ความคิดเห็นที่ 1 เงียบจังครับ สงสัยวันนี้หุ้นตกเลยไม่ค่อยมีอารมณ์เข้ามาอ่านกระทู้กัน อย่าวิตกกังวลกันมากเกินเหตุนะครับ เดี๋ยวแรงกรรมแห่งความกลัวจะทำให้จิตใจหดหู่ยาวนาน (ขอยึมปรมาจารย์ คลาย เครียด มาใช้ ไม่ว่ากันนะครับ 5555) ลองดูนะครับว่า ผมได้รับคำตอบมาอย่างไรบ้าง - การก่อการร้ายที่ลุกลามไปทั่วในปัจจุบันมีสาเหตุมาจากอะไร และจะส่งผลอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจของนานาประเทศบ้าง เขาบอกผมว่า คนส่วนใหญ่ได้คิดถึงประเด็นนี้เรียบร้อยแล้ว ผมถามช้าไปหน่อยไหม ผมก็หัวเราะ และบอกเขาว่า คำถามท่อนแรกอาจจะช้าไป แต่คำถามท่อนหลังเป็นเรื่องของอนาคต แต่ที่มาที่ไปน่าจะมาจากท่อนแรก เขาหัวเราะบ้าง แล้วตอบดังนี้ครับ หลายๆคนคิดว่า เป็นเพราะอเมริกา ไปโจมตี อิรัก โดยใช้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งตั้งแต่ก่อนโจมตี ก็มีผู้รู้หลายๆคนออกมาให้ความเห็นกันอยู่แล้วว่า การก่อการร้ายจะขยายตัวออกไปทั่วโลก ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆไม่ใช่หรือ เขาเองก็คิดว่าสาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่ถูกต้องมากอันหนึ่ง แต่ก็ให้ข้อสังเกตุไว้ประการหนึ่งคือ จริงๆแล้ว อเมริกา เป็นผู้ดำเนินการจริงๆหรือ ผมคิดว่าใครมีอิทธิพลต่อการเมืองของอเมริกามากที่สุดในปัจจุบัน ผมก็ตอบอย่างไม่ลังเลว่าคือ อิสราเอล ครับ เขาบอก ถูกต้อง แต่ไม่ว่าผู้มีอิทธิพลรายนี้จะคิดอะไรอยู่ และต้องการให้อเมริกาทำอะไรก็ตาม ชาวโลกส่วนใหญ่จะไม่ได้รับรู้ว่า ผู้บงการและวางแผนที่แท้จริงเป็นใคร แต่หากสังเกตุให้ดี มีสัญญาณหลายๆอย่างให้เราจับพฤติกรรมได้เหมือนกัน เช่น การที่อเมริกามักออกเสียงคัดค้านมติของยูเอ็น ทั้งๆที่ชาวโลกส่วนใหญ่ก็เห็นว่า อิสราเอล ผิด ขนาดศาลโลกตัดสิน อิสราเอล ยังไม่แยแสเลย ประเทศเล็กๆแค่นั้น เขาให้ผมคิดดูแล้วกันว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของอเมริกาเพียงใด ดังนั้น เขาเห็นว่า สาเหตุที่สำคัญอย่างแท้จริงน่าจะเป็นอิสราเอลมากกว่า ตราบใดที่หนามนี้ยังปักอยู่ในดินแดนตะวันออกกลาง และทำทุกอย่างโดยไม่สนใจความรู้สึกชาวตะวันออกกลางส่วนใหญ่ การก่อการร้าย ก็จะสามารถเติบโตใหญ่ขึ้นได้เรื่อยๆ แต่สิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ "ความแค้น" เขาถามผมว่า ผมสามารถประเมิณได้หรือไม่ว่า มีคนอีกกี่คน ที่พร้อมจะติดระเบิดพลีชีพ เพื่อทำลายล้ายฝ่ายตรงกันข้ามให้ย่อยยับไปพร้อมกับชีวิตตน ผมส่ายหัว สักพักเขาจึงพูดต่อ เขาเดินทางไปติดต่อธุรกิจกับชาวต่างชาติมากมาย เขาเดินทางไปในหลายๆประเทศ แต่ประเทศที่เขาไม่ต้องการไปมากที่สุดจะอยู่ในตะวันออกกลาง เพราะเขารับรู้ถึง ความแค้น ของคนเหล่านั้นเป็นอย่างดี และผู้ชักนำในประเทศเหล่านั้น ก็รู้ว่า