*** IMF เตือนอเมริกาอีกแล้ว.... ***

    นิวยอร์ก ไทมส์/เอเอฟพี - ไอเอ็มเอฟเตือนยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลการค้าจำนวนมหาศาลของสหรัฐฯ คุกคามทั้งเศรษฐกิจอเมริกันเองและเศรษฐกิจโลก ชี้ดอลลาร์อ่อนบั่นทอนการลงทุน ขณะที่ขุนคลังแดนอินทรีย้ำคำเดิม ยังยึดมั่นนโยบายดอลลาร์แข็ง แต่ไม่คิดแทรกแซง พร้อมยืนยันภาวะขาดดุลงบประมาณควบคุมได้

    รายงานที่จัดทำโดยคณะนักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และเผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธ ส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับพื้นฐานการคลังอันไม่มั่นคงของสหรัฐฯ พร้อมตั้งคำถามถึงคุณประโยชน์ของมาตรการลดภาษีของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช อีกทั้งเตือนว่าการขาดดุลงบประมาณมากมายก่ายกองของสหรัฐฯถือเป็นความเสี่ยงสำคัญไม่ใช่เฉพาะต่อสหรัฐฯเอง แต่ยังรวมถึงทั่วโลก

    นักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟเตือนว่า ภาระทางการเงินสุทธิที่สหรัฐฯมีต่อทั่วโลกอาจสูงถึง 40% ของมูลค่าเศรษฐกิจโดยรวมในระยะเวลา 2-3 ปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขหนี้ต่างประเทศสุทธิที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรม และอาจเป็นปัจจัยบั่นทอนมูลค่าดอลลาร์และอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศอีกทอด

    ความเสี่ยงร้ายแรงก็คือ สหรัฐฯจำเป็นต้องระดมทุนจากภายนอกจำนวนมหาศาล ซึ่งนั่นจะดันให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกขยับขึ้น ผลที่ตามมาคือ การลงทุนและการขยายตัวทั่วโลกสะดุด


    *** ดูเหมือนเหตุการณ์จะคล้ายกับตอน IMF เตือนแบงก์ชาติไทยเรื่องระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท ก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง...
    ตอนนี้ก็คล้ายๆ กัน.. รัฐบาลอเมริกาไม่ฟังคำเตือน IMF
    นี่คือ จุดเริ่มของหายนะ... ผมเชื่อว่าปีนี้ น่าจะเป็นการล่มสลายของ "ระบบดอลลาร์" เพราะ ความเชื่อถือในดอลลาร์จะหายไปมาก ตอนนี้ทั่วโลกใช้ดอลลาร์เพื่อแลกเปลี่ยน และ สะสมเป็นเงินทุนสำรองถึง 70% ขณะที่ศก.อเมริกาใหญ่เพียง 1/3 ของโลก และปริมาณการค้าเพียง 1/4 ของโลกเท่านั้น โดยที่ปัจจุบันเกิดปัญหาการขาดดุลทั้ง 2 ด้านอย่างรุนแรง.. ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงมาก
    เพราะหากมีการใช้ดอลลาร์น้อยลง และมีการตั้ง WC (World Currency) ขึ้นโดยถ่วงน้ำหนักตามความสำคัญของขนาด GDP หรือ ปริมาณการค้าก็ตามแต่.. ดอลลาร์จะถูกลดความสำคัญไปมากกว่านี้ และ สิ่งที่ FED ประเมินไว้ว่า Dollar Crisis มีโอกาสเกิดน้อยมาก โอกาสอันนั้นก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
    โดยจุดเริ่มต้นหายนะของดอลลาร์ น่าจะเป็น การปลดสลักค่าเงินหยวนออกจากดอลลาร์.. ซึ่งคงจะเกิดขึ้นภายในครึ่งแรกของปีนี้เป็นแน่... และดอลลาร์จะยิ่งดิ่งหนักลงไปกว่านี้อีก โดยที่ yield ของพันธบัตรอเมริกาน่าจะดีดตัวสูงขึ้นไปด้วย ศก.ก็จะชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว
    การขาดดุลของอเมริกาจะลดลงมาก ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ศก.อเมริกาจะถูกปรับให้เปลี่ยนจากสภาพที่บริโภคเกินตัว ก่อหนี้สูงตปท.สุทธิถึง 25% GDP ในปัจจุบัน เปลี่ยนสภาพเป็นภาวะที่ "ชดใช้หนี้เก่า" ซึ่งก็คือ สภาวะคล้ายเมืองไทยหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง นั่นก็คือ จากขาดดุลการค้า เปลี่ยนเป็น ได้ดุล...
    ค่าเงินดอลล์อ่อน ทำให้ราคา commodity ซึ่งซื้อขายกันราคาเดียวทั่วโลก คิดเป็นดอลลาร์แล้วสูงขึ้น ตั้งแต่ น้ำมัน ปิโตรเคมี เหล็กและโลหะต่างๆ รวมไปถึงทองคำ หลายตัวเป็นต้นทุนการผลิต ซึ่งจะทำให้เกิด cost-push inflation ขึ้นในอเมริกาเป็นแน่... อดบ.ก็จะดีดตัวขึ้นสูง เพื่อดึงเงินเข้าปท. และ สูงตามอัตราเงินเฟ้อ
    และนั่นคือปัญหาอันยิ่งใหญ่ของอเมริกา และ โลก เพราะสภาพคล่องส่วนเกินอันเกิดจากการปั๊มเงินดอลลาร์สู่ตลาดโลก โดยไม่มีขีดจำกัด ระดับถึงกว่า 5 แสนล้านเหรียญต่อปี (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไหลกลับเข้าอเมริกาเอง)
    สภาพคล่องส่วนเกินเหล่านั้น และ อดบ.ที่ต่ำติดดินขนาดนี้ก็จะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว
    เครื่องยนต์ที่ฉุดให้โลกเติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คือ อเมริกาและจีน.. แต่ 2 ประเทศนี้กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ฟองสบู่อเมริกาคงจะแตกก่อน ขณะที่หลังจากเงินทะลักเข้าจีนมากๆ แล้ว ฟองสบู่ที่จีนก็คงจะแตกตามมาทีหลัง...

    ทั่วโลกอยู่ในภาวะฟองสบู่ จากสภาพคล่องเงินดอลลาร์ที่พิมพ์ออกมา และแลกกลับเป็นพันธบัตรอเมริกา เงินดอลล์ล้นโลก ไทยก็ไปรับฟองสบู่มาส่วนหนึ่งเห็นได้จากดุลชำระเงินเกินดุลอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา ก็ระวังให้ดีนะครับ... ว่าปีนี้จะแตก หรือ ปีหน้าจะแตกกันแน่

    ถ้าฟองสบู่มะกัน และ จีนแตก แล้ว ศก.ไทยจะโตปีนี้ 8% ได้หมูๆ ปีหน้า 10% สบายๆ ได้หรือ ผมสงสัยจริงๆ เลยครับ


    จากคุณ : เฟยหง - [ 10 ม.ค. 47 00:42:15 ]