ดอนซันหนุ

    ฝากให้คุณคลายเครียดอ่านครับ คิดว่าคงอ่านไปแล้ว ซ้ำไม่ว่ากันนะครับ


    http://www.bangkokbiznews.com/jud/sat/20031104/news.php?news=column_10792390.html


    สุนันท์ ศรีจันทรา คนแกร่งแห่งตลาดหุ้น

    ถ้าคุณทำข่าวสายหุ้นก็ไม่ควรเล่นหุ้นรับหุ้น เพราะเรื่องแบบนี้ก็คือสินบนรูปแบบหนึ่ง คุณมีประโยชน์ได้เสียกับมัน ถ้าเราย้อนหลังกลับไปดูหนังสือพิมพ์บางฉบับในอดีตที่เข้มงวดกับเรื่องแบบนี้ ไอ้ที่นักข่าวไปรับหุ้นจองนี่ถือว่าเป็นสีดำเลยนะ แต่มาถึงยุคนี้มันกลับเป็นสีเทาโว้ย อีก 10 ปีข้างหน้า ไม่กลายเป็นสีขาวเหรอ



    ความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นควรจะกระจาย คน 250,000 คนที่อยู่ในตลาดหุ้น ควรได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรมจากมูลค่าเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท แต่ข้อเท็จจริงก็คือใน 2 ล้านล้านบาทนั้น ไอ้ 1.5 ล้านล้านบาท ไปตกอยู่กับคนแค่ 2-3 พันคน เหลือเศษๆ ค่อยแบ่งไปให้พวกที่เหลือ ไม่ต่างอะไรกับรายได้ประชาชาติต่อคนต่อปีในประเทศ พวกที่มีรายได้ 10,000 บาทต่อปีมีไม่รู้กี่สิบล้าน แต่พวกที่รวย 5-10 ล้านมีไม่กี่คน



    ถึงแม้มาตรการควบคุมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบหักลบกลบหนี้ในวันเดียว (Net Settlement) จะส่งผลกระทบถึงบรรยากาศการชะลอตัวในตลาดหุ้น แต่สถานการณ์ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ตลาดหุ้นในประเทศไทยกำลังกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากหลับยาวมาร่วม 8 ปี


    ผู้ได้รับอานิสงส์ครั้งนี้คงไม่ใช่แค่นักลงทุน นักเก็งกำไร หรือพ่อค้าวาณิชเท่านั้น แม้กระทั่งสื่อมวลชนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิก หุ้นไทยรายวัน อย่าง สุนันท์ ศรีจันทรา ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายวันว่าด้วยเรื่องหุ้นฉบับแรกในประเทศไทย ก็พลอยได้รับประโยชน์ครั้งนี้ไปด้วย หลังจากบาดเจ็บสาหัสไปกับหนังสือพิมพ์ ไทยธุรกิจไฟแนนซ์ เมื่อปี 2540 พร้อมหนี้สินติดตัวประมาณ...40 ล้านบาท


    จากวันที่เคยเป็นบุคคล 'มีตัวมีตน' ในวงการหุ้น ถึงวันที่ต้องกลืนเลือดทำงานสุจริตทุกชนิดเพื่อเอาชีวิตรอดหลังวิกฤติครั้งใหญ่ กระทั่งเริ่มหายใจคล่องมองเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์อีกครั้งในวันนี้ สุนันท์ ศรีจันทรา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า จากนี้ไปถ้ามีใครคิดจะไล่รายชื่อนักหนังสือพิมพ์เลือดเหล็กในประเทศนี้ ก็ต้องอย่าลืมใส่ชื่อเขาลงไปด้วย


    'ความแกร่ง' ในการประคองชีวิตให้รอดเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ 'วิธีการ' ที่เขาเลือกใช้ ทั้งในวันที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์และวันที่ต้องเก็บตัวรักษาบาดแผล


    ทุกวันนี้ ในบรรดาคนที่แห่กันเข้าตลาดหุ้นแทบไม่มีใครนึกถึงคำว่า 'การลงทุน' แต่สุนันท์ ศรีจันทรา ยังพูด...ในวงการสื่อมวลชน มีการรับหุ้นจองกันอย่างเอิกเกริก แต่สุนันท์ ศรีจันทรา ยังยืนยันว่านั่นเป็นเรื่องผิด


    สุนันท์ ศรีจันทรา เคยเป็นนักมวยเก่า แม้ว่าเรายังไม่เคยเห็นเขาขึ้นเวทีชกจริง แต่ถ้าให้เดา เขาคงไม่ใช่คนที่คุมรูปมวยสวยงาม ออกอาวุธแพรวพราว ดูแล้วหวือหวาเพลินตา แต่เป็นนักมวยที่หลักแน่น ยืนมวยดี มีน้ำอดน้ำทน...ชนิดที่ใครก็เอาลงยาก


