ความคิดเห็นที่ 1 โห ตั้ง 7 แสนแน่ะ ผมอายุเท่ากัน ทำงานมาหลายปี มีอยู่แสนเดียวเอง 555 อิจฉาน่ะ จากคุณ : เหลือบ (เหลือบ) - [ 29 ต.ค. 46 23:58:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าต้องการความเสี่ยงต่ำ ทางเลือกที่สวยงามในขณะนี้ คงไม่พ้น กองทุนวายุกระซิบ เอ๊ย วายุภักษ์ นั่นกระมัง ถ้าสักพักต้องการเงินกลับมาก็ขายในตลาดรองได้ คุ้มครองเงินต้น ผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ไม่มีอะไรประกันความเสี่ยงได้ขนาดนี้แล้วครับ .. อายุแค่นี้เก็บได้ขนาดนี้ ยอดครับ เท่าที่ผมเจอเจอแต่คนแบกหนี้ หัวโต นี่คุณทำได้ขนาดนี้ สุดยอดครับ จากคุณ : adrenaline - [ 30 ต.ค. 46 00:40:33 ]

ความคิดเห็นที่ 3 -"- เก็บเงินได้เก่งมากครับ อายุพอๆกับผม แต่ต่างกันลิบลับ....เรื่องเงินเก็บกับเงินลงทุนนี่ สำหรับคนอื่นผมไม่รู้นะ แต่ผมจะเก็บเงินสดไว้ประมาณ 10% เผื่อฉุกเฉิน, 20% เป็นเงินฝาก ส่วน 70% เอาไว้ลงทุน...... ในส่วนเงินลงทุนนี่ผมก็แบ่งซอยย่อยอีก ผมเอาไปไว้ในกองทุนหุ้นที่มีปันผล 20% ที่เหลืออีก 80% จะเก็บไว้ใน port หุ้น แต่ว่ายังดีครับที่ตัวผมไม่ได้เป็นหนี้ใครเลย เพราะที่บ้านสอนมาว่าอย่าพยายามเป็นหนี้ใครดีที่สุด อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งเป็นทุกข์เพราะความไม่รู้จักพอของตัวเอง ...... เรื่อง early retire ถ้าคุณเก็บเงินได้ขนาดนี้ แล้วแบ่งเงินส่วนการลงทุนให้พอดีๆ ซื้อหุ้นปันผลดีๆ บริษัททีมีการเติบโตมั่นคงเข้า port ...ส่วนเงินที่ได้มาจากการทำงานก็แบ่งมาลงทุนเรื่อยๆในแต่ล่ะเดือน ในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้คิดว่าคุณจะได้ early retire สมใจไม่เกินอายุ 45 แน่ๆครับ เอาใจช่วย ส่วนผมคงจะอีกนานเลยกว่าจะเก็บเงินได้เท่าคุณ อิจฉาจัง! พอดีผมไปอ่านหนังสือเจอข้อมูลเกี่ยวกับเงินเก็บเฉลี่ยสะสมของคนไทยมาครับ เอามาให้ดูกันเล่นๆดีกว่า (จำได้พอลางๆครับ เพราะอ่านผ่านๆมา) ช่วงอายุ 20-25 ปี - 3000-5000 บาท ช่วงอายุ 25-30 ปี - 5000-8000 บาท ช่วงอายุ 30-35 ปี - 8000-15,000 บาท ช่วงอายุ 35-40 ปี - 15,000-25,000 บาท ช่วงอายุ 40-45 ปี - 25,000-35,000 บาท ช่วงอายุ 45-50 ปี - 40,000-60,000 บาท ช่วงอายุ 50-60 ปี - 60,000-80,000 บาท จากคุณ : C h u N g - [ 30 ต.