ความคิดเห็นที่ 2
+กรณีนักข่าวรับหุ้นเล่นหุ้น ที่จริงในวงการสื่อควรตกลงกันให้ชัดใช่ไหมว่าของแบบนี้ห้ามทำ
ต้องรู้กันอยู่แล้ว ไม่ต้องมีใครมาคอยบอก ถ้าคุณทำข่าวสายหุ้นไม่ควรเข้าไปยุ่ง เพราะเรื่องแบบนี้ก็คือสินบนรูปแบบหนึ่ง คุณมีประโยชน์ได้เสียกับมัน ถ้าเราย้อนหลังกลับไปดูหนังสือพิมพ์บางฉบับในอดีตที่เข้มงวดกับเรื่องแบบนี้ ไอ้ที่นักข่าวไปรับหุ้นจองนี่ถือว่าเป็นสีดำเลยนะ แต่มาถึงยุคนี้มันกลับเป็นสีเทาโว้ย อีก 10 ปีข้างหน้าแม่-งไม่กลายเป็นสีขาวเหรอ
ถามง่ายๆ ว่าถ้าผมเป็นนายสุนันท์ที่เดินอยู่ข้างถนนจะมีใครเอาหุ้นมาแจกผมมั้ย ทำไมผมยืนอยู่ตรงนี้แล้วคุณถึงมาเสนอให้ผม คุณให้เพื่ออะไร...แล้วไอ้พวกที่อ้างว่าทุกคนมีสิทธิลงทุน ใช่มีสิทธิ แต่คุณอย่าลืมว่าสื่อมวลชนไม่ใช่อาชีพปกติ คุณสามารถให้คุณให้โทษ นักข่าวไปรับหุ้นจองมา คุณว่านักข่าวคนนั้นจะกล้าโจมตีกล้าวิจารณ์หุ้นตัวนั้นเหรอ ทุกวันนี้หัวหน้าข่าวทำข่าวเองหรือเปล่า...ก็ไม่ได้ทำ ไอ้นักข่าวก็ไปรายงานใกล้ชิดอยู่กับแหล่งข่าว ยิ่งพอมีผลประโยชน์เข้ามาอีก แล้วมันจะไปเหลืออะไร
ที่ร้ายกว่านั้น นักข่าวบางคนเข้าไปเล่นหุ้นเต็มตัวซื้อขายรายวันแบบนักเก็งกำไรเลยนะ สื่อบางประเภทเป็นเครื่องมือของโบรกเกอร์อีกต่างหาก วันๆ ก็เขียนเชียร์หุ้นตัวนั้นทุบหุ้นตัวนี้ คุณนึกภาพซิมันจะเกิดอะไรขึ้น
ผมก็มานั่งนึก เอ๊ะ ทำไมไม่มีใครตื่นตัวเรื่องนี้เลย ตอนนี้ผมเองถูกนินทาถูกโจมตีด้วยซ้ำว่า คุณสุนันท์รับหุ้นตัวนั้นตัวนี้ เที่ยวไปไถหุ้นเขา ทีคนอื่นมันรับกันเปิดเผยก็ไม่เคยมีใครไปตรวจสอบ ยังคบกันสนุกเฮฮาอยู่กันอย่างมีความสุขเหมือนเดิม...สื่อก็ไม่ต่างจากสังคมอื่นๆ มันเกื้อกูลห้อยโหนเกาะเกี่ยวกัน แล้วเดี๋ยวนี้เวลาไปทำข่าวก็ไปกันเป็นกลุ่มๆ ไม่ใช่เหรอ ไอ้โน่นเป็นซีเนียร์เริ่มเก่งหน่อยก็มีน้องๆ ติดสอยห้อยตาม เสร็จแล้วก็ไปต่อรองผลประโยชน์กับแหล่งข่าว กลายเป็นล็อบบี้ยิสต์ไปอีก
บางทีเราก็อดคิดไม่ได้ เอ๊ะ เราบ้าอยู่คนเดียวหรือเปล่า อยู่แก่ๆ แบบนี้บางทีเห็นเด็กๆ นักข่าวใหม่เข้ามามีเงินเป็นล้าน ดูแล้วมันก็เหนื่อยนะ แถมวันดีคืนดีถูกเอาขี้ปาหน้าหาว่ารับหุ้นอีก เจอแบบนี้บางทีก็อยากนะ เห็นคนอื่นเขาทำกันก็ไม่เห็นมีใครว่านี่ สังคมก็ไม่เห็นตำหนิ แต่เราก็ทำไม่ได้เพราะความเป็นมาของเรามาอีกอย่าง จะให้ย้อนกลับไปก็คงไม่ได้ ถ้าเราจะผิดก็คงผิดตั้งแต่วันแรกที่เราเปลี่ยนอาชีพจากพนักงานโรงแรมมาเป็นนักข่าวนี่แหละ
เออ แต่ถึงตอนนี้ผมขอประกาศไว้หน่อยว่า (ชะโงกหน้าพูดกรอกใส่เทป) ต่อไปนี้สุนันท์รับหุ้นจองแล้วนะครับ
+ อ้าว ?
