copy มาจาก http://www.bangkokbiznews.com/road/index.html
ตลาดหุ้นปี 2546 สร้าง มนุษย์ทองคำ เกลื่อนตลาด มาร์เก็ตติ้งบางโบรกฯ ปีเดียวโกยรายได้กว่า 10 ล้านบาทเข้ากระเป๋า แถมโบนัสไม่น้อยกว่า 7-10 เดือน
ผลพวงมูลค่าการซื้อขายพุ่งกระฉูดเฉลี่ยทั้งปี 2546 ประมาณ 1.87 หมื่นล้านบาทต่อวัน มาร์เก็ตติ้งรับค่าเหนื่อยไม่รวมโบนัสต่ำสุด 6 หมื่นบาทต่อเดือน พวกมือโปรดูแลพอร์ตรายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน รับคอมมิชชั่นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อเดือน
ปี 2547 คาดธุรกิจโบรกเกอร์ยังสดใสต่อเนื่อง ถ้าวอลุ่มยังแน่น 3-4 หมื่นล้านบาทต่อวัน มาร์เก็ตติ้ง 3,859 คน เตรียมเฮ รับค่าเหนื่อยไม่ต่ำกว่าคนละ 2 แสนต่อเดือน
----------------------------------------
นับจากต้นปี 2546 เป็นต้นมา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้น 116% หรือเพิ่มขึ้น 469 จุด ดัชนีปิดสิ้นปีที่ระดับ 772.15 จุด เป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี นับแต่ปี 2541 เป็นต้นมา
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหมุนเวียนเฉลี่ยต่อวัน พุ่งขึ้นถึง 18,768 ล้านบาท เทียบกับปี 2545 ที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยเพียง 8.36 พันล้านบาทต่อวัน คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 121%
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือ Total Market Capitalization เพิ่มขึ้นจาก 1.99 ล้านล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2545 เป็น 4.5 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 124%
สถิติดังกล่าวทำให้อาชีพ มาร์เก็ตติ้ง หรือ เจ้าหน้าที่การตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ ร่ำรวยขึ้นทันตาเห็น ได้ค่าเหนื่อยชนิดที่ไม่ต้องออกแรง เพราะวอลุ่มการซื้อขายทะลักเข้ามาเองทั้งจากรายใหญ่ รายย่อย จนคีย์คำสั่งให้ลูกค้าแทบไม่ทัน
ไม่เพียงมาร์เก็ตติ้ง จะได้รับค่าตอบแทนที่เป็นค่าคอมมิชชั่นซื้อขายหุ้นสูงลิบลิ่ว เท่านั้น โบรกเกอร์ต้นสังกัดต่างก็มีผลกำไรเติบโตขึ้นถ้วนหน้า
จะเห็นได้ว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มหลักทรัพย์ งวด 9 เดือนแรกปี 2546 สิ้นสุด 30 ก.ย.2546 มีกำไรสุทธิรวมกันถึง 1.56 พันล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 1.03 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 52%
เฉพาะงวดไตรมาส 3/2546 กำไรสุทธิของบริษัทหลักทรัพย์รวมกันกว่า 1.17 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิเพียง 64 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 1,732%
และกำไรจะเติบโตมากในไตรมาสที่ 4/2546 ที่ผ่านมา วอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงถึง 33,987 ล้านบาท
กำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ มาจากรายได้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3 เป็นต้นมา เฉลี่ยปริมาณการซื้อขายกว่า 2 หมื่นล้านบาท ต่อวัน
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ยังมีรายได้ค่าธรรมเนียมจากการนำบริษัทจดทะเบียนรายใหม่เข้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากถึง 21 บริษัท และยังมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์เข้ามาเสริมด้วย