ค. 46 02:19:49 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ซิครับ ลงทุนในกองหุ้นทุนได้เลยครับ เพราะ มีส่วนลดหย่อนภาษีเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงในตัวอยู่แล้ว (ลดความเสี่ยงได้เท่ากับ เงินที่ต้องจ่ายภาษีน้อยลงประมาณ 5-37% ขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือน) โดยเฉพาะคนทำงานกินเงินเดือน ยิ่งตอนนี้หลายๆที่ กองทุนตราสารหนี้ติดลบมากกว่ากองทุนหุ้นอีก (ทำไปทำมาทำไมตราสารหนี้ เสี่ยงกว่าหุ้นได้ก็ไม่รู้) จากคุณ : pjuk - [ 30 ต.ค. 46 06:57:50 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ซื้อหุ้นปันผลของอะไรดีคะ จากคุณ : excelka - [ 30 ต.ค. 46 07:01:32 ]

ความคิดเห็นที่ 6 มาแล้ว มาแล้ว ยินดีต้อนรับหมูตลาดหุ้น เชิญค่ะ นายกบอกแล้วว่า หุ้นไทย8000จุด้ก้อน่าจะ ถึง 5555 จากคุณ : doom (doomsday) - [ 30 ต.ค. 46 08:14:15 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แบ่งมาสักสองแสน ลงทุนในหุ้น , 1 แสนหุ้นพื้นฐาน อีก แสน เล่นหุ้นเสี่ยงหน่อย จากคุณ : ผมว่านะ - [ 30 ต.ค. 46 08:51:32 A:203.148.187.196 X: ]

ความคิดเห็นที่ 8 ต้องขอชมเชยเจ้าของกระทู้ที่มีความอดทน อดกลั้น จนสามารถเก็บออมเงินได้ขนาดนี้ เทียบกับผมตอนอายุเท่าเจ้าของกระทู้ยังเก็บได้ไม่กี่บาท แถมเป็นหนี้ทั้งบ้านทั้งรถยนต์ ใจจริงก็คิดเหมือนคุณ Chung ที่ว่าไม่อยากเป็นหนี้ใครให้ปวดหัว แต่ทำไงได้ละครับถ้าไม่เป็นหนี้จะเอาเงินที่ไหนมาซื้อบ้านซื้อรถล่ะครับ ถ้าจะรอเก็บเงินมิต้องรอจนแก่เหรอครับ ว่าแต่เจ้าของกระทู้แต่งงานหรือยังล่ะ ระวังจะมีคนมาช่วยใช้นะครับ 555 จากคุณ : stock lover - [ 30 ต.ค. 46 08:54:39 A:203.148.193.36 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาชมเหมือนกับคนอื่น ว่าเก็บเงินเก่งมาก สงสัยไม่มีคน ช่วยใช้ พูดเล่นนะครับ เอาเรื่องจริงบ้างดีกว่า 1. โดยหลักการพื้นฐานแล้ว "เงินมีค่าตามเวลา" คือมี Time Value of Money นั่นเอง ถ้าคุณจะฝากเงินกับ Bank ใช้ฝากเป็นก้อนใหญ่ๆ กับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยเงินฝากดีที่ สุด เดี๋ยวนี้เลย อย่าแบ่งไปไว้กับบัญชีที่ใช้ดอกเบี้ยน้อย กว่า ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆก็ตาม 2. ต้องมีนโยบายกระจายความเสี่ยง คุณอายุ 28 ปี ยังไม่ มาก (เรียกว่ายังหนุ่มสาว) รับความเสี่ยงได้พอประมาณ ถ้ามีงานประจำ ไม่ต้องการดูหุ้นมากนัก ก็แยกฝากเงินไว้ กับธนาคารส่วนหนึ่ง อาจจะ 30 - 50% (อาจจะต้องแบ่ง ออกอีกว่าเป็น ประจำ - ออมทรัพย์ เวลาต้องการเงินมาทำ ธุระบ้างจะได้ไม่เสียผลประโยชน์ด้านดอกเบี้ยกับบัญชี แบบประจำ อันนี้คุณคงรู้ดีอยู่แล้ว) ส่วนที่เหลือก็นำมาลง ทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งก็ต้องแบ่งออกอีกว่าเป็นหุ้น ประเภทปันผล/พื้นฐานดี, หรือหุ้นประเภทหวือหวาโตเร็ว อันนี้แล้วแต่ชอบ อาจจะเป็น 50/50 หรือ 60/40 หรือ 70/30 ก็ได้ครับ ขอให้ประสบความสำเร็จครับ อ้อ! หนังสือเรื่องพ่อรวย/พ่อจนพูดไว้ว่า "การอยู่อย่างร่ำรวย (หาเงินได้มาก แล้วก็ใช้ๆๆๆ) แต่ตาย จากไปแบบอนาถา เรียกว่าน่าสงสาร แต่การอยู่อย่างทุกข์ ยากไม่ยอมใช้เงิน (ทั้งที่มีเงินมาก เรียกว่าขี้เหนียวมากๆ) แต่ตอนตาย ตายแบบมหาเศรฐี (เพราะลูกหลานเอาเงินที่ มีนั่นแหละมาจัดงานศพใหญ่โต) แบบนี้เรียกว่า วิกลจริต" ขอให้หาเงินเ่ก่ง รู้จักใช้เงิน และรู้จักออมและลงทุนครับ จะได้รวยๆ มีเงินทำบุญเจือจานผู้อื่น เป็นกุศลและศิริมงคล ต่อตนเองครับ สา...ธุ จากคุณ : มือเก่าหัดขับ - [ 30 ต.ค. 46 09:29:36 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณเจ้าของกระทู้อายุเท่าผมเป๊ะเลยครับ ผมเองเรียนจบมาตั้งแต่ปี 39 แล้วก็ทำงาน บริษัทเอกชน มาได้ 5 ปี พอเสร็จโปรเจคขนาดใหญ่ (สนามบินอันสุดอื้อฉาว) บริษัทก็ลดพนักงาน ก็ได้จังหวะที่ผมเรียนต่อโทพอดี (ได้เงินชดเชย โดยไม่ ต้องลาออก อิอิ) เงินออมก็พอมี (แต่อาจน้อยกว่าคุณเจ้าของกระทู้นิดหน่อย) ตอนนี้ ผมนำเอาเงินออมส่วนนึง ไปซื้อกองทุนหุ้น (AJF Star Capital ไม่รู้ว่าภาษาไทยชื่ออะไร) 250,000 บาท ผลตอบแทนที่ผ่านมา จัดได้ว่าดีมากทีเดียว (ประมาณ 106% ต่อปี ใน 1 ปีที่ผ่านมา) อีกส่วนนึง ด้วยจำนวนที่เท่ากัน  ผมนำไปซื้อ กองทุน ตราสารหนี้ (AJF Star Multiple) ซึ่งนับวัน ผลตอบแทนต่ำลงเรื่อย ๆ ตอนนี้ แทบจะไม่หนีดอกเบี้ยฝากประจำแล้ว กำลังคิดอยู่ว่า จะ switch ไปกองทุนหุ้นให้หมดเลย (เป็นไง เป็นกัน) แต่พอดี เมื่อคืน ไปเห็นกองทุนใหม่ของ AJF (อยุธยา รักษ์ก้าวหน้า) เห็นว่ามีความเสี่ยงต่ำ ก็เลยจะย้ายเงินจาก กองทุนตราสารหนี้ ไปเป็น กองทุนอันนี้ดู (ช่วงเปิดจอง 30 ตค - 5 พย ไม่เสีย ค่าธรรมเนียมซื้อด้วย แต่ต้องอ่านข้อกำหนดดี ๆ เพราะกองทุนนี้ซื้อได้ ปีละครั้ง แต่ขายเมื่อไหร่ก็ได้ แปลกดี) หรือคุณเจ้าของกระทู้ ทำงานกินเงินเดือน อาจมอง กองทุนพวก RMF (retirement Mutual Fund) ซึ่งจะได้ผลประโยชน์ทางด้านภาษี (เช่น ถ้าคุณซื้อไป 50000 บาท และ ปัจจุบัน คุณเสียภาษีขั้นสูงสุด 15% คุณเสียภาษี น้อยลงเห็น ๆ 7500 บาท !!! ) และยังเป็นการออมเงินที่คุ้มกว่าซื้อประกันนะครับ โดยคุณสามารถซื้อได้ 15%ของเงินได้ แต่ ไม่เกิน 300,000 (อย่าไปกลัว ว่าเงินจะจม ถ้าคุณต้องการใช้เงินจริง ๆ คุณสามารถขายก่อน อายุ 55 ได้ แค่เสียภาษีในส่วนของภาษีที่ประหยัดไปได้เท่านั้น ดีกว่าประกันชีวิต ซึ่งจะเอาเงินออกมาได้ เมื่อเสียชีวิต หรือ ปิดกรรมธรรม์) ลองใช้เวลาสักนิด ทำความเข้าใจศึกษาดูนะครับ รับรองว่าคุ้มค่าเวลาที่เสียไป แน่นอน แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 46 10:04:57 แก้ไขเมื่อ 30 ต.ค. 46 10:01:20 จากคุณ : jsc2003@ksc.th.com (jsc) - [ 30 ต.ค. 46 09:51:10 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอชมเชยครับ ที่เก็บเงินได้ขนาดนี้ อายุผมเท่าคุณครับ ส่วนใหญ่จะลงทุนใน หุ้นครับ หุ้น(พื้นฐานดีมีปันผล) ครับ ขอแนะ นำ ... ทางเลือกอีกทางของ ยุคนี้ จากคุณ : guita - [ 30 ต.ค. 46 11:23:44 ]

ความคิดเห็นที่ 13 จริงๆเรื่องบ้านเรื่องรถ มันก็เป็นสิ่งจำเป็นทำให้เราอยู่ในภาวะจำยอมในการเป็นหนี้เพื่อผ่อนบ้านผ่อนรถ ในวัยประมาณ 25-30 นี่ เป็นช่วงที่ไคว่คว้าอยากได้ของทั้งสองอย่างพอดี แต่ถ้าปัจจัยรอบตัวมันไม่ถึงกับจำเป็นที่จะมีมัน ก็อย่าไปสร้างหนี้เพิ่มเติมครับ ..... ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้เดือดร้อนกับสองสิ่งนี้มากมาย บ้านก็อาศัยอยู่กับพ่อกับแม่ ซึ่งก็ไม่มีภาระอะไรที่ต้องผ่อนแล้ว ส่วนเรื่องรถนี่ถ้าผมคิดจะมีในตอนนี้รถมือสอง สภาพปานกลาง ก็สามารถซื้อเงินสดได้เลย ..... แต่มันไม่มีความจำเป็น เพราะบ้านที่ผมอยู่มันค่อนข้างอยู่ใจกลางเมือง ไปมาสะดวกมาก ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าเอาก็สะดวกดี ..... ยิ่งที่ทำงานผมอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 1-2 กม. ก็อาศัยเดินรึว่าขี่จักรยานไปทำงานเอาครับ ...