เขาจะได้ประโยชน์อันใดจาก พลังความแค้น ของคนในประเทศของเขา พร้อมๆกันนั้นเขาก็รู้สึกว่า คำว่า ตีสองหน้า ยังน้อยเกินไปสำหรับการใช้กับบางบุคคลในประเทศเหล่านั้น ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนแถบนั้นได้ ต้องเป็นผู้ที่มี ruthless ไม่ธรรมดาจริงๆ ส่วนเรื่องผลกระทบต่อการลงทุนของนานาประเทศ ขึ้นอยู่กับการดำเนินการภายในของแต่ละประเทศมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า แทบทุกประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน ย่อมได้รับผลกระทบจากการก่อการร้ายแทบทั้งสิ้น ที่ราคาน้ำมันในทุกวันนี้มีราคาสูงมากที่สุดในรอบ 20 กว่าปี ก็ล้วนเกิดจากความกังวลในเรื่องการก่อการร้ายทั้งสิ้น แต่หากหักมุมมองไปอีกด้านหนึ่ง (มีหักมุมตัวเองด้วย) การที่คนกลุ่มนี้ทำการก่อการร้ายไปเรื่อยๆ ผลร้ายที่เกิดขึ้นอาจเป็นโอกาสในวิกฤติของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ ผมงงครับ โอกาสในวิกฤติเรื่องการก่อการร้าย สงสัยจะมีก่อเรื่องธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเท่านั้นกระมังที่เป็นไปได้ เขาหัวเราะ บอกว่า ไม่ได้หมายความถึงธุรกิจที่ได้รับประโยชน์ เรากำลังคุยกันในประเด็นเรื่องการก่อการร้ายไม่ใช่หรือ ผมพยักหน้า เขาก็พูดต่อ เขาหมายถึงจำนวนคนที่มีความเห็นสอดคล้องกับอุดมการณ์ของกลุ่มผู้ก่อการร้าย เพราะจุดพลาดของกลุ่มก่อการร้ายในปัจจุบัน คือ พวกเขาไม่เลือกบุคคลที่ถูกจับไปเป็นตัวประกัน พวกเขาไม่สนใจด้วยว่า คนที่พวกเขาจับตัวไปนั้น บางคนก็นับถือศาสนาเดียวกับเขา ถึงแม้ว่าผู้ที่นับถือศาสนาเดียวกับเขาจะต้องทำบางอย่างที่ไม่อยากทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวของเขา ก็ไม่ถูกละเว้น ซึ่งปัจจุบันยังเกิดกรณีนี้ไม่มากนัก แต่หากหากเกิดมากขึ้น กลุ่มคนส่วนใหญ่ในศาสนาของเขาอาจจะเริ่มไม่เห็นด้วยกับวิธีการของกลุ่มผู้ก่อการร้าย จนอาจเป็นการทำลายกลุ่มก่อการร้ายโดยอ้อมเองก็ได้ ผมนึกขึ้นได้เลยบอกเขาว่า หลงประเด็นครับ หักมุมจริงๆ ก็เราเริ่มคุยเรื่องผลกระทบต่อการลงทุนของนานาประเทศไม่ใช่หรือ เขาเลยหัวเราะ และยอมรับว่า จริงครับ ถ้าเช่นนั้นกลับเข้าเรื่องต่อดีกว่า การที่ผู้ก่อการร้ายออกมาข่มขู่ในหลายๆครั้งที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะงักได้เป็นช่วงๆก็จริง แต่ไม่รุนแรงเท่ากับการที่อเมริกาออกมาปรับระดับการเตือนภัยเป็นสีส้ม นั่นได้ผลชัดเจนมากกว่า ทั้งราคาน้ำมัน ทั้งความวิตกกังวลในตลาดเงินทุน ต่างก็ต้องเผชิญกับความเลวร้ายอย่างที่เราได้เห็นกัน คำถามของผมคงมุ่งหมายคำตอบในการลงทุนในตลาดหุ้นใช่ไหม ผมพยักหน้า ยิ้ม เขาก็เลยพูดต่อ แต่มนุษย์มีสัญชาติญาณพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นคือ การปรับตัว