นี่ก็เพิ่งรับมา 2 ตัว ตัวแรก TOC ขายไปได้กำไร 60,000 บาท อีกตัว SC Asset ของกลุ่มชินวัตรเขาให้มา 5,000 หุ้น เราขายไปได้กำไรร่วม 70,000 บาท สรุปหุ้นจอง 2 ตัวเราได้เงินแล้ว 130,000 บาท...เป็นไง (หัวเราะ)
อ้าว เข้าเมืองตาหลิ่วไม่ใช่เหรอ ให้แล้วไม่เอาเดี๋ยวจะขัดใจกันอีก แล้วไหนๆ เราก็ถูกด่าว่ารับหุ้นอยู่แล้ว คนมันก็พูดกันไป เฮ้ย สุนันท์ไม่รับเองแต่ให้ลูกเมียรับ วันก่อนด้วยความโมโหเราก็เลยประกาศผ่านสื่อซะเลย ต่อไปนี้รับแล้ว
เราถือว่าเป็นโอกาส เพราะทุกวันนี้ถ้าจะให้เราทำบุญเองเราไม่มีเงินแสนเงินล้านไปทำหรอก ก็เอามันตรงนี้แหละรับมาแล้วตั้งเป็นกองทุนชื่อกองทุนหุ้นจอง เดี๋ยวเราจะเชิญกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมาบริหาร เสร็จแล้วจะเอาเงินก้อนนี้ไปบริจาคให้เด็กให้มูลนิธิครูยุ่น (มนตรี สินทวิชัย) แล้วถ้ายังมีมาอีกถ้าได้เยอะสักหลักล้านเผลอๆ เราจะเอาไปสร้างโรงเรียน นี่เราเอาจริงนะ กองทุนหุ้นจองนี่แหละ เพราะลำพังตัวเราเองไม่มีปัญญาทำอย่างนี้หรอก
+ทำแบบดาราบริจาคการกุศลประชดซะเลย ?