ถือว่าครึ่งหลังของปีนี้ ธุรกิจหลักทรัพย์สดใสอย่างมากและค่าคอมมิชชั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้โบรกเกอร์โชว์กำไรได้ยอดเยี่ยม เพราะรายได้กว่า 80% จะมาจากด้านนี้เป็นหลัก ซึ่งเป็นรายได้ที่เข้ามารวดเร็ว เพราะอิงอยู่กับภาวะตลาดหุ้นเป็นหลัก นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าว
ถ้าแยกแยะลงไปในรายบริษัท จะพบว่า บริษัทหลักทรัพย์ที่มีกำไรเติบโตสูงสุดงวดไตรมาส 3/2546 ได้แก่ บล.ซิกโก้ ที่มีอัตราการขยายตัวของกำไรสูงสุดถึง 2,850% โดยมีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท รองลงมา บล.เอบีเอ็น แอมโร เอเซีย มีกำไรสุทธิ 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,192% และ บล.แอสเซท พลัส ซึ่งอยู่ระหว่างการควบรวมกิจการกับ บล.เอบีเอ็น แอมโร เอเซีย มีกำไรสุทธิ 133 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 478%
นอกจากผลกำไรของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น จะเป็นตัวชี้ให้เห็นว่า รายได้ของคนทำงานในธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมากแล้ว
ตัวเลขค่าใช้จ่ายของบริษัทหลักทรัพย์ ที่ ปูด ขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและสอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนการกลับมาของมนุษย์ทองคำอย่างแท้จริง
จากการรวบรวมข้อมูลค่าใช้จ่ายพนักงานของบริษัทหลักทรัพย์ทั้งอุตสาหกรรมหลักทรัพย์งวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือน สิ้นสุด 30 ก.ย.2546 สะท้อนภาพกลับว่า รายได้ของพนักงานในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ได้ ?เพิ่มขึ้น? ทั้งระบบ
โดยช่วงไตรมาส 3 อัตราค่าใช้จ่ายด้านพนักงานของกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์จำนวน 16 บริษัท (ยกเว้นบล.พัฒนสิน ,กิมเอ็งและทรีนีตี้ ที่มีงวดบัญชีแตกต่าง) เพิ่มขึ้นประมาณ 97% จากมูลค่า 1.12 พันล้านบาท ของไตรมาส 3/2545 เพิ่มเป็น 2.21 พันล้านบาท
โดย ?บล.แอสเซท พลัส? มีค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงสุดถึง 319% จาก 26.62 ล้านบาท เพิ่มเป็น 111.60 ล้านบาท หรือคิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 85 ล้านบาท
รองลงมาได้แก่ บล.ซีมิโก้ เพิ่มขึ้น 215% จากมูลค่า 82 ล้านบาท เพิ่มเป็น 259 ล้านบาท บล.ฟินันซ่า เพิ่มขึ้น 188% จาก 12 ล้านบาท เพิ่มเป็น 34 ล้านบาท บล.ซิกโก้ เพิ่มขึ้น 171 % จาก 25 ล้านบาท เพิ่มเป็น 69 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายพนักงานในงบการเงินงวด 9 เดือน ปี 2546 ของอุตสาหกรรมเงินทุนและหลักทรัพย์โดยรวม ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 37% จาก 3.52 พันล้านบาท เพิ่มเป็น 4.81 พันล้านบาท คิดเป็นเม็ดเงินเพิ่มขึ้นราว 1.3 พันล้านบาท
บริษัทที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายพนักงานมากสุดได้แก่ บล.ฟินันซ่า 195% เพิ่มจาก 29 ล้านบาท เป็น 86 ล้านบาท รองลงมา บล.แอสเซท พลัส เพิ่มขึ้นจาก 76 ล้านบาท เป็น 175 ล้านบาท หรือ 132%
ส่วน ?บล.กิมเอ็ง? ซึ่งกินส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด มีค่าใช้จ่ายพนักงานงบการเงินงวด 1 ปีสิ้นสุด 31 มี.ค. 2546 เพิ่มขึ้นจาก 370 ล้านบาท เป็น 494 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34%
