ถอดรหัสลับ 'หุ้นร้อน' เดิมพัน 'รัฐบาล' บนเกม Cashflow ในตลาดหุ้น
ในช่วงนี้หลายคนคงได้ยินคำว่า "ทักษิโนมิกส์" (Thaksinomics) บ่อยครั้ง
คำๆ นี้เป็นการยกย่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในสไตล์ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ซึ่งในระยะหลังๆ นายกรัฐมนตรีของไทยก็เริ่มพูดถึงคำๆ นี้บ่อยขึ้นด้วยความเชื่อมั่นว่า นโยบายที่รัฐบาลใช้กระตุ้นเศรษฐกิจนั้นผลิดอกออกผลแล้ว
เพราะทำให้ "จีดีพี" เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ...
"สูงที่สุด" !!! นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540
นัยนี้ยังถูกเชื่อมต่อไปที่ "ตลาดหุ้น" ทันที เพราะการกระตุ้น "จีดีพี" คือ วิธีกระตุ้น "ตลาดหุ้น" โดยทางอ้อม
เพราะก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีคนนี้ได้ "ตั้งเป้า" ตัวเลขของมูลค่าตลาดหุ้นไว้เช่นกัน
โดยระบุว่า ถ้าตลาดหุ้นไทยจะเป็นที่สนใจของต่างชาติ มูลค่าตลาดหุ้นจะต้องประมาณ 1 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) หรือประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท
ก่อนรับตำแหน่งนายกฯ มูลค่าตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท แต่ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ เพราะมูลค่าตลาดได้ขยับขึ้นมาเป็น 3.13 ล้านล้านบาท
ขยับเข้าหา "ทาร์เก็ต" ที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง
การให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นเป็นพิเศษแบบที่ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนไหนเคยคิดมาก่อน ถือเป็นความสามารถ "เฉพาะตัว" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
เพราะความ "มั่งคั่ง" ของตระกูลชินวัตร มีรากฐานมาจากตลาดหุ้น
เมื่อเข้าใจ "กลไก" ตลาดหุ้นอย่างลึกซึ้งว่า ตลาดหุ้นสามารถสร้างความร่ำรวยให้กับทุกคน ให้ประโยชน์แก่ทุกฝ่ายทั้งเจ้าของกิจการ บริษัท และนักลงทุน การดำเนินนโยบายระดับชาติของเขาจึงมีตลาดหุ้นอยู่ในสายตาตลอด ทั้งเลือกใช้ "ข่าวดี" ทางเศรษฐกิจมา "กระตุ้น" ตลาดหุ้นอยู่เนืองๆ
เมื่อรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก้าวเข้ามาบริหารประเทศเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ขณะนั้นดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวอยู่ที่ 324 จุด ส่วนปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 553 จุด
ในช่วง 2 ปี 7 เดือน ของการเข้ามาบริหารประเทศ ดัชนีปรับตัวสูงขึ้น 229 จุด คิดเป็น 70% แล้ว
"ตอนที่ผมพูดไว้ ก่อนจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมตั้งใจว่า ถ้าตลาดหลักทรัพย์จะแข็งแรง และจะเป็นที่สนใจจากทั่วโลกได้ มูลค่าตลาดหุ้นต้องประมาณ 1 เท่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ประมาณ 5.6 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลจะต้องเร่งเอารัฐวิสาหกิจที่ถือว่าเป็นบริษัทขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้มากขึ้น
ปีนี้ (2546) กับปีหน้า (2547) รัฐวิสาหกิจจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น" เป็นคำกล่าวในรายการ นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน เมื่อวันเสาร์ที่ 23 ส.ค.2546 ที่ผ่านมา
คำพูดในรายการ นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน คือภาพสะท้อนความคิดของนายกรัฐมนตรีไทยต่อสถานการณ์ในตลาดหุ้นได้เด่นชัดที่สุด
นายกรัฐมนตรีบอกว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์มีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนมากขึ้น ปริมาณซื้อขายต่อวันสูงเกือบ 3 หมื่นล้าน ถือเป็นสิ่งที่ดี และตลาดหุ้นที่ขึ้นไปก็ขึ้นไปตามพื้นฐาน เนื่องจากว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ปีนี้ (2546) กำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว (2545) เยอะ
"ขณะนี้มูลค่าตลาดของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์รวมกัน 3 ล้านล้านแล้ว ซึ่งตอนที่รัฐบาลนี้เข้ามา มูลค่าของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์รวมกันเพียง 1.6 ล้านล้านบาทเท่านั้น แต่วันนี้ขึ้นไป 3 ล้านล้านบาท ขึ้นเกือบ 2 เท่าแล้ว" ท่านผู้นำของไทยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ตั้งเป้า"จีดีพี"ปี 47 โต 8%
ส่งสัญญาณตลาดหุ้น 800 จุด
นัยของการประกาศเป้าหมายการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ "จีดีพี" ในปี 2547 ที่ระดับ 8% หรืออย่างแย่ที่สุดเศรษฐกิจต้องโตไม่น้อยกว่า 7.5% คือ การส่งสัญญาณไปยังตลาดหุ้นอย่างเด่นชัดที่สุด
ประกาศิตนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ถ้ารัฐบาลทำได้ ปีหน้าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาด "ขาขึ้น" อย่างแน่นอน และอาจจะเป็นปีทองของตลาดหุ้นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ในยุคของนายกรัฐมนตรีที่ปราดเปรื่องเรื่องหุ้น
นักวิเคราะห์ประเมินว่า ถ้าจีดีพีโต 8% ในปี 2547 จริง น่าจะได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ขึ้นไปที่ 800 จุด อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้
"ผมเดินทางไปต่างประเทศ ต่างประเทศให้ความเชื่อมั่น และสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในอดีตก่อนฟองสบู่แตกเคยขึ้นไป 1,700 จุด ดังนั้นแค่ครึ่งเดียว คือ 800 จุด ทำไมจะทำไม่ได้" ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณถึงตลาดหุ้นเมื่อเดือนก.ค.2546 ที่ผ่านมา
เท่ากับว่ารัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายดัชนีเอาไว้แล้ว !!
