I2803672 === ต้องเอามาฝากครับ ความเห็นคุณ IH === []

ความคิดเห็นที่ 1

ผ่านมาอาจจะรู้สึกว่าเวลามีเพื่อนถามเกี่ยวกับพอร์ตอาจจะรู้สึกว่าผมไม่ค่อยชอบหุ้นตัวไหนเลย ก็เพราะว่าผมมองตลาดปีนี้ไม่ดีนักและราคาหุ้นหลายตัวก็แพงเกินไป และผมเองตอนนี้ก็คิดว่าโอกาสที่หุ้นจะไป 900 หรือ 1000 จุดในครึ่งปีหลังคงจะเลือนรางเต็มที แม้ว่าสถานการณ์ภาคใต้ในอนาคตจะคลี่คลายไปได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงจากราคาน้ำมันและ commodity ที่แพงขึ้นมามาก แต่ยังไงก็คงไม่ถึงกับหมดหวังครับยังมีความหวังอยู่บ้าง ช่วงนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะไม่มีเรื่องดีๆ แต่เราไม่ควรคาดหวังกับอะไรที่ลมๆ แล้งๆ ความหมายของผมก็คือ หากจะลงทุนในหุ้นตอนนี้ปีนี้ ควรเลือกแต่หุ้นดีๆ ครับ หุ้นเน่า หุ้นปั่นอาจจะต้องหลีกเลี่ยงไปก่อนเพราะคนติดหุ้นเหล่านี้ราคาสูงเยอะครับยังไงถ้าไม่มี story จริงๆ เจ้ามือไม่กล้าไล่แน่ครับ

ผมฝากข้อคิด ให้เพื่อนๆ นะครับ

อันแรกคือ หุ้นที่ลงมามากไม่ได้หมายความว่าหุ้นตัวนั้นจะต้องถูกเสมอไปนะครับ ดังนั้นหากจะนำเงินที่มีอยู่มาช้อนซื้อหุ้นตอนนี้ ควรพิจารณา p/e หรือ valuation อื่นๆ ประกอบมากกว่าที่จะดูว่ามันลงมาแล้วเท่าไหร่นะครับ

อันที่ 2 คือ อย่าถอนดอกไม้และเก็บวัชพืช คือ อย่าขายหุ้นดีๆ ใน port เพราะเหตุผลเพียงว่ามันกำไร และอย่าถือหุ้นเน่าในพอร์ตเพราะมันยังขาดทุนอยู่ ถ้าเห็นว่าหุ้นเน่าที่ถืออนาคตไม่จะไม่ดีขึ้น ควรตัดใจขายออกไปดีกว่าครับ

เมื่อต้นปีผมเขียนกระทู้เกี่ยวกับ "หุ้นอสูรกาย " หวังว่าคงจะไม่มีเพื่อนคนไหนไปลงทุนในหุ้นอสูรกายนะครับ

สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังจะลงทุนช่วงนี้หรือเพิ่งขายหุ้นไปและกำลังหาตัวซื้อใหม่ผมก็อยากให้ใช้ความระมัดระวังนะครับ ผมไม่อยากแนะนำหุ้นรายตัวบ่อยนักนะครับ ถ้าให้พูดภาพกว้างแต่คงจะเดาตัวหุ้นไม่ยากนัก ผมคิดว่าปีนี้ธุรกิจสิ่งพิมพ์ยังโตได้มากอยู่ครับ ปีละ 15-20% แต่ต้องระวังเรื่องราคากระดาษที่แพงขึ้นเหมือนกัน ดังนั้นหุ้นที่ทำธุรกิจร้านหนังสือจึงน่าสนใจกว่าหุ้นหนังสือพิมพ์ครับ ส่วนธุรกิจมือถือก็น่าจะไปได้ดีต่อเนื่องครับแต่ผมชอบ no. 1 มากกว่าครับ ธุรกิจโรงพยาบาลก็น่าจะมีภาพระยะยาวที่ดีอยู่ ส่วนหุ้น commerce ก็น่าสนใจครับเพราะมีกระแสเงินสดที่ดี โดยเฉพาะตัวที่เกี่ยวข้องกับตลาดบ้านและอยู่ในช่วงขยายสาขาครับ และหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มอื่นๆ ที่มีการจ่ายปันผลสูงกว่า 5% ต่อปีก็ยังน่าสนใจอยู่ครับ ส่วนหุ้นที่ควรจะระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงเพราะผมคิดว่าได้ไม่คุ้มเสียคือกลุ่มหลักทรัพย์ กลุ่ม commodity ทั้งหลายครับ

อ้อ อย่าซื้อหุ้นตามราคาเป้าหมายในบทวิเคราะห์ โดยปราศจากการวิเคราะห์ถึงความสมเหตุสมผลด้วยนะครับ เพราะราคาเป้าหมายนั้นปรับได้ทุกเมื่อครับไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเราก่อน