บางวันนี่ไปถึงออฟฟิศเร็วกว่าการขึ้นรถเมล์รึว่าขับรถส่วนตัวไปทำงานด้วยซ้ำ แถมเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วย เดินชมตึกชมรถติดไปเรื่อยๆ ก็มีความสุขดี เป็นการช่วยชาติประหยัดพลังงานอีกทาง ถ้าใครที่มีที่ทำงานใกล้บ้านประมาณไม่เกิน 1-2 กม. ลองทำแบบผมดูก็ได้นะ เป็นทางเลือกนึงที่จะทำให้รถราบ้านเราไม่ติดขัดด้วย.......... เรื่องการซื้อบ้านผมคิดว่าสักอายุ 35 ค่อยตัดสินใจ เอาเงินออมของเราไปทำให้งอกเงยก่อน ....... ส่วนตัวผมถ้าคิดจะซื้อผ่อนอะไรสักอย่าง อย่างน้อยจะต้องมีเงินที่จะซื้อของสิ่งนั้นก่อน 70% ถึงจะตัดสินใจซื้อผ่อน อย่างถ้าจะซื้อของ 1 แสน ก็ต้องมีงบเอาไว้สัก 7 หมื่น ครับ (อย่าเอาเงินฉุกเฉินมารวมในงบตรงนี้นะ) ไม่งั้นจะเกิดรู้สึกทุกข์ในการที่เราเป็นหนี้ เกิดความรู้สึกเหนื่อยใจอย่างบอกไม่ถูก ผมเห็นตัวอย่างจากเพื่อนหลายๆคนที่เป็นหนี้เงินผ่อน แล้วทุกข์แทน อยากได้ notebook ราคา 70,000-80,000 แต่ตอนไปทำสัญญาผ่อน มีเงินเก็บทั้งเนื้อทั้งตัว 20,000 .....ก็ผ่อนกันหัวโตครับ เงินเดือนออกมาก็ต้องเอาไปจ่ายพวกสินค้าเงินผ่อนแบบนี้หลายรายการ ทำให้เก็บเงินไม่อยู่ .... คือการใช้สินค้าเงินผ่อนบ่อยๆ จะทำให้เกิดนิสัยเคยตัว อยากได้โน่นได้นี่เรื่อยๆ ...... อีกเรื่องคืออนาคตคือความไม่แน่นอน ถ้าอยู่ๆเราเกิดไม่มีงานทำ, ต้องใช้เงินด่วนมากๆ (อย่างการเข้าโรงพยาบาล) จะทำยังไงครับถ้าเราเป็นหนี้อยู่มหาศาล ...... ชีวิตก็เกิดทุกข์เข้าไปอีก ... จากคุณ : C h u N g - [ 30 ต.ค. 46 12:44:06 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตอบด้วยคนดูน่าสนุกดี.................................. ผมลำดับความเสี่ยงต่อผลตอบแทนให้แล้วกันครับ 1.กองทุนวายุภักษ์ ผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% 10 ปี 2.ฝากธนาคาร 2-2.5.% 2ปี 3.กองทุนตราสารหนี้ 2-4% 4.กองทุนหุ้น +-20% 5.หุ้น (ตอนนี้เขาพูดเป็นเท่า ผมไม่กล้าพูดฮ่า) 6.อื่นๆ เช่น พวกประกัน เล่นแชร์ ให้เขากู้ เล่นเงินฯลฯ ลองวิเคราะห์ดูครับ เอาพวกผลตอบแทนสูงโดยไม่เสี่ยงก่อนครับ คือพวกรัฐอุปถัมภ์ไงครับ คือพวกที่คุณเอามาหักภาษีได้ ผมไม่ทราบว่า อัตราภาษีขั้นสูงสุดของคุณเท่าไร ถ้า 10-15% ก็หมายความว่าอันนี้ยอดเยี่ยม ก็ถามตัวเองครับลงหมดเต็มเพดานแล้วยัง ประกันชีวิตเต็มแล้ว RMF ละถ้ายังลงให้เต็ม บ้านหลังแรกผ่อนก็ลดภาษีได้ เท่ากับเราซื้อได้ในราคาลด10-15% ข้อลดภาษีนี้คุณน่าจะรู้ดีกว่าผมแน่ มาว่าถึงเงินที่เหลือ 1.