เมื่อใดที่เหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำๆ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผลกระทบรุนแรงที่เคยเกิดขึ้น ก็จะค่อยๆลดลงไปเอง ดังนั้น ผู้ที่อยู่รอดในวิกฤติได้ จำต้องพยายามทำความเข้าใจวิกฤติและติดตามความรู้สึกมวลชนอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงเวลาผู้ที่ตามติดความรู้สึกมวลชนมากที่สุด ย่อมจะได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนมากที่สุดด้วย (สงสัยรู้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นบ้านเราเป็นอย่างไร 5555) จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 4 ส.ค. 47 23:11:18 A:210.86.188.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อสรุปจากคำถามที่หนึ่ง ก็คือ จะต้องใช้เวลาพิสูจน์คำพูดของทั้งผู้ก่อการร้าย และ อเมริกา ไปอีกสักระยะ แต่จะต้องใช้เวลาเท่าใด ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งในอเมริกาเป็นสำคัญ และเมื่อได้พิสูจน์คำพูดจากทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็จะรู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไปครับ แต่เป็นเพราะอะไร คงต้องติดตามต่อในคำถามที่สองครับ จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 4 ส.ค. 47 23:15:59 A:210.86.188.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 3 เยี่ยมครับมีมุมมองหลายอย่างที่ผมมองข้ามจริงๆ ขอบคุณครับ ช่วงนี้คงต้องรอต่อไปครับ แต่ในวิกฤติก้อมีโอกาสเสมอ ก่อนรับแสงแดดอันอบอุ่นก้อต้องทนความแรงของสายฝนก่อน จากคุณ : อิอิ - [ 4 ส.ค. 47 23:49:09 A:202.5.88.135 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อเลยนะครับ เดี๋ยวง่วง 5555 - ทิศทางการเมืองของประเทศใหญ่ๆในโลกนี้ จะเป็นอย่างไรในอนาคต และมีผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจโลก เขาถามผมว่า ประเทศใหญ่ที่คุณพูดถึง มีอะไรบ้างละ ผมก็ตอบเขาไปว่า อเมริกา จีน รัสเซีย อินเดีย อังกฤษ ฯลฯ เขาบอกว่า ถ้าจะคุยกันทั้งหมดโดยละเอียดตามที่ผมบอก คงต้องใช้เวลาทั้งคืน แต่ถ้าคุยโดยสรุป ก็อาจสั้นเกินไป ผมเลยตกลงว่า ขอเป็นแค่ อเมริกา กับ จีนครับ เขาก็เริ่มออกความเห็นดังนี้ครับ ทุกสายตาจะจับจ้องไปยังเวทีการเมืองของ อเมริกา อย่างไม่กระพริบตา ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งตอนนี้ แม้แต่คนในอเมริกาเองก็ไม่แน่ใจว่า บุช หรือ เคอรี่ (หรือจะออกเสียงเป็นอย่างอื่นก็แล้วแต่นะครับ) ผู้ใดจะได้เป็นผู้นำในตอนต่อไป แต่ที่แน่ๆคือ โดยสถิติแล้ว เมื่อใดที่อเมริกาเข้าสู่สมรภูมิการรบ เมื่อนั้นประชาชนของเขาจะเทใจให้กับรัฐบาลในขณะนั้นอย่างท่วมท้น ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ในอเมริกาเองก็รู้ดี ไม่เว้นแม้แต่นายบุชหรือนายเคอรี่ จะสังเกตุได้ว่า การหาเสียงของบุช จะยังคงเน้นเรื่องการคงและอาจเพิ่มทหารในอิรักต่อไป(ถึงแม้ว่าเจ้าของประเทศเขาจะรังเกียจเพียงใดก็ตาม) ส่วนทางเคอรี่ จะเน้นเรื่องการถอนทหารออกจากอิรัก หากได้เป็นผู้นำ จากนี้ไปคงจะได้เห็นการนำประเด็นนี้ไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเรียกคะแนนเสียงกันพอสมควร(ไม่รู้รวมถึงการปรับระดับสีส้มเมื่อสองสามวันนี้ด้วยหรือเปล่า ผมก็ไม่มั่นใจว่าในอดีตมีการปรับหรือไม่ แต่มีการย้ำเรื่องการปรับระดับสัญญาณเตือนภัยหลายครั้งในการสนทนา พอสมควร ทั้งๆที่ ผมเห็นสัญญาณการปรับระดับสัญญานจริงๆ หลังจากที่ได้คุยกับเขา) แต่ถ้าถามเขาว่า อยากให้ใครเป็นผู้นำคนต่อไป เขาจะเลือกนายเคอรี่อย่างไม่ลังเล เพราะอาจเป็นการปลดชนวนความแค้นลงได้ระดับหนึ่ง เนื่องจากนโยบายของเคอรี่อาจสวนทางกับบุช และที่สำคัญเท่าที่ทราบ เคอรี่ ไม่ได้มีธุรกิจน้ำมันเช่นเดียวกับนายบุช ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์น้ำมันเปลี่ยนแปลงไปก็ได้ ส่วนประเทศจีน เขามั่นใจว่า ไม่มีใครสามารถทำนายการเมืองในประเทศจีนได้อย่างถูกต้อง 100% เพราะจีนมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก จีนมีบทเรียนล้ำค่าจากอดีตมากมาย สิ่งสำคัญที่น่าจับตามองคือการเมืองของไต้หวัน ซึ่งมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของจีนมากกว่า การที่จีนกำหนดให้ไต้หวันพิจารณาเรื่องการรวมประเทศภายในปี 2552 จะเป็นชนวนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากกว่าที่เราได้ยินได้ฟังกันในปัจจุบันนี้มากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของผู้นำจีน มีมากกว่าผู้นำในโลกตะวันตกมากมายยิ่งนัก (ผมแอบนึกในใจว่า ก็แน่ละซิ ก็คุณเป็นคนที่มีสายเลือดจีนอยู่เต็มตัวนี่) เขาขอให้ผมจับตาจีนในเรื่องพลังงานให้ดี อีก 2-3 ปีนี้ จีนจะมีเซอร์ไพรส์ให้โลกตะลึงกันอีกครั้ง ซึ่งจะมีผลต่อการใช้พลังงานภายในประเทศจีนมากพอสมควร และที่หลายๆคนคิดไว้ อาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ และประเด็นนี้อาจมีผลต่อการรวมประเทศด้วย แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดอะไรได้ เพราะถือเป็นความลับระดับหนึ่งที่ยังไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้ (บอกแค่นี้ แล้วจะรู้ไหมนี่ สงสัยต้องคอยตื้อถามเป็นระยะ 5555) เขาสรุปว่า ไม่ว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของ อเมริกา หรือ จีน จะมีทิศทางไปในลักษณะใดก็ตาม เขาเชื่อว่า ประเด็นนี้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลกมากนัก เพราะประเทศทั้งสองมีระบบการตัดสินใจโดยผู้นำที่ค่อนข้างซับซ้อน และมีการกลั่นกรองและสรุปทางเลือกในทิศทางต่างๆไม่มากนัก เพราะมีคณะผู้บริหารที่มีหลักการมั่นคง ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในเรื่องเศรษฐกิจมากนัก แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนน่าจะเป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศเป็นสำคัญ จะมีผลมากก็เพียงประเด็นเรื่อง ถ้าอเมริกาสามารถฟื้นความสัมพันธ์กับตะวันออกกลางให้ดีขึ้นได้บ้าง ก็น่าจะต้องเปลี่ยนผู้นำคนปัจจุบัน และเมื่อนั้น หลายสิ่งหลายอย่างก็น่าจะดีขึ้นพอสมควร จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 4 ส.ค. 47 23:58:56 A:210.86.188.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมได้ข้อสรุปจากคำถามที่สองคือ บุช ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงนโยบายของตนต่ออิรัก ซึ่งไม่มีทางทำให้อะไรให้ดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน แต่เคอรี่อาจทำได้ ถ้าหากต้องเลือกว่าจะอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนไว้กับระบบการรักษาความปลอดภัยของอเมริกา กับ พยายามปรับความเข้าใจกับผู้ร่วมชะตากรรมบนโลกต่างศาสนา เพื่อให้เลิกราลดความแค้นที่มีต่อกันลง ผมว่าอเมริกันชนน่าจะเลือกอย่างหลังมากกว่า ผมเคยคุยกับชาวต่างชาติในยุโรปบางคน พบว่า สิ่งที่เขาเป็นกังวลอย่างมาก คือเรื่อง กระเป๋า 9 ใบที่หายไปจากรัสเซียตอนรัสเซียแตก หากไปปรากฏในประเทศเขาจะเกิดความหายนะอย่างใหญ่หลวง หากรัฐบาลเขาจะทำอะไรเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าโจมตีโดยกระเป๋า 9 ใบนั้นได้ เขาก็จะเลือกเข้าข้างรัฐบาลนั้น โดยไม่สนใจเรื่องเศรษฐกิจ เพราะเขาคิดว่า ชีวิต สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดครับ จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 5 ส.ค. 47 00:07:27 A:210.86.188.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 6 เพิ่งเข้ามาอ่านครับพี่ ขอบคุณมากได้มุมมองที่ลึกซึ้งจริง ๆ รออ่านต่อพรุ่งนี้ครับ จากคุณ : ขุนอิน - [ 5 ส.ค. 47 00:21:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมให้ความสำคัญกับราคาน้ำมันมากครับ หากราคายังสูงไปเรื่อย ๆ เป็น 50$ ขึ้นในปลายปีนี้ แล้วไม่ลง เราเจอวิกฤตรอบสองแน่ ๆ และเราจะเริ่มเละ จากนโยบาย ต่าง ๆ ที่รัฐอัดฉีด เพราะตอนที่รัฐอัดฉีดนโยบายไป เค้าไม่ได้คำนึงถึง จุดนี้ ที่ว่าเงินเฟ้อจะรุ่นแรงเนื่องจากปัญหาน้ำมัน แล้ว ปัญหานี้แหละ จะลามเป็นลูก โซ่หลายชั้นเลย เท่าที่ผมคิดสองสามชั้น ก็น่ากลัวแล้วครับ เอาเป็นว่าคร่าว ๆ ชั้นแรกนะ น้ำมันเพิ่ม ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยก็ต้องเพิ่มตาม จากนั้น คนที่กู้มาลงทุน ขายได้น้อยลง กำไรลดเพราะ วัตถุดิบแพง หากเป็นหนักก็เป็น NPL ส่วนคนที่ จะลงทุนก็ไม่ยอมมาลงทุนเพราะดอกเบี้ยแพง แค่ชั้นแรกก็น่ากลัวแล้วนะ หุ ๆ ๆ ผมว่าไทยยังน่าลงทุนอยู่นะ เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ หากยังเป็นแบบนี้อยู่ ผมคงต้องออกจากวงการชั่วคราวไปเรียนต่อดีกว่า อยู่ไปก็มีแต่ทรง ๆ ไปหาความรู้ใหม่ ๆ ดีก่า ขอบคุณพี่มากนะครับ ที่มาแชร์ประสบการณ์ และความคิดครับ จากคุณ : โจนาธาน (Jeonathan) - [ 5 ส.ค. 47 00:39:29 ]

