การดำเนินเศรษฐกิจมหภาคของแต่ละประเทศมีความสำคัญมากเพราะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมให้ธุรกิจต่างๆ
ถ้าธุรกิจเป็นต้นไม้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคก็เหมือนกับการควบคุมสิ่งแวดล้อม(น้ำดินอากาศแสงแดดฯลฯ)
มีหลายประเทศที่รัฐบาลและธนาคารกลางส่งสัญญาณต่างๆกันซึ่งเราสามารถคาดเดาธุรกิจในภายภาคหน้าได้
สหรัฐGDP(ไตรมาสสาม)เติบโตมากกว่า8%เงินเฟ้อ1.3%แต่เฟดยังคงดอกเบี้ยที่1%และรัฐบาลมีแนวโน้มขาดดุลการคลัง..คงต้องการดอลล่าร์อ่อนและผลทางคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
ออสเตรเลียGDPเติบโต1%กว่าแต่ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว2รอบครั้งละ0.25%กลายเป็น5.25%..ขึ้นทำไมไม่รู้จะสกัดเงินไหลออกก็ไม่ใช่เพราะค่าเงินแข็งขึ้นเรื่อยๆ(เมื่อเทียบกับดอลล่าร์)
อังกฤษGDPก็เติบโต1%กว่าและขึ้นดอกเบี้ยไป0.25%เป็น3.75%...ขึ้นทำไมไม่รู้เช่นกัน,จะสกัดเงินไหลออกก็ไม่ใช่เพราะค่าเงินแข็งขึ้นเรื่อยๆ(เมื่อเทียบกับดอลล่าร์)
ไทยGDPเติบโต6%เงินเฟ้อ1.2%ธปท.ตรึงอัตราดอกเบี้ย1.25%แต่เริ่มควบคุมการปล่อยกู้อสังหาฯโครงการใหญ่พร้อมกับรัฐจะมีเมกะโปรเจ็คออกมาในปีหน้า...ผมชอบนโยบายของไทยมากกว่าเพื่อนเลย
ที่ผ่านมา3ปีท่านายกได้พยายามให้ภาคเอกชนทุกระดับฟื้นไข้โดยเน้น"สร้างรายได้ลดรายจ่ายขยายโอกาส"เช่นโครงการพักหนี้เกษตรกร,ประกันสุขภาพ,กองทุนหมู่บ้าน,ธนาคารประชาชน,ปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจ,บสท.,เพิ่มราคาขายข้าวและยางผ่านแผนการตลาดอันแยบยล,ฯลฯ
ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน(หลังจากฟื้นไข้กันแล้ว)
ผู้ว่าซีอีโอและการปรับปรุงราชการจะเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นให้ธุรกิจแข่งขัน
การแปลงสินทรัพย์เป็นทุนและการให้ที่ดินทำกินแก่ผู้ต้องการจะทำให้มีผู้ประกอบการใหม่ๆ
การลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค(จากการเพิ่มประสิทธิภาพ)จะทำให้เอกชนมีต้นทุนการผลิตถูกลง...ปตท.ได้ไปเจรจาลดราคาแหล่งพลังงานจากพม่าเมื่อหลายเดือนก่อน,การซื้อไฟฟ้าจากลาว,การทำอาเชี่ยนเพาเวอร์กริด,การเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรและขนส่งมวลชน,ทศท.ลดค่าโทรทางไกลในประเทศ,กสท.ลดค่าโทรทางไกลระหว่างประเทศ,การเร่งให้มีการบินเสรีและโลคอสต์แอร์ไลน์,การตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติในปีหน้าฯลฯ
ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้เงินซึ่งรัฐบาลเกรงว่าดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเร็วก็เลยหาทางป้องกันไว้แล้วโดยลดการปล่อยกู้อสังหาฯไม่ให้มากเกินไป(ธปท.จะเข้มงวดกับโครงการมากกว่า100ล้าน),ดูดเงินเข้ากระเป๋ารัฐก่อนผ่านทางกองทุนวายุภักษ์,เล่นเกมความเชื่อมั่นให้เงินไหลเข้าไทยต่อเนื่อง(แม้ธปท.ลดดอกเบี้ยเงินก็ไม่ไหลออก)
ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการแข่งขันซึ่งในประเทศมีผู้ได้คะแนนดีและด้อยแต่คะแนนเฉลี่ยของภาคเอกชนไทยน่าจะสูงขึ้นในอัตราที่มากกว่าประเทศอื่น...น่าจับตามากกว่า3ปีที่ผ่านมาครับ
แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 46 16:44:52
จากคุณ :
think_pos
- [
14 ธ.ค. 46 16:18:18
]