วายุภักษ์ ผมถึอว่าความเสี่ยงต่ำกว่าแบงค์(ค้ำประกันโดยรัฐ) ผลตอบแทนน่าจะมากกว่า 4.5%ตลอดอายุ 10 ปี กองทุนนี้มีแต้มต่อคือรัฐขายหุ้นให้กองทุนนี้ในราคาที่มีส่วนลด15% แค่แอบๆขายออกมาก็ได้กำไรแยะแล้ว และยิ่งถ้าหุ้นไป เจ็ดแปดร้อยจริง ก็คงได้มากครับ ข้อเสียคือ ถ้าเกิดคุณต้องใช้เงิน จำต้องขายในตลาดรอง ราคาจะถูกDiscountตามภาวะดอกเบี้ยและมูลค่าหุ้นในขณะนั้น อาจทำให้ขาดทุนได้ ดั้งนั้นเงินที่ซื้อต้องเป็นเงินเย็น เกิดวิกฤตหุ้นตกต่ำก็รับ 3%ไปเรื่อยๆ 2.ธนาคาร ในความเห็นผม น่าสนใจน้อยที่สุด(ดีกว่าใส่ตุ่มหน่อยนึง) น่าฝากเวลาเราไม่รู้จะทำอะไรกับเงินดี ความเห็นผมน่าจะดีในแง่เดียวคือเกิดวิกฤตการเงิน ดอกเบี้ยพรวดขึ้นไป>10% อะไรอย่างนี้ ซึ่งผมเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี น่าจะได้ 3-5%โดยเฉลี่ย 3.กองทุนตราสารหนี้ น่าจะไม่ค่อยดีครับ ใครๆก็มองว่าดอกเบี้ยกำลังเข้าสู่ขาขึ้น ซึ่งจะทำให้ ผลตอบแทนกองทุนต่ำมาก ถ้าจะซื้อก็ซื้อพวกกองทุนที่ซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นไว้ก่อนแล้วกันครับ ระยะยาวห่างๆไว้ก่อน 4.กองทุนหุ้น ลองคุยดูหลายๆเจ้า มีสารพัดเงื่อนไขแต่พวกนี้ฝอยเก่งครับ ที่รับประกันขาดทุนไม่เกิน20%ก็มี แต่ผมอยากให้ข้อคิดว่า กองทุนที่มีผลตอบแทนสูงในอดีต เวลาตกก็ตกแรงครับ 5.ลงทุนในหุ้น เฮ้ฮ(ขอถอนหายใจทีหนึ่งก่อน) เอาเป็นว่าถ้าคุณรู้สึกเซ็งในชีวิต เบื่อจ้าวนาย แฟนก็ไม่เอาไหน ชีวิตมันเรียบเสียจน อยากไปเดินสพานลอยให้โจรมันจี้ แบ่งเงินมาลงหุ้นซัก30% ก็ดีครับ คุณจะเห็นว่าเรื่องอื่นเป็นเรื่องเล็กไปเลย ล้อเล่นนะครับ มันไม่น่ากลัวถึงขนาดนั้นหรอก ผมอยากสนับสนุนให้ทุกคนที่มีเงินเหลือ เข้ามาศึกษาและพิจารณาว่าเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุน เป็นทางเลือกที่สำคัญเสียด้วย การมีทางเลือกหลายๆทางย่อมดีกว่าไม่มีทางเลือกครับ บางทีถ้ามันเหมาะกับเรา เราเป็นหนึ่งในสิบ หนึ่งในร้อยจริง เราอาจทำเงินได้มหาศาลก็ได้ เพียงแต่ระยะแรกอย่าพกความมั่นใจเต็มร้อยมาแล้วกันเผื่อใจใว้สำหรับสิ่งที่เรายังไม่รู้บ้าง 6.อื่นๆนี่ผมไม่มีความรู้ครับ เป็นความชำนาญเฉพาะบุคคล สุดท้าย จะลงทุนอะไรก็เจาะลึกเรื่องนั้นเพิ่มเติมมากๆนะครับ ในโลกการเงินนั้น คนรู้มากเขาหาเงินง่ายๆจากคนรู้น้อยกว่าครับ ผมทายว่าคุณเป็นนักบัญชีถูกไหมนี่??? จากคุณ : b n' b (K.nobody) - [ 30 ต.