ตรงกันข้ามกับ บล.พัฒนสิน ที่มีค่าใช้จ่ายลดลง 10% และบล.ทรีนีตี้ ลดลง 31% สำหรับค่าใช้จ่ายพนักงานงวด 6 เดือนสิ้นสุด 30 มิ.ย.2546
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหุ้น ก็มีค่าใช้จ่ายพนักงานพุ่ง ?กระฉูด? เช่นกัน
โดยค่าใช้จ่ายพนักงานในงบการเงินงวด 6 เดือน สิ้นสุด 30 มิ.ย. 2546 ของ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส เพิ่มเป็น 73 ล้านบาท ด้าน บล.ไซรัส ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น จาก 4.34 แสนบาท เป็น 35 ล้านบาท
ส่วน บล.ซี แอล เอส เอ เพิ่มขึ้น 103% จาก 20 ล้านบาท ช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็น 41 ล้านบาท, บล.เจ.พี.มอร์แกน เพิ่มขึ้น 22% จาก 69 ล้านบาท เป็น 84 ล้านบาท
ปี 46มาร์เก็ตติ้งรับค่าเหนื่อย 5,875 ล้านบาท
จากการคำนวณรายได้ หรือค่าตอบแทนจากค่าคอมมิชชั่นของเจ้าหน้าที่การตลาดแต่ละโบรกเกอร์ โดยนำตัวเลขมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งปี มาคิดค่าคอมมิชชั่นที่บริษัทได้รับจากลูกค้า 0.25% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งปี แล้วหักจ่ายให้แก่มาร์เก็ตติ้ง 25% ของรายได้ที่บริษัทได้รับทั้งหมด
จากนั้นนำมาหารด้วยจำนวนมาร์เก็ตติ้งของแต่ละบริษัท เพื่อคำนวณหารายได้เฉลี่ยของมาร์เก็ตติ้งต่อคน และต่อเดือน พบว่า โบรกเกอร์ในตลาดหุ้นจำนวน 37 ราย มีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่าง ?ก้าวกระโดด? โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9.4 ล้านล้านบาท เทียบกับสิ้นปี 2545 ที่มีมูลค่าเพียง 4.09 ล้านล้านบาท คิดเป็นเม็ดเงินเพิ่มขึ้น 5.31 ล้านล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 130%
ทำให้โบรกเกอร์ทั้งระบบมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่น (อย่างเดียว ไม่รวมรายได้อื่น)รวมกันถึง 23,502 ล้านบาท และเมื่อหัก 25% เป็นรายได้ในส่วนที่มาร์เก็ตติ้งจะได้รับสูงถึง 5,875 ล้านบาท
ณ สิ้นปี 2546 มาร์เก็ตติ้งทั้งระบบมีอยู่จำนวน 3,859 คน คิดเป็นค่าตอบแทนในรูปค่าคอมมิชชั่น (อย่างเดียวไม่รวมโบนัส) เฉลี่ยคนละ 1.52 ล้านบาท หรือมีรายได้เฉลี่ย/คน/เดือน 127,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของแต่ละโบรกเกอร์จะพบว่า มาร์เก็ตติ้งที่มีรายได้เฉลี่ย/คน/เดือนสูงสุด 5 อันดับแรก จะเป็นโบรกเกอร์ฝรั่ง ที่ส่วนใหญ่จะมีลูกค้าสถาบัน หรือลูกค้ารายใหญ่ซื้อขายผ่านบริษัทในสัดส่วนที่สูง
นอกจากนั้น แม้ว่ามูลค่าการซื้อขายผ่านบริษัทจะเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่การที่จำนวนมาร์เก็ตติ้งของโบรกเกอร์นอกเหล่านี้มีจำนวนน้อยกว่าโบรกเกอร์ที่เน้นลูกค้ารายย่อย จึงทำให้มาร์เก็ตติ้งของโบรกเกอร์ฝรั่ง ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยต่อคนในอัตราที่สูงขึ้นไปกว่าโบรกเกอร์ไทย หรือโบรกเกอร์สัญชาติเอเชีย
โบรกเกอร์เหล่านี้ ได้แก่ บล.เอชเอสบีซี (HSBC),บล.ยูบีเอส(UBS),บล.ไอเอ็นจี (INGT),บล.เครดิต สวิส เฟิร์สท์ บอสตัน(CLFB)และซี แอส เอส เอ(CLSA)
?บล.เอชเอสบีซี? เป็นโบรกเกอร์ที่มีเจ้าหน้าที่การตลาดเพียง 1 คน โดยทั้งปี 2546 บริษัทมีมูลค่าการซื้อขาย 4.14 หมื่นล้านบาท ทำให้รายได้มาร์เก็ตติ้งของโบรกเกอร์แห่งนี้มีรายได้สูงถึง 25.92 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 2.16 ล้านบาท/เดือน