หรือเมื่อวอลุ่มตลาดหุ้นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 59,510 ล้านบาท เมื่อวันพุธที่ 17 ก.ย.นายกรัฐมนตรีก็ได้ออกมากล่าวว่า ดัชนีตอนนี้ถือว่ายังต่ำมาก มาร์เก็ตแคป 3.2 ล้านล้านบาท ถือว่ายังโตได้อีกมาก และ P/E ของตลาดยังอยู่ประมาณ 10 เท่า เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นยังไปได้อีกมาก
นอกเหนือจากนั้นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่กล้าออกมาตั้งเป้าจีดีพีล่วงหน้านานถึง 6 ปี
โดยท่านผู้นำเคยประกาศกลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2546) ว่า ก่อนลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอีก 6 ปีข้างหน้า (ครบเทอมสมัยที่ 2) จะทำให้จีดีพีของไทยอยู่ที่ 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท
ตัวเลขสวยหรูนี้ใครได้ฟังก็คงอดจะ "เคลิ้ม" ตามไม่ได้
ปัจจุบันจีดีพีของไทยอยู่ที่ประมาณ 5.3 ล้านล้านบาท หากจะเพิ่มเป็น 8 ล้านล้านบาท ในอีก 6 ปีข้างหน้า เฉลี่ยแล้วแต่ละปี จีดีพีจะต้องเพิ่มขึ้น 5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 10% ของจีดีพีปัจจุบัน
นับเป็นโจทย์ที่ยากเอาการ
สำหรับในปี 2546 นี้ สภาพัฒน์ได้รายงานตัวเลขจีดีพีไตรมาสที่ 2 ของปี 2546 ว่าสูงขึ้น 5.8% ขณะที่ไตรมาส 1 ขยายตัว 6.7% เมื่อรวม 2 ไตรมาสเศรษฐกิจไทยขยายตัว 6.2%
ส่วนสิ้นปีนี้ (2546) สศช.คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวถึง 6% บวกลบ 0.2 หรืออยู่ที่ประมาณ 5.8-6.2% ซึ่งจะเป็นตัวเลขที่สูงสุดหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 มา
ทั้งนี้ สศช.ได้คาดหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2547 ออกเป็น 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความสามารถของรัฐบาล ได้แก่ 1.ขยายตัว 6.7% 2.ขยายตัว 7.2% และ 3.ขยายตัว 8.5%
เป้าหมาย 2 ระดับแรกมีความเป็นไปได้มากที่สุดภายใต้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสูตร "ทักษิโนมิกส์" ของรัฐบาล
ส่วนเป้าหมายระดับ 3 กรณีนี้ กระทรวงพาณิชย์จะต้องสามารถผลักดันการส่งออกได้มากขึ้น จาก 6.2 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพิ่มขึ้นเป็น 7.22 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน
โจทย์นี้ก็ยากอีกเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ "ไม่สะดุด" เสียก่อน ในช่วงนี้ถือว่าเป็นจุด "Turnaround" (วกกลับ) ของเศรษฐกิจขาขึ้นอย่างเด่นชัด ซึ่งจะมีแรงเหวี่ยงต่อตลาดหุ้นมากที่สุด
จากเป้าหมายของรัฐบาลที่ "ทั้งผลัก-ทั้งดัน" ดังนั้นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ อีก 3 ปี นับจากปีนี้จะเป็น 3 ปีทองของตลาดหุ้นไทย หลังจากอยู่ในช่วงพักตัวมานานถึง 9 ปีเต็มๆ
การปรับตัวสูงขึ้นของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา หลายคนอาจมองว่ามาเร็วและแรงเกินไป แต่หากพิจารณาจากเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเงื่อนไขของรัฐบาลในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้ว
นี่ก็อาจจะเป็นเพียงแค่ "จุดเริ่มต้น" ของตลาดขาขึ้นครั้งใหญ่ก็เป็นได้
ส่องเนื้อใน 'ทักษิโนมิกส์'
การดำเนินเศรษฐกิจแบบ "ทักษิโนมิกส์" (Thaksinomics) ในความหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น เจ้าตัวนิยามว่าคือเศรษฐกิจแบบ "โซเชียล แคปปิตอลลิซึ่ม" (Social Capitalism) หรือที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าเศรษฐกิจแบบ "สังคมทุนนิยม"
