ผู้บริหาร "อินไซด์" ปั่นเอง
ก๊วนปั่นที่ต้องจับตา เพราะกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้ คือ ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนเอง ที่เป็นหัวโจกต้นตอในการปั่น โดยนอกจากจะร่วมกับเครือข่ายของตัวเองแล้ว หลายกรณียังมีการชักชวน ขาใหญ่เข้าร่วมขบวนการด้วย เพื่อเพิ่มพละกำลังและวงเงินในการปั่นให้บรรลุผล
กรณีนี้ ผู้บริหารจะใช้ข้อมูลภายในที่ยังไม่มีการเปิดเผยเป็นเครื่องมือในการชักจูง ให้ขาใหญ่เข้าร่วมขบวนการ ซึ่งหุ้นที่จะปั่นในกรณีนี้ จึงไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นตัวเล็กเสมอไป อาจเป็นหุ้นขนาดกลาง แต่ที่จะต้องมีคือข้อมูลภายในซึ่งเป็นข่าวจริงที่จะมีผลต่อราคาหุ้นโดยตรง
ผู้บริหารจะบอกข้อมูลให้ขาใหญ่รู้ว่า บริษัทกำลังจะมีข่าวดีอะไร และตั้งเป้าที่จะปั่นราคาให้ ปรับขึ้นไปได้ในระดับใด กรรมวิธีก็คล้ายๆ เดิมคือเริ่มเข้าทยอยตุนเก็บหุ้นในราคาต่ำ โดยผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่จะใช้บัญชีของเครือข่ายที่จะทำให้ไม่สามารถเชื่อมโยงมาถึงตัวได้ หลังจากนั้น จะมีการเปิดเผยข่าวดีออกมา โดยผู้บริหารให้สัมภาษณ์หรืออาจจะแจ้งตลาด หลักทรัพย์ตามข้อบังคับที่ถูกต้อง
จากนั้นก็จะส่งสัญญาณให้เครือข่ายเข้าไปไล่ดันราคาหุ้นให้พุ่งขึ้นมา เมื่อมีรายย่อยผสมโรงเข้ามาไล่ซื้อต่อยอด เมื่อได้ตามราคาเป้าหมาย ก็จะฉวยจังหวะนี้ทยอยชิงขายทำกำไรออกมา
หรือบางครั้งเพียงแค่มีข่าวดีออกมา นักลงทุนก็จะเข้าไปไล่ซื้อ ยิ่งโถมเข้ามามาก ราคาก็ทะยานขึ้น ก๊วนปั่นอาจจะเข้าผสมโรงระยะหนึ่งเพื่อให้ตายใจ แต่ในอีกทางหนึ่งก็จะทยอยขายหุ้นต้นทุนต่ำออกมา หลังจากนั้นหลายครั้งที่พบว่า รายย่อยอาจยัง "เล่นกันเอง-ปั่นกันเองต่อ" ใครเข้ามาไล่ซื้อ "รับไม้สุดท้าย" ก็เจ็บตัวขาดทุนไปตามระเบียบ ขณะที่ก๊วนปั่นออกตัวขายหุ้นฟันกำไรตุงกระเป๋าไปแล้ว
ซึ่งการใช้ข้อมูลอินไซด์ของก๊วนผู้บริหารนี้ พบว่าหลายครั้งจะมีการ "ขยักข่าว" หรือค่อยๆทยอยปล่อยข่าวดีออกมาเป็นระลอก เพื่อให้สามารถกระชากราคาหุ้น ให้ขยับปรับขึ้นได้หลายรอบ ที่ข่าวอินไซด์ถูกปล่อยออกมาพร้อมๆ กับการตั้งราคาเป้าหมาย เช่น ขยักแรกตั้งเป้า 25 บาท ขยักต่อไปเป้า 30 บาท
ปล่อยข่าวรอบแรกก็จะปั่นให้ถึง 25 บาท แล้วขายทำกำไร ปิดธุรกรรมออกมาก่อน จากนั้นทิ้งช่วงเวลาไว้ ระยะหนึ่ง เพื่อเข้าไปทยอยเก็บหุ้นที่ปรับลงมาต่ำกว่า 25 บาท และปล่อยข่าวออกมาอีกขยัก เพื่อตั้งเป้าปั่นรอบต่อไปให้ถึง 30 บาท งานนี้เรียกว่า "เล่นรอบ" วนฟันกำไรกันได้หลายรอบ
อาชีพใหม่รับจ้างปั่น
สำหรับกลุ่มสุดท้ายที่เข้ามาปั่นหุ้นและทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ยึดถือเป็นอาชีพใหม่ที่น่า
ตกใจขณะนี้คือ รับจ้างปั่นหุ้น ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและ รู้พฤติกรรมนักลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอย่างดี คนเหล่านี้อาจมาจากที่ปรึกษาการเงิน ทั้งที่ยังทำงานประจำอยู่และที่ออกมาตั้งตัวรับจ้างปั่นโดยเฉพาะ ได้ผลตอบแทนจากส่วนแบ่งกำไรจากพอร์ตของผู้บริหาร (นอมินี) และได้กำไรตรงจากการเข้าไปลงทุนของเครือข่ายตัวเอง
วิธีการทำงานคือจะเข้าไปเสนอตัวกับผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่เป็นนักเล่นหุ้นซึ่งส่วนใหญ่ มักคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว และวางแผนในการสร้างเรื่องราว ที่หนุนให้การปั่นมีเหตุมีผลมีน้ำหนัก ซึ่งเรื่องราวที่ว่าจะอยู่บนหลักการที่ทำได้ ทั้งการแตกพาร์ เพิ่มทุนแจกวอแรนต์ จัดกลุ่มธุรกิจใหม่ แต่งตัวเอาบริษัทลูกเข้าตลาด หรือแม้กระทั่งเจรจาร่วมพันธมิตร ซึ่งข่าวต่างๆ นี้จะถูกวางแผนดำเนินการ อย่างมืออาชีพและค่อยๆทยอยปล่อยข่าวออกมา เพื่อให้นักลงทุนคล้อย ตามผสมโรงเข้ามาไล่ราคาตาม และเพื่อให้สอดคล้องกับจังหวะในการเข้าซื้อและ ขายหุ้นของก๊วนปั่นมือปืนรับจ้าง
ว่ากันว่า ก๊วนปั่นทั้ง 3 กลุ่มข้างต้นนี้ สามารถทำกำไรในแต่ละรอบไม่ต่ำกว่า 100-500 ล้านบาท ในเวลา 3-7 วัน มากกว่าบางบริษัทที่ทำธุรกิจมาทั้งปี!!!