แล้วก็อย่าซื้อหุ้นตามคำแนะนำของรายการโทรทํศน์ วิทยุ โดยปราศจากการวิเคราะห์เช่นกันครับ ผมมีโอกาสได้ดูและฟังการบอกเล่าถึงเนื้อหาของหลายรายการแล้วรู้สึกว่าน่าห่วงครับ บางทีชี้นำเกินไปครับ
ผมอ่านบทวิเคราะห์ของหุ้นทีทำธุรกิจให้เช่าป้ายโฆษณาแห่งหนึ่ง เห็นบทวิเคราะห์ประมาณการเติบโตของกำไรปีนี้โดยให้สมมุติฐานว่า จะมีรายได้เข้ามาเยอะจากป้ายใหม่ๆ ริม ถ. วิภาวดี ด้านขาออก ตรงตอม่อ Hopewell ซึ่งผมขับรถผ่านหลายทีแล้วก็ยังไม่มีโฆษณาเข้ามาเลย และดูจากตำแหน่ง ขนาดป้ายแล้ว ผมมองไม่ค่อยเห็นป้ายจากการขับรถเท่าไหร่นะครับ เลยไม่แน่ใจเลยครับว่าจะหาลูกค้าได้มากนัก ดังนั้นหากสิ่งที่ผมเห็นมันเป็นอย่างนั้น ราคาเป้าหมายที่อยู่ใน research ก็ไม่น่าจะสมเหตุสมผลครับ

นี่คือตัวอย่างของการวิเคราะห์บทวิเคราะห์อีกทีหนึ่งครับ หากเราทำอย่างนี้โอกาสที่จะติดหุ้นราคาสูงจะน้อยลงครับ

การดู P/e นั้นผมอยากให้ดู P/E เทียบกับกำไรปีก่อน ปีนี้และอนาคตด้วยครับ เพราะบางตัวแม้ p/e ต่ำแต่ก็มีเหตุปัจจัยที่อาจจะทำให้กำไรในอนาคตลดลง เช่น หุ้นอสังหาฯ หรือหุ้นที่มีต้นทุนหลักเป็นค่าพลังงาน น้ำมัน เม็ดพลาสติกหรือแร่ธาตุอื่นๆ หรือบริษัทที่มีปัญหาเฉพาะตัวครับ หรือหุ้น p/e ต่ำแต่เป็นหุ้น commodity อันนี้ก็อาจจะยังน่ากลัวครับ

ตอนนี้ดอกเบี้ยเงินฝาก 1% อนาคตคงจะขึ้นเป็นซัก 3-4% ดังนั้น หุ้นตัวไหนที่มีประวัติการจ่ายปันผลเกิน 5% ซึ่งยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ ผมคิดว่าน่าสนใจครับ ส่วน P/E นั้นหากต่ำกว่า 14 เท่าของกำไรปีที่แล้วได้ก็ดีครับ ส่วน p/bv นั้นถ้าต่ำได้ก็ดีครับ ส่วนตัวที่สูงๆ ต้องดูความสมเหตุสมผลครับ อย่างหุ้นบางตัวมี intangible asset เช่น brand name หรือการผูกขาดทางธุรกิจอยู่ ก็อาจจะมี p/bv สูงได้ครับ
อย่างหุ้น A ราคาปัจจุบัน 50 บาท

EPS ปี 2545 2.5 บาท P/E ( ใช้ราคาตลาดตอนนี้ ) 20 เท่า

EPS ปี 2546 5 บาท P/E 10 เท่า

EPS ปี 2547 ????? บาท

สิ่งที่เราต้องตอบคำถามให้ได้คือ

1 บริษัท A ทำธุรกิจอะไร
2. กำไรที่เพิ่มขึ้นในปี 2546 เกิดจากอะไร
- หากเกิดจากการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ควรรู้ว่าตอนนี้ใช้กำลังการผลิตเท่าไหร่แล้ว หากตอนนี้ใช้กำลังการผลิต 100% ปีนี้จะมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามามั้ย หากมีการเพิ่มกำลัง คิดว่า demand ของตลาดจะรับไหวมั้ย ถ้าไม่มีการขยาย กำไรจะเพิ่มจากการปรับราคาได้อย่างเดียว แล้วมีโอกาสปรับราคามั้ย
- ถ้าเกิดจากการขยายสาขา ปีนี้และปีหน้าจะขยายอีกแค่ไหน
- ถ้าเกิดจากราคาขายที่แพงขึ้น ในขณะที่ใช้กำลังการผลิตเท่าเดิม แสดงว่าหุ้น A เป็น commodity แล้วล่ะ ดังนั้นต้องดูแนวโน้มราคา commodity ตัวนั้น และต้องท่องไว้เสมอว่าโอกาสที่ eps จะลงไปเหลือ 2.5 นั้นก็มี เพราะกำไรต้องขึ้นลงเป็น cycle

เมื่อตอบคำถามเหล่านี้ได้หมดหรือเกือบหมดจะทำให้เราพอจะประมาณ eps ปี 47 และปีต่อๆ ไปได้ครับ

เขียนโดย คุณ invisible hand

=========
แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 47 21:40:21

จากคุณ : buglife - [ 7 พ.ค. 47 21:37:22 ]