ค. 46 15:00:15 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อืมมม อ่านแล้วได้ความรู้ดีมากเลยค่ะ ขอชมเชยเจ้าของกระทู้ด้วย ว่าทำไงถึงเก็บเงินได้มากขนาดนั้นค่ะ บอกเคล็ดลับหน่อยสิคะ ของเราตอนนี้ เอาเงินเก็บมาลงทุนในหุ้นเกือบหมดค่ะ เท่าที่อ่านมาทั้งหมด คิดว่าคุณคงได้ไอเดียแล้วหล่ะ ว่าจะจัดการกับเงินของคุณยังไง โชคดีนะคะ จากคุณ : นังเหมียวซ่าส์ - [ 30 ต.ค. 46 16:20:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คิดว่าน่าจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งฝากธนาคาร 2 ปี แบบ ปลอดภาษี คงไม่ต้องถึงขนาดเดือนละ 25000 เพราะว่าน่าจะมองหากองทุนรวมที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง อาจจะเป็นกองทุนผสมยืดหยุ่น หรือไม่ก้อลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี รับปันผลคะ... จากคุณ : โอริสา อามิ** - [ 30 ต.ค. 46 21:33:40 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แนะนำซื้อหุ้นครับผมโดยแบ่งสักสามส่วน 1. สองถึงสามแสนให้ในพอร์ตซื้อไปเลยตัวละสองหมื่น สิบตัวครับแยกๆเป็นเซคเตอร์ไปครับ และก็ซื้อหุ้นปันผลทุกตัวครับ 2. สองถึงสามแสนซื้อกองทุนที่เป็นหุ้นกู้หรือพันธบัตรครับ 3. แสนหนึ่งซื้อทองครับ ตอนราคาลงมาหกพันปลายๆซื้อได้ครับ เพราะว่าเทรนการขึ้นราคาทองยังไปอีกไกลครับถ้าโลกเราโตไวเงินเฟ้อขึ้น ทองก็ขึ้นตามครับ 4. ฝากแบงค์ต่างชาติที่เศรษกิจที่เติบโตแข็งแกร่งเพื่อเก็งเงินต่างประเทศครับเช่น ออสเตรเลีย เพราะว่า ตามสูตรถ้าดอลลาร์ยังไม่มีทีท่าแข็งขึ้น ออสจะโตแกร่งกว่าไทยเยอะครับ จากคุณ : phobenius - [ 30 ต.ค. 46 21:46:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 โอ... ต้องขอขอบคุณทุกความคิดเห็นและทุกคำแนะนำมาก ๆ เลยนะคะ ทำให้ได้ความรู้เยอะเลย ทั้งทางเลือกที่เราไม่เคยมอง สภาวะปัจจุบัน และกระทั่งสัดส่วนการออมการลงทุนที่เหมาะสม ขอบคุณทุกท่านจริง ๆ ค่ะ แต่คงต้องขอเซฟเก็บไว้อ่านและคิดต่ออีกสักหน่อยนะคะว่าจะเอาไงดี เริ่มพอมองเห็นทางเลือกบ้างแล้วค่ะ และก็คงต้องอย่างที่คุณ b n' b (#14) ว่าน่ะค่ะ คิดจะเอาไงก็คงต้องเจาะลึกเรื่องนั้นไปศึกษาเพิ่มเติมอีกหน่อย คิดอยู่เหมือนกันว่าการลงทุนที่เสี่ยงที่สุด ก็คือการลงทุนที่ลงไปแบบไม่ได้เข้าใจมันเลย ที่คุณ b n' b เดาว่าเป็นนักบัญชีใช่หรือเปล่า คำตอบน่าจะเป็นถูกและผิดค่ะ :-) คือจบคณะบัญชีค่ะ แต่เอกสาขาอื่น