รองลงมา ?บล.ยูบีเอส? บริษัทมีรายได้จากค่าคอมมิชชั่น 528 ล้านบาทต่อปี บริษัทมีจำนวนมาร์เก็ตติ้ง 8 คน ทำให้มีรายได้เฉลี่ย/คน/ปี 16.51 ล้านบาท หรือเฉลี่ยคนละ 1.8 ล้านบาท/เดือน
ขณะที่โบรกเกอร์ที่มีสัดส่วนลูกค้ารายย่อยซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านจำนวนมาก และมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด 5 อันดับแรก เจ้าหน้าที่การตลาดของโบรกเกอร์เหล่านี้ จะได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยน้อยกว่ามากค่อนข้างมาก เช่น บล.กิมเอ็ง บล.ซีมิโก้ บล.เอบีเอ็น แอมโร เอเซีย บล.เคจีไอ และบล.พัฒนสิน
เฉลี่ยค่าตอบแทนต่อคน จะอยู่ระหว่าง 9.5 หมื่น-1.5 แสนบาท/เดือนเท่านั้น
อย่างกรณีของ ?บล.กิมเอ็ง? ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ในปี 2546 ได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายหุ้นอย่างเดียวสูงถึงปีละ 2,690 ล้านบาท และมีเจ้าหน้าที่การตลาดมากสุดถึง 387 คน เฉลี่ยแล้วมาร์เก็ตติ้ง 1 คน ของบล.กิมเอ็ง จะมีรายได้คนละประมาณ 140,000 บาท/เดือน หรือประมาณ 1.74 ล้านบาท/คน/ปี
ขณะที่ ?บล.ซีมิโก้? มีมูลค่าการซื้อขายมากเป็นอันดับ 2 ในปีที่ผ่านมามีรายได้จากค่าคอมมิชชั่นซื้อขายหุ้นอย่างเดียว 1,690 ล้านบาท มีจำนวนมาร์เก็ตติ้งทั้งหมด 230 คน คิดเป็นรายได้เฉลี่ยของมาร์เก็ตติ้ง 1.84 ล้านบาท/คน/ปี หรือมีรายได้เฉลี่ยคนละ 150,000 บาท/เดือน
สำหรับแนวโน้มของค่าตอบแทนจากค่าคอมมิชชั่นของมาร์เก็ตติ้งปี 2547 คนในวงการมาร์เก็ตติ้ง คาดว่า จะมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าในปี 2546 เพราะโบรกเกอร์หลายแห่งเริ่มออกมาคาดว่าทั้งปีจะมีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยต่อวันไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
ตัวเลขนี้เป็นไปได้เพราะไตรมาส 4/2546 วอลุ่มต่อวันสูงถึง 33,987 ล้านบาท ถ้าไม่ต่ำกว่าที่คาดมาร์เก็ตติ้งน่าจะมีรายได้เฉพาะคอมมิชชั่นอย่างเดียวไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2 แสนบาท ไม่รวมโบนัสพิเศษที่คาดว่าจะได้อีก 7-10 เดือน มาร์เก็ตติ้งรายหนึ่งกล่าว เพราะเขาเชื่อว่าถ้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป ปริมาณการซื้อขายจะไม่ลดลงอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับที่ ?สมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส ที่มองว่า วอลุ่มการซื้อขายตลาดหุ้นในปีหน้า จะเพิ่มขึ้นกว่าปีนี้ โดยประมาณการว่า เฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ราวๆ 2.8-3 หมื่นล้านบาท
แน่นอนว่า ค่าตอบแทนของมาร์เก็ตติ้งก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัวปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็ยังคงมีรายจ่ายส่วนใหญ่ให้กับเจ้าหน้าที่การตลาดเป็นหลัก ไม่น้อยกว่า 25-30%
รวมถึงแนวโน้มการจ้างงานในธุรกิจหลักทรัพย์ก็จะต้องรับคนเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัทอีกด้วย
เพราะฉะนั้นค่าตอบแทนของคนในวงการหลักทรัพย์ จะต้องสูงขึ้นตามการทะยานขึ้นของดัชนีราคาหุ้น
นี่คือเส้นทางของมนุษทองคำภาค 2 ที่กำลังกลับมา
จากคุณ :
prettypetite
- [
17 ม.ค. 47 23:20:46
]