0 0 0 0 0
จะเห็นว่า ทุกขั้นตอนของกระบวนการปั่นหุ้นในยุคนี้ สมัยนี้ มีหลักการ ฉับไว รวดเร็ว ไร้ร่องรอย กระทำการตอนตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นและร้อนแรง หุ้นทุกตัวที่ถูกปั่นจึงมักประสบผลสำเร็จ ราคาวิ่งเกินปัจจัยพื้นฐาน และแม้รายย่อยบางกลุ่มบางคนจะได้กำไรจากการเข้าไล่ซื้อตาม แต่สุดท้าย มักติดหุ้นในราคาต้นทุนสูงมากกว่า
มีคำถามว่า รายย่อยจะมีโอกาสเข้าไปหากำไรร่วมกับขบวนการปั่นหุ้นได้หรือไม่!??
ผู้เชี่ยวชาญในวงการตลาดหุ้นชี้แนวทางว่า ในช่วงปี 2546 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นส่วนใหญ่ ที่ปรับขึ้นได้ทุกตัวนั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นกำไรไหลเข้ากระเป๋ารายย่อย เพราะด้วยปัจจัยพื้นฐานภาพรวมตลาดที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างชัดเจน รายย่อยที่เข้าไปผสมโรง ต่อในทอดแรกๆ ก็ยังขายทำกำไรออกมาได้ ตามที่นักกลยุทธ์แนะติดปากว่า "ตามข่าวให้ทัน เข้าให้ถูกจังหวะ" และ "เข้าเร็ว-ออกเร็ว" แต่กำไรที่จะได้ก็มีจำกัด วัดกันไม่ได้กับก๊วนปั่นที่มีต้นทุนตุนไว้ต่ำกว่าและ รู้จังหวะในการขายที่ราคาสูงกว่า
เพราะเป็นผู้ควบคุมราคาเอง!!
แต่ที่อันตรายกว่านั้น คือรายย่อยที่ได้กำไรแล้ว "ติดใจ" ขายออกไปแล้ว แต่ยังเห็นราคาวิ่งต่อได้ จึงกลับเข้าไปรับใหม่ในราคาสูงกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นช่วงไม้สุดท้าย ที่ก๊วนปั่นเริ่มทยอยออกของแล้ว
สุดท้าย ผลพวงจากการ "ติดใจ" กลายเป็น "ติดหุ้น" ทุนหายกำไรหด!!
แต่ขอเตือนว่า ตลาดหุ้นปี 2547 แม้ทุกสำนักวิเคราะห์จะฟันธงว่าดัชนีหุ้นยังไปได้ต่อว่ากันไปถึง 800-900 จุด แต่ดัชนีจะสวิงแกว่งตัวขึ้น-ลงผันผวนมาก และการลงทุนในระดับดัชนีที่สูงกว่า นอกจากจะเล่นยากแล้ว ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นไปด้วย การเล่นเก็งกำไรระยะสั้น ผสมโรงไล่ราคาตามข่าวลือ เหมือนวิ่งลงหลุมพรางที่ก๊วนปั่นขุดล่อเอาไว้ โอกาสบาดเจ็บขาดทุนจึงมีมากกว่าที่จะได้กำไรติดปลายนวม ถ้าไม่แน่จริง ไม่ทันข่าว ไม่ทันเกมส์...อย่าดีกว่า
แต่ถ้าคิดว่าเจ๋งจริง...และยอมรับความเสี่ยงที่สูงได้ ก็ลองวัดดวงดู!!!
และต้องคอยลุ้นกันดูว่า เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คนใหม่ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ประกาศในวันเข้ารับตำแหน่งไม่นานมานี้ว่า จะนำกลยุทธ์ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมมาจัดการปั่นหุ้น จะเป็นผลสำเร็จหรือตามทันกลยุทธ์ ของก๊วนปั่นหุ้นซึ่งมีการปรับตัวตลอดได้ทันเวลาหรือไม่.
ทีมข่าวเศรษฐกิจ
Copy right (c) 2003 by Vacharaphol Co.,Ltd. 1 Viphavadirangsit Rd. Bangkok 10900 Thailand Tel. (662) 272-1030 Fax. (662) 272-1324
จากคุณ :
taweesak19
- [
16 ม.ค. 47 09:59:59
]