และก็บ๊วยวิชาบัญชีการเงินอะไรนี่มาตลอดเลย... (-_-") ขอบคุณสำหรับคำชื่นชมในการออมค่ะ แต่ก็ไม่ได้จำกัดตัวเองอะไรมากนะคะ จุดเริ่มต้นก็คือเริ่มออมมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เด็กอ่ะค่ะ ทีละนิด ทีละหน่อย คุณพ่อเปิดบัญชีให้ เงินปีใหม่มั่ง ค่าขนมมั่ง เก็บไปงั้นเอง ไม่ได้สนใจอะไรเลย ทิ้งไว้ในบัญชีจนลืมมั่ง อะไรมั่ง พอโตหน่อยแล้วมาเห็นบัญชีอัพเดทอีกทีก็ตาโตเหมือนกันค่ะว่า โห.. มันงอกมาได้ไงเนี่ย (มาเข้าใจคำว่า มหัศจรรย์ของดอกเบี้ย ก็ตอนโตนี่ล่ะค่ะ) แต่ที่มาสปีดอัพจริง ๆ ก็ต้องยอมรับอ่ะค่ะว่า อาจจะเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งด้วย ที่ได้ไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกาแล้วก็ได้ทำงานไปด้วย ก็เลยมีรายได้เป็นดอลล่าร์เข้ามา พอคอนเวิร์ทกลับมาเป็นเงินไทยแล้วมันก็เลยได้เยอะหน่อยน่ะค่ะ พอกลับมาทำงานเมืองไทย ก็เริ่มออมด้วยการฝากบัญชีปลอดภาษีค่ะ แล้วก็ฝากประจำด้วย ตอนนี้หลาย ๆ บัญชีครบรอบดิว พอมารวม ๆ กันแล้ว มันก็เลยกลายเป็น 7 แสนเนี่ยค่ะ (จะสังเกตได้ว่าออมอย่างเดียวมาตลอดจริง ๆ ค่ะ ลงทุนไม่เป็นเลย) เงิน 7 แสนส่วนนี้ก็เลยจะเป็นเงินอนาคตน่ะค่ะ ไม่อยากใช้โดยไม่จำเป็น ส่วนความสุขปัจจุบัน ก็จะมีบัญชีออมทรัพย์ปกติหยิบใช้เพียงพออยู่แล้วค่ะ แล้วก็แบ่งเงินเดือนไปออมส่วนหนึ่งด้วยทุกเดือน ๆ บ้านก็อาศัยบ้านพ่อแม่ น้ำไฟก็เลยยังไม่ต้องรับผิดชอบเอง รถก็รับต่อของคุณพ่อมาใช้อีกที สภาพดีสะอาดใช้ได้ใช้คล่องก็พอแล้ว ไม่มีความฝันอยากมีบ้านมีรถมีวัตถุสะสมอะไรมากนักอ่ะค่ะ แค่ฝันอยาก early retire เร็ว ๆ และอยากใช้ชีวิตหลังจากนั้น ทำอะไรเพื่อคนด้อยโอกาสหรือเพื่อพุทธศาสนา และมีเวลาให้กับการปฏิบัติธรรมขัดเกลาตัวเองมากขึ้น โดยที่แน่ใจว่าชีวิตในอนาคตจะไม่เดือดร้อนขัดสน ยังไงก็ต้องขอบคุณมาก ๆ นะคะสำหรับ ทุก ๆ ความคิดเห็นและคำแนะนำจากทุก ๆ ท่าน จะนำไปคิดต่อให้ละเอียดกว่านี้ แล้วจะลองวางแผนให้เหมาะสมที่สุดค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ จากคุณ : เจ้าของกระทู้ - [ 31 ต.ค. 46 00:08:07 A:202.133.163.253 X: ]

ความคิดเห็นที่ 21 สรุปสั้นๆ ทำธุรกิจหรือลงทุนในสิ่งที่คุณชอบ ถนัด รู้ลึก สนใจและสามารถมีเวลาให้กับมันได้ รับรองไม่พลาด จากคุณ : hp - [ 31 ต.ค. 46 13:18:19 A:202.47.247.130 X: ]