|
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างใน WGC Report ไตรมาสนี้ก็คือ
Demand ทางด้านการลงทุนในทองในไตรมาส 3 ปีนี้ หากเทียบกับปีที่แล้ว จะเห็นว่า ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหมือนกัน ซึ่งสาเหตุก็น่าจะเกิดจาก ไตรมาส 3 ปีที่แล้ว ราคาทองขยับขึ้นทำ New High All Time ทดสอบที่ $1,900 ตอนนั้นใครๆก็มองว่าจะไป $2,000 บางค่ายก็ว่า ทะลุ $2,400 ก็ว่ากันไป ตอนนั้น โบกรฯ Gold Future ผุดขึ้นยัง:-)กเห็ด ลูกเล็กเด็กแดงแห่มาลงทุนในทองคำ โดยเฉพาะผ่านตราสารอนุพันธ์อย่าง Gold Futures แต่สุดท้าย ใคร Stop Loss ไม่เป็นก็เจ๊งสถานเดียว เป็นที่น่าสงสารจริงๆครับ
ถ้าดูให้ละเอียดมานิดเนิง จะเห็นว่า Investment Demand ในทองนั้น แบ่งออกเป็นการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญ กับอีกแบบคือ ลงทุนผ่าน ETF อย่าง SPDR Gold Trust ที่กองทุนทองบ้านเราเขาเอาเงินเราๆท่านไปลงทุนนั้นหล่ะครับ
จากกราฟเราเห็นว่า Demand จากทองคำแท่งและเหรียญนั้นลดลง หรือ ETF กลับเพิ่มขึ้น และเพิ่มกว่า 20% ทีเดียว เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีที่แล้ว ซึ่งสาเหตุก็มาจากอย่างที่บอกครับ นักลงทุนคาดการณ์กันว่า QE3 และ QE งวดต่อๆไปจะทยอยออกมาเรื่อยๆ ซึ่งน่าจะทำให้ค่าเงินสกุลหลักๆของโลกด้อยค่าลง นักลงทุนจึงหาสินทรัพย์ทางเลือกเพื่อกระจายความเสี่ยงกัน
อีกครั้ง George Soros และ John Paulson ซึ่งเป็น 2 Hedge Fund Manager ที่เก่งที่สุด 2 คนแห่งยุคก็เก็บ SPDR Gold Trust เข้าพอร์ตมาตั้งแต่ไตรมาส 2 และยังไม่ได้ขายออกไป
WGC ยังรายงานว่า ETF Demand น่าจะทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่ไตรมาส 4 ปีนี้ จีนจะเข้าสู่ High Season ในการซื้อทอง ดังนั้นราคาทองในระยะยาว น่าจะยังมี Upside ให้เราๆท่านๆพิจารณาเป็นสินทรัพย์ทางเลือกในการลงทุนนะครับ
จบรายงาน ใครสนใจอ่านแบบละเอียด ตามไปอ่านที่นี้เลย http://www.gold.org/investment/research/regular_reports/gold_demand_trends/
------------------------ โชคดีในการลงทุนครับ
จากคุณ |
:
Mr.Messenger
|
เขียนเมื่อ |
:
21 พ.ย. 55 23:01:09
|
|
|
|
|