(หัวเราะ) ไหนๆ เราก็ถูกด่าอยู่แล้วนี่ ก็รับมันจริงๆ ซะเลย
+ฟังที่พูดมาทั้งหมด ดูเหมือนตลาดหุ้นแทบจะไม่มีอะไรดีพอจะเอาตัวลงไปเกลือกกลั้ว แล้วคุณอยู่มาได้ยังไงตั้ง 17 ปี
ส่วนหนึ่งมันเป็นอาชีพ อย่างน้อยๆ เรายังรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้ก็พอช่วยเหลือคนได้ นักลงทุนบางคนยังเชื่อถือเราอยู่ อย่างตอนเราเจอวิกฤติเศรษฐกิจก็มีนักลงทุน มีสื่อ มีคนในแวดวงทั้งที่รู้จักเราและที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนให้กำลังใจ แม้จะมีพวกที่แทงข้างหลังทั้งที่เป็นสื่อด้วยกัน ทั้งพวกนักปั่นหุ้น มันก็เที่ยวไปปล่อยข่าวป้ายสี เราก็อยากจะถามนะว่าช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าเราไปทำ เห้ อะไรไว้ที่ไหน เพราะวงการตลาดหุ้นนี้แคบมาก ไม่งั้นเราไม่รู้หรอกว่าสื่อคนไหนเป็นยังไง แต่พวกนี้ก็อย่างว่า...อีแอบชอบปล่อยข่าวไง
+คุณเองก็เคยถูกวิจารณ์ว่ามีวิธีคิดเรื่องหุ้นค่อนไปทางอนุรักษนิยม ไม่รู้สึกเหรอครับว่าบางทีคุณอาจจะไม่เหมาะกับตลาดหุ้นยุคนี้แล้ว
กลายเป็นพวกแผ่นเสียงตกร่องยังงั้นใช่มั้ย...เรื่องนี้บางทีก็ต้องยอมนะ คือต่อให้เราจะคิดไม่ทัน ต่อให้เราจะถูกเรียกว่าเป็นไดโนเสาร์เต่าพันปี แต่เรื่องหลักการวิชาชีพเราว่ายังไงเราก็ไม่บกพร่อง เพียงแต่โลกมันเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง
+คือมันชัดเจนว่านักเล่นหุ้นหน้าใหม่เขาไม่ได้คิดแบบคุณ เขาไม่ได้คิดจะลงทุนถือหุ้น 3 เดือน 6 เดือน แต่พวกนี้ส่วนใหญ่ก็เข้ามาเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นทั้งนั้น ?
ก็ใช่ ถามว่าตลาดหุ้นทั่วโลกมีการเก็งกำไรมั้ย ทุกที่ก็เป็นอย่างนี้ แต่เขาไม่ได้เก็งกำไรแบบประเทศไทย (เน้นเสียง) เขาไม่ได้เอารัดเอาเปรียบกันขนาดนี้ ซึ่งแน่นอนในโลกทุนนิยมคุณต้องแข่งกันด้วยข้อมูล ใครประเมินสถานการณ์ได้แม่นกว่าคุณก็ได้เปรียบ แต่ไม่ใช่ว่าคุณมาสร้างภาพกันแบบตลาดหุ้นไทย เรื่องแบบนี้เราเห็นไง เห็นคนถือเงินเข้ามาแล้วหมดตัวกลับบ้าน จะหมดมากหมดน้อยแต่ก็หมด เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งคุมเกมอยู่ เสร็จแล้วจะให้เราทำยังไง
ปีนี้ตลาดหุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท ความมั่งคั่งตรงนี้ควรจะกระจายออกไป ถึงแม้ไปไม่ถึงประชาชน 60-70 ล้านคน แต่ในบรรดาคน 250,000 คนที่อยู่ในตลาดหุ้น ทุกคนควรได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม แต่ข้อเท็จจริงก็คือใน 2 ล้านล้านบาทนั้น ไอ้ 1.5 ล้านล้านบาทอาจจะไปตกอยู่กับคนแค่ 2-3 พันคน พวกนี้กินส่วนยอดไปหมด ที่เหลือเศษๆ ค่อยแบ่งไปให้พวกที่เหลือ ไม่ต่างอะไรกับรายได้ประชาชาติต่อคนต่อปีในประเทศ ตัวเลขเฉลี่ยอาจจะอยู่ที่ 20,000 บาท แต่ไอ้คนที่แม่-งได้ 10,000 บาทต่อปีฐานมีไม่รู้กี่ 10 ล้านคน ขณะที่พวกที่มีรายได้ 5 ล้าน 10 ล้านต่อปีมันกระจุกตัวอยู่แค่ไม่กี่คน...ตลาดหุ้นก็เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นวิธีคิดของผมที่ยืนยันจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ พยายามมีส่วนร่วมในการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ ให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเพื่อพัฒนานักลงทุน ทั้งหมดนี้ผมอาจจะเป็นไดโนเสาร์ก็ได้ แต่ผมถือว่านี่คือเรื่องถูกต้อง
จากคุณ :
เด็กเมื่อวานซึม
- [
26 พ.ย. 46 15:56:16
A:203.148.196.1 X:10.114.0.139
]
|
|
|