความสุขของเค้า ไปไปมามาก็เหมือน คคห ที่22 แหละครับ 555 เยิ่นเย้อซะนาน จากคุณ : master blue เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 01:14:37

ความคิดเห็นที่ 26 ลองถามห้องรัชดาดูมั่งน่ะครับว่าตอบตรงกันปล่าว จากคุณ : หลับอยู่ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 05:03:17

ความคิดเห็นที่ 27 ถามตัวเองสิง่ะ ความจำเป็นและมาตรฐานแต่ละคนเหมือนกันที่ไหนง่ะ จากคุณ : เขียนบน iPad (ross reel) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 08:11:13

ความคิดเห็นที่ 28 ซื้อหุ้นเสี่ยงตาย ขับรถก็คว่ำตายได้เหมือนกัน จากคุณ : นะโมจัง เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:19:16

ความคิดเห็นที่ 29 ผมซื้อรถครับ และซื้อไปแล้ว ผ่อนเดือนละ 6000 เสียดายเงินเหมือนกัน แต่ ผมคิดว่า ไม่สามารถใช้การลงทุนเดือนละ 6000 ทุกๆเดือน โดยสามารถให้ผลตอบแทนชนะ 100000 บาท(เงินจากรถคันแรก) ภายใน 5 ปีได้ ผมเลยซื้อรถครับ ตอนนี้เงินออม 2500 รถ 6000 ตังค์กินข้าวเหลือ ไม่ถึง 8000 แต่แฮปปี้นะครับ ใช้รถเฉพาะวันหยุด พ่อกับแม่ ไม่ต้องขดตัวอยู่หลัง ในแคปของรถกระบะ แต่พี่ก็ต้องตัดสินใจเองอยู่ดี เพราะ คนที่เลือกทางแล้วอย่างผม มักหาเหตุผลมาอ้างให้ตัวเอง สบายใจเสมอครับ ^________^ จากคุณ : Nat_YFS2011 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:30:25

ความคิดเห็นที่ 30 ช่วงที่หุ้นแพงผ่อนรถ อาจคุ้มกว่า  เพราะยังได้รถขับตลอดห้าปี ขายแล้วขาดทุนพอๆกัน จากคุณ : blitzs เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:33:53

ความคิดเห็นที่ 31 ซื้อรถหกล้อ ส่งของให้เซเว่น วันละรอบ ได้ 4000 กว่าบาท ได้เดือนละ 100000 กว่าบาท หักไปเลย ค่าน้ำมันค่าเสื่อม ค่าแรง เหลือ 50000 จากคุณ : มังกรและหงษ์มงคลร่ำรวย เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 09:37:06

ความคิดเห็นที่ 32 ส่วนตัวผมลงทุนในหุ้น และผ่อนรถด้วยเช่นกัน ถ้าเปรียบเทียบ รถ ราคามันก็ตกไปเรื่อยๆ อันนี้ถูกต้องครับ แต่ถ้าเราซื้อรถมาหนึ่งคัน แล้วใช้ทำมาหากินทำให้เงินงอก เงย ออกดอกออกผล ได้ก็ถือว่าคุ้มครับ ก็จะมีเงินจากการใช้รถ หารายได้เพิ่มเติมจากงานประจำ มาลงทุนในหุ้นได้เช่นกัน แต่ถ้าซื้อมาจอดไว้เฉยๆ ทางทฎษดี ลงทุนในหุ้นคุ้มค่ากว่าครับ แต่ทางประปฎิบัติไม่แน่นอนเสมอไป จากคุณ : ASKPT เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 10:20:56

ความคิดเห็นที่ 33 ถ้าคิดว่าจะลงทุนถอยรถมาใช้งานให้งอกเงยเช่นทำแท๊กซี่รับจ้างต่างๆวิ่งหางานหาเงินอย่างนี้ก็เหมาะนะครับ  หรือจำเป็นต้องใช้รถก็ต้องถามตัวเองว่าคุ้มไหมมีรถมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกเยอะและรถก็เสื่อมค่าลงทุกวัน  แต่ถ้าเก่งบวกเฮงทางหุ้นก็น่าจะมาทางนี้  สำหรับผมตอนนี้ไม่เลือกทั้งสองอย่าง จากคุณ : สัมภเวสี (SomePrivacy) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 15:52:01