    เราเดารูปมวยแบบนี้จากสังเวียนสื่อที่เขาขึ้นชกทุกวัน สุนันท์ ศรีจันทรา อาจไม่ใช่นักหนังสือพิมพ์ที่มีปรัชญาลุ่มลึก มีวิธีคิดชาญฉลาด คมคาย หรือสลับซับซ้อน แต่เป็นคนจริง จุดยืนชัด และใจนักเลง ซึ่งคุณสมบัติแบบนี้หาไม่ง่ายนักในแวดวงสื่อมวลชนยุคหลังๆ


    'จุดประกาย-เสาร์สวัสดี' นัดคุยกับสุนันท์ ศรีจันทรา ที่สวนสาธารณะชานกรุงเทพฯ เขามีเงื่อนไขเล็กน้อยว่าให้สัมภาษณ์ก็ได้ แต่ขออย่างเดียว...ขอใส่เสื้อยืดรัดๆ ถ่ายรูป


    ภาพของสุนันท์ ศรีจันทราในบ่ายวันนั้น จึงดูเหมือนนักมวยโบราณ มากกว่านักเลงใส่สูทที่เดินชนไหล่กันไปมาในตลาดหุ้น...


    +ที่คุณเคยพูดไว้ว่าบรรยากาศตลาดหุ้นเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพียงแต่ตัวละครเปลี่ยนไปเท่านั้น อธิบายรายละเอียดเรื่องนี้อีกครั้งได้ไหมครับ


    คือ 5-6 ปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยแทบจะลืมไปจากความทรงจำของผู้จัดการกองทุนทั่วโลก แต่เมื่อถึงเวลานี้ก็เกิดความมั่นอกมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะโตขึ้นตามที่นายกฯทักษิณบอกว่าปีนี้โต 6 เปอร์เซ็นต์ ปีหน้า 8 เปอร์เซ็นต์ และเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงมาแบบนี้ติดต่อกัน 2-3 ปี ถ้าคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์ใครฝากเงินตอนนี้มีแต่ขาดทุน มันจึงมีเงินค้างอยู่ในระบบประมาณ 6 แสนล้านบาทที่คนไม่รู้ว่าจะเอาไปลงทุนกับอะไร


    เพราะฉะนั้นถามว่าบรรยากาศในตลาดหุ้นช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมันมีที่มามั้ย...มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ คือคนมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถทำได้ ครึ่งปีหลังนักลงทุนต่างประเทศก็เริ่มกลับมา ในวงการโบรกเกอร์นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็มองโลกในแง่ดีว่า นี่เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น บางคนถึงขั้นเปรียบเทียบว่ามันเหมือนช่วงปี 2530 ซึ่งหุ้นขึ้นมาต่อเนื่องถึง 6 ปีเต็ม


    +ฟังดูก็เหมือนจะดี แล้วมันมีปัญหาตรงไหนครับ


    ปัญหาคือในตลาดหุ้นนั้นเราไม่อาจบอกได้ว่าหุ้นตัวไหนมันถูกมันแพง อนาคตจะเป็นอย่างไร ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นเสมอ โดยธรรมชาติของคนซื้อหุ้นก็คือคนที่คาดหวังถึงอนาคต ส่วนจะสูงเกินไปหรือเปล่าเราไม่อาจจะบอกได้ ถ้าเศรษฐกิจมันโตไปถึง 8 เปอร์เซ็นต์ โอเค ราคาขนาดนี้ไม่แพง แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ ที่น่ากลัวอีกอย่างคือภาวะฟองสบู่มันไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวอินเด็กซ์ แต่เกิดขึ้นจากความคาดหวัง


    +คาดหวังว่า...?


    ก็คาดหวังในตัวรัฐบาล คาดหวังว่ารัฐบาลทำได้ จะโตต่อไปถึง 8 เปอร์เซ็นต์


    +ถ้าเราเปรียบเทียบลักษณะการฟูขึ้นรอบนี้ มันมีโครงสร้างอะไรที่เหมือนหรือแตกต่างจากฟองสบู่ปี 2530 บ้าง


    โดยโครงสร้างหลักแทบไม่ต่างกัน ตอนปี 2530 เราผ่านวิกฤตการณ์ค่าเงินบาทปี 2527 ยุคป๋าเปรม เจอนโยบายจำกัดสินเชื่อ 18 เปอร์เซ็นต์ยุคปู่สมหมาย ที่จริงเราสามารถย้อนหลับไปไกลกว่านั้นได้อีก ผ่านกรณีทรัสต์ล่ม 4 เมษา พอถึงปี 2526 เจอกรณีตึกดำล่มอีก เพราะฉะนั้นผ่านมา 8 ปี ตลาดหุ้นนี่แทบร้างเลยนะ โบรกเกอร์ต้องซื้อขายกันเองเพื่อสร้างวอลุ่ม แต่พอถึงปี 2530 อ้าว...เริ่มกลับมาดีอีกครั้ง มันก็คล้ายๆ ตอนนี้