โดยในรายการ "นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน" เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2546 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้พูดถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในความหมายของ "ทักษิโนมิกส์" ซึ่งเป็น "สูตรสำเร็จ" ที่รัฐบาลใช้แก้วิกฤติเศรษฐกิจ นโยบายที่ใช้เรียกว่า "Dual Track Policy" คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 แนวทาง
แนวทางแรก กระตุ้นการส่งออก การลงทุนจากต่างประเทศ และการท่องเที่ยว เพื่อนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศ
แนวทางที่สอง กระตุ้นไปในระดับรากหญ้า มุ่งไปที่เกษตรกร ช่วยเหลือเอสเอ็มอี และสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ๆ
"ความจริงไม่มีหลักอะไรเลย คือ หาทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาสให้ประชาชน นักเศรษฐศาสตร์จาก "มอร์แกน สแตนเลย์" เขาเรียกลักษณะของเราว่า Social Capitalism คือเป็น "สังคมทุนนิยม" สรุปคือเหมือนกับที่ผมเคยบรรยายว่า หลักของเราคือ การประยุกต์ระบบทุนนิยมเข้ากับระบบสังคมนิยม
ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่มีเป้าหมายแต่ไม่มีอุดมการณ์ ส่วนระบบสังคมนิยมเป็นระบบที่มีอุดมการณ์ แต่ไม่มีเป้าหมาย
ฉะนั้นเราเลยปรับใหม่ สังคมเศรษฐกิจฐานล่างเราใช้ระบบสังคมนิยมที่มีเป้าหมาย ส่วนเศรษฐกิจฐานบนเราใช้ระบบทุนนิยมที่มีอุดมการณ์" นี่คือแนวคิดของเศรษฐกิจแบบ "ทักษิโนมิกส์" ของแท้ในนัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าของสูตร
แต่นอกเหนือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตแบบ "Dual Track Policy" แล้ว บางส่วนของนโยบาย "ทักษิโนมิกส์" คือ การแทรกตัวเข้าสู่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้น "เติบโต" เพื่อใช้เป็นช่องทางระบายหุ้น "รัฐวิสาหกิจ" ออกไปให้มากที่สุด
เป็นการเชื่อมโยงระหว่าง "ดัชนีตลาด" กับการสร้างมูลค่าสินทรัพย์ของรัฐ เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
โดยรัฐบาลชุดนี้กำลังใช้กลไกเชื่อมโยงจากตลาดหุ้นไปสู่ระบบเศรษฐกิจ ด้วยวิธีนำสินทรัพย์ในตลาดหุ้นเปลี่ยนให้เป็น "Cash Flow" (กระแสเงินสด) ใช้ต่อสายป่านมาหมุนเศรษฐกิจอีกรอบ
หรืออีกนัยหนึ่งคือ ใช้ "ตลาดหุ้น" สร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้รัฐวิสาหกิจออกจาก "อ้อมอก" ของรัฐบาล ให้ยืนบนขาของตัวเอง
เพราะนั่นจะหมายถึงการแก้ปัญหา "หนี้สาธารณะ" ในระยะยาวแบบเบ็ดเสร็จด้วย
เหตุผลที่ตอกย้ำข้อสังเกตนี้ ก็คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับภาวะ "ตลาดหุ้น" เป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุด
และกระสุนนัดเดียวยังยิงนกได้หลายตัว เพราะการเติบโตของตลาดหุ้นย่อมส่งไปถึง "Wealth" ของตระกูล "ชินวัตร" อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
สมการทางการเมือง "Wealth" ย่อมสื่อความหมายถึง "กระสุน" และ "อำนาจ" ทางการเมืองด้วยเช่นเดียวกัน
เงื่อนไขเดียวที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายทุกอย่างได้แบบ "ออล อิน วัน" คือ ต้องทำให้ตลาดหุ้นเป็น "ขาขึ้น" เท่านั้น !!!
จากคุณ :
Thaistock
- [
20 ก.ย. 46 20:14:07
A:203.144.143.250 X:202.133.179.45
]