ความคิดเห็นที่ 1
ได้อ่านหรือยังครับ "หุ้นช้าง โดย ดร.นิเวศน์"
Value Investor ในเมืองไทยจำนวนมากไม่ชอบและไม่สนใจที่จะลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ สาเหตุอาจจะเป็นเพราะว่าหุ้นเหล่านั้นเป็นที่นิยมของคนมากเกินไป มีคนวิเคราะห์ติดตามมากเกินไป ดังนั้นโอกาสที่หุ้นเหล่านั้นจะถูกมากเมื่อเทียบกับพื้นฐานจึงมักจะมีน้อย เหตุผลต่อมาอาจจะเป็นเพราะหุ้นตัวใหญ่มักจะอุ้ยอ้ายราคาปรับตัวขึ้นช้ากว่าหุ้นตัวเล็ก ประกาศสุดท้ายอาจจะเป็นเพราะว่ายังมีหุ้นตัวเล็กที่มีคุณค่าเหนือกว่าหุ้นตัวใหญ่อยู่มากจนไม่รู้ว่าจะไปลงทุนในหุ้นตัวใหญ่ทำไม นั่นคือเหตุการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งผมเห็นว่าจริงปราศจากข้อสงสัย แต่การที่ราคาของหุ้น Value ขนาดเล็กจำนวนมากปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ความน่าสนใจของหุ้นเหล่านั้นก็ลดลง เวลานี้การที่จะหาหุ้น Value ตัวเล็กที่มี Margin of Safety หรือมีความปลอดภัยสูงมากนั้นมีน้อยลงไปมาก ตรงกันข้ามหุ้นตัวใหญ่หลายตัวกลับมีราคาถูกคุ้มค่า น่าพิจารณาลงทุนอาจเรียกว่าเป็น Value Stock ได้ในภาวะตลาดหุ้นในปัจจุบัน
หุ้นตัวใหญ่ที่ผมจะเรียกว่าหุ้นช้างที่ผมจะนำมาแสดงจำนวน 12 เชือกนั้น ผมคัดจากหุ้นที่มีขนาดใหญ่คือมี Market Cap หรือมูลค่าหุ้นอย่างต่ำ 3 4 หมื่นล้านบาทขึ้นไป และกระจายอยู่ในเกือบทุกอุตสาหกรรม โดยเลือกเอาจากหุ้นตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มแล้วไล่ลงไปตามความเหมาะสม
ตัวแรกคือหุ้นของแบงค์กรุงเทพ(BBL) ที่มีมูลค่าหุ้น 123,185 ล้านบาท ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2546 โดยมีค่า PE ประมาณ 12.7 เท่า ค่า PB ประมาณ 2 เท่า ในขณะที่กำไรในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเติบโตถึง 73% และเมื่อมองไปในอนาคตที่เศรษฐกิจของไทยกำลังเติบโตเร็วขึ้นพร้อม ๆ กับข่าวดี ๆ ต่าง ๆ ของภาคการธนาคาร ผมเองคิดว่าการถือหุ้นของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคงให้ผลตอบแทนที่ไม่เลวนัก เช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับสองของกลุ่มคือหุ้นของธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ซึ่งมีมูลค่าหุ้น 99,436 ล้านบาท มีค่า PE 7.2 เท่าและค่า PB 2.1 และกำไรเติบโตขึ้น 124%
หุ้นตัวที่สามคือหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีที่ผมจะแสดงเพียงตัวเดียวก็คือหุ้นของอะโรเมติคส์(ATC) ที่มีมูลค่าหุ้น 51,732 ล้านบาท มีค่า PE 14.6 เท่า แต่มีค่า PB ถึง 6.4 เท่า และบริษัทเพิ่งฟื้นตัวจากการขาดทุนในปีก่อน 569 ล้านบาท เป็นกำไร 3,175 บาทในปีนี้ มองจากค่า PE ที่สูงลิ่วและธุรกิจที่เป็นวัฎจักรขึ้น ๆ ลง ๆ คงจะพูดไม่ได้ว่าเป็นหุ้น Value สำหรับหุ้นตัวนี้ แต่การถือหุ้นที่อุตสาหกรรมกำลังบูมอย่างปิโตรเคมีก็เป็นสิ่งที่ท้าทายไม่น้อย
หุ้นช้างเชือกที่สี่คือหุ้นของปูนตราช้างหรือซิเมนต์ไทย(SCC) ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างซึ่งมีมูลค่าหุ้น 249,600 ล้านบาท มีค่า PE 13.1 เท่า ค่า PB 2.9 เท่า และมีกำไรเติบโตขึ้น 47% จากปีก่อน ความเข้มแข็งของปูนใหญ่บวกกับแนวโน้มที่ดีของธุรกิจหลายประเภทของบริษัททำให้ราคาหุ้นในระดับนี้ไม่แพงเกินไป
หุ้นตัวที่ 5 คือหุ้นของแลนด์แอนด์เฮาส์(LH) ในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าพ่อของวงการที่มีมูลค่าหุ้น 79,097 ล้านบาท มีค่า PE ค่อนข้างสูงที่ 17.8 เท่า และค่า PB 3.6 เท่า นับเป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ค่อยได้ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเร็ว ๆ นี้ แต่ผลการดำเนินงานก็น่าประทับใจคือกำไรเติบโตขึ้นถึง 67% ทั้ง ๆ ที่กำไรดีอยู่แล้วตั้งแต่ปีก่อน