    คือหุ้นมีธรรมชาติของมัน คนที่อยู่ใกล้พอเห็นอาการเริ่มดีก็จะกระโดดเข้าไปก่อน พอได้ขึ้นมามันก็มีเสียงไง เวลามันบูมเสียงจะดังปากต่อปาก ที่นี่แหล่งความร่ำรวยโว้ย ผลตอบแทนดีสุด คนก็แห่กันเข้ามา แล้วผลสุดท้ายก็ถึงวัฏจักรล่มสลาย รอบก่อนเราบูมไปถึง 1,753 จุด ภายในช่วง 6 ปีหุ้นขึ้นจาก 207 จุดในสิ้นปี 2529 แล้วก็กลับไป 200 กว่าอีกครั้งหนึ่ง (หัวเราะ) นี่ก็เริ่มๆ รอบใหม่อีกแล้ว นักลงทุนมือใหม่หัดขับเข้ามาเยอะมาก


    สิ่งที่น่ากลัวก็คือว่า ความรู้ความเข้าใจยังไม่ดี ขณะเดียวกันโครงสร้างของตลาดยังเหมือนเดิม โบรกเกอร์ก็ยังคอยเชียร์ให้ลูกค้าซื้อขายกัน เพราะทุกคนต่างก็มีผลประโยชน์กันหมด ถามว่ามีการกลั่นกรองคุณภาพสินค้าก่อนเข้ามาในตลาดมั้ย..ก็ไม่มี ทุกคนอยากผลักดันหุ้นตามค่าคอมมิชชั่น ได้ค่าธรรมเนียมจากการนำหุ้นเข้าตลาด มีหุ้นไปแจกลูกค้า พอเวลาตลาดดีหมู หมา กา ไก่ เต้าฮวยก็ขายได้ คุณดูสิหลังเอเปคเป็นต้นมา มีหุ้นใหม่ขายในตลาดแทบจะเป็นรายวัน


    +บรรยากาศแบบนี้สวนทางกับตลาดหุ้นรอบๆ บ้านเราพอสมควร ?


    เรามาไกลที่สุด ยังไม่ทัน 11 เดือนแรกเรามาไกล 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ตลาดหุ้นอื่น 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ ในย่านเอเชียด้วยกันอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของเราเป็นรองก็แค่จีน


    +การโตแบบนี้มันน่ากลัวตรงไหน


    ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกถ้ามันต่อเนื่องจริง นี่คือพูดในแง่ภาพรวมทางเศรษฐกิจนะ แต่สำหรับตลาดหุ้นยังไงๆ มันก็มีเรื่องไม่น่าไว้ใจได้ตลอดไม่ว่ามันจะวิ่งแรงหรือไม่ก็ตาม เพราะปัจจุบันคุณอย่าไปหาเลยว่ามันมีการลงทุนอย่างโปร่งใสมั้ย มีธรรมาภิบาลของตลาดหรือเปล่า ของแบบนี้ไม่มี (เน้นเสียง) แต่ก็พูดกันไปไงว่ามาตรการการคุ้มครองผู้ลงทุนเราสูง ระบบการตรวจสอบเราดีเยี่ยม แต่ภายใต้คำพูดสวยหรูดีงามเหล่านี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่า เอ๊ะ ในตลาดหุ้นมันมีการปั่นกันอยู่ มีการเอารัดเอาเปรียบกันอยู่


    +เพียงแต่ว่าวิธีปั่นมันซับซ้อนขึ้น จับยากขึ้น ?


    แน่นอน โจรก็ต้องพัฒนาเทคนิคขึ้นเรื่อยๆ มันรู้ว่าระบบตรวจสอบทำงานยังไง เห็นคนเคยถูกจับมานักต่อนัก ถึงตอนนี้ ขอโทษ-พวกรายใหญ่ๆ มันมีนักกฎหมายคอยให้คำปรึกษา ศึกษากฎมาแล้วทุกข้อ รู้หมดว่าจะใช้ช่องว่างได้ตรงไหนอย่างไร


    ในแง่นี้ หุ้นก็ไม่มีต่างจากแชร์ลูกโซ่แชร์แม่ชม้อย ตกเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ แต่ถามว่าหมดมั้ยมันก็ไม่หมด ทำไมคนทุกวันนี้ยังถูกหลอกอยู่ ตลาดหุ้นก็เหมือนกัน มันหากินกับคนหมู่มาก หากินกับรายย่อย ตอนนี้มีคนเข้ามาในตลาดหุ้นประมาณ 250,000 คน ถามว่าคนฉลาดมีสักเท่าไหร่...เอาใหม่ ไม่ใช้คำว่าคนฉลาด เดี๋ยวจะมีคนยัวะ (หัวเราะ) เอาแค่ว่าคนที่มีความรู้ความเข้าใจทันเกมมีสักเท่าไหร่ ทุกคนต่างก็เข้ามาเพราะเห็นว่ามันรวยเร็ว พูดกันแต่เรื่องรวย อย่างใช้คำว่าเล่นหุ้นก็ผิดแล้ว เพราะมันคือการลงทุนไม่ใช่การเล่น

    จากคุณ : เด็กเมื่อวานซึม - [ 26 พ.ย. 46 15:54:19 A:203.148.196.1 X:10.114.0.139 ]