หุ้นช้างตั้งแต่เชือกที่ 6 ถึง 9 เป็นหุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งมีผลการดำเนินงานที่แน่นอนเนื่องจากเป็นสาธาณูปโภค แต่มีราคาหุ้นที่ไม่แพงคือค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า เริ่มตั้งแต่หุ้น ปตท.(PTT) ที่มีค่า PE 8.6 เท่า ค่า PB เท่ากับ 3 และกำไรเติบโต 63% หุ้น ปตท.สผ. (PTTEP)มีค่า PE 9.9 PB เท่ากับ 3 และเติบโต 12% หุ้นผลิตไฟฟ้าราชบุรี(RATCH) ซึ่งมีค่า PE เท่ากับ 9.7 และค่า PB เท่ากับ 2.4 กำไรเติบโต 35% และสุดท้ายคือบริษัทผลิตไฟฟ้า(EGCOMP) ที่มีค่า PE 7.7 เท่าและค่า PB เพียง 1.6 เท่า และกำไรเติบโตถึง 72% จากปีที่แล้ว โดยหุ้นแต่ละตัวมีมูลค่าหุ้นเรียงตามลำดับตั้งแต่หุ้น ปตท. ที่ 302,102 ล้านบาท ปตท.สผ. 131,784 ล้านบาท ราชบุรี 58,000 ล้านบาท และ EGCOMP ที่ 39,221 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ถ้าจะเรียกว่าเป็น Value Stock ก็คงจะไม่ผิดนัก
หุ้นช้างเชือกที่ 10 คือหุ้นบีอีซีเวิลด์(BEC) หรือหุ้นทีวีช่อง 3 ซึ่งมีค่ามูลค่าหุ้น 45,200 ล้านบาท มีค่า PE 22 เท่า ค่า PB เท่ากับ 6.2 เท่าและกำไรเติบโต 34% ซึ่งมองจากราคาหุ้นที่ค่อนข้างสูงก็คงจะรับได้ยากว่าเป็นหุ้น Value Stock แต่ก็เป็นราคาที่ ถูกลง มากเมื่อเทียบกับอดีตสำหรับหุ้นช้างตัวนี้
หุ้นตัวที่ 11 คือหุ้นการบินไทย(THAI) ซึ่งมีมูลค่า 82,143 ล้านบาท ค่า PE ลดลงเหลือเพียง 6.6 เท่า และค่า PB เท่ากับ 2.2 ขณะที่กำไรปีนี้ลดลง 2% เนื่องมาจากภาวะโรคซาร์ระบาด ดูจากค่า PE และแนวโน้มของการท่องเที่ยวที่กำลังดีขึ้นแล้ว นี่ก็เป็นหุ้นที่น่าท้าทายสำหรับการลงทุนอีกตัวหนึ่ง
หุ้นช้างตัวสุดท้ายที่ผมจะแสดงก็คือหุ้นบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถืออันดับหนึ่งที่มีมูลค่าหุ้น 196,867 ล้านบาท มีค่า PE 10.7 เท่า ค่า PB เท่ากับ 3.6 เท่า ผลการดำเนินงานโตขึ้นจากปีก่อนถึง 90% และน่าจะเป็นหุ้นที่ใกล้จะเป็น Value Stock เข้าไปทุกทีอีกตัวหนึ่ง
หุ้นช้างทั้ง 12 เชือกที่กล่าวมาข้างต้นผมดูแล้วส่วนใหญ่น่าจะเป็นกลุ่มที่นักลงทุนแบบ Value Investor สามารถเลือกลงทุนได้ เพราะหุ้นเหล่านี้เป็นบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจ มีกำไรที่น่าประทับใจ มีฐานะที่เข้มแข็งทั้งทางด้านการตลาดและการเงินสามารถจะดำรงอยู่และเติบโตได้ในระยะยาวในขณะที่ราคาหุ้นไม่แพงเกินไป และถ้าไม่รู้จะเลือกตัวไหน ผมคิดว่าถือไว้ทุกตัวเท่า ๆ กัน แล้วเก็บไว้ยาวมาก ผมเชื่อว่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินไว้กับสถาบันการเงิน และโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10 15% ในเวลา 5 ปี ข้างหน้าน่าจะมีสูง โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย
สุดท้ายสำหรับนักเก็งกำไรที่ชอบคาดการณ์ภาวะดัชนีหุ้นก็คือ หุ้นช้างทั้ง 12 เชือก รวมกันจะมีมูลค่าถึง 1,452,367 ซึ่งคิดเป็นประมาณ 36% ของมูลค่าตลาดรวมที่ 4 ล้าน ๆ บาท หากว่าสิ่งที่ผมคาดเป็นจริงคือหุ้นช้างปรับตัวขึ้นไปและนำให้หุ้นอื่นปรับตัวขึ้นตามในอัตราเท่า ๆ กัน เราก็อาจจะเห็นดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นเป็น 2 เท่า ภายในเวลา 5 ปี และภายในปีหน้า เป้าหมายดัชนีที่ 750 คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก
จากคุณ :
โชคดี
- [
27 ธ.ค. 46 12:17:21
A:202.57.166.13 X:
]
|
|
|