ความคิดเห็นที่ 8 - ทิศทางของดอกเบี้ยของแต่ละประเทศที่อ้างอิงกับประเทศใหญ่ๆ น่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต และจะมีผลอย่างไรต่อระบบเศรษฐกิจโลก เขาถามว่า คุณหมายถึงประเทศไทยหรือเปล่า ถ้าหลายประเทศก็ต้องใช้เวลามากนะ ผมก็เลยพยักหน้า เขาก็บอกมุมมองของเขาให้ฟังมากมาย ซึ่งยาวมาก ผมจะพยายามสรุปให้สั้นที่สุดดังนี้นะครับ ประเทศไทย เป็นประเทศที่แปลก มีความอ่อนไหวในหลายๆด้าน ทั้งความรู้สึกของผู้คน การดำเนินธุรกิจ และการเมือง เขาเคยมาไทยเพียง 4-5 ครั้ง ไม่ได้มาอยู่นานๆเหมือนท่านผู้อาวุโส แต่ก็รู้สึกชอบที่จะทำธุรกิจด้วย และยังได้รับคำบอกเล่าจากท่านผู้อาวุโสว่า หากคนไทยรวมใจกันเป็นหนึ่งได้เมื่อใด สิงค์โปร์ มาเลเซีย เวียดนาม หรือ อินโดนีเซีย จะไม่สามารถเทียบเคียงกับศักยภาพที่ประเทศไทยมีได้เลย แต่เนื่องจากการแย่งอำนาจกันในยุคต่างๆที่ผ่านมา ประกอบกับการที่ผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ มักคำนึงถึงตนเองมากกว่าคำนึงถึงประเทศชาติอย่างแท้จริง หรือไม่ก็มีบ้างในบางยุคที่ทำเพื่อประเทศชาติ อย่างแท้จริง แต่ไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ดีพอ ทำให้การก้าวเดินของไทยไม่รวดเร็วอย่างที่ควรจะเป็น (ผู้รู้สึกว่าท่านผู้อาวุโสนี้แอบด่าคนไทยเหมือนกัน เวลาสนทนากันไม่เห็นมีเปรยๆเรื่องอย่างนี้ ไม่รู้นายนักธุรกิจนี้เหมาสรุปรึเปล่า แต่ก็ต้องเปิดใจรับฟังอย่างตั้งใจครับ เพราะคิดอยู่ว่า นานๆที่จะได้โอกาสส่องมองประเทศไทยจากกระจกคุณภาพดีสักครั้ง 5555) เขาบอกว่าเคยคุยกับคนไทยบางคน ซึ่งระแวงว่า ประเทศเวียดนามจะแซงหน้า แทนที่จะคิดว่าจะก้าวให้ทันสิงค์โปร์ได้อย่างไร ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด เมื่อคุณเอาแต่ระวังว่าจะมีใครดีเท่า อาจใช้วิธีไม่ดีบางอย่างเพื่อให้เขาพลาด และไม่หาทางพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แต่ถ้าคุณมองคนที่เก่งกว่าและพยายามเก่งให้เท่ากับเขา คุณจะได้รับแรงกระตุ้นซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ให้มากขึ้น และเมื่อคุณเรียนรู้มากขึ้นคุณก็จะเก่งขึ้น จนอาจทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประเทศของคุณกับประเทศเวัยดนามได้มากขึ้น และถ้าคุณต้องการรักษาระยะห่างเอาไว้ คุณก็ต้องพยายามทำตัวให้เก่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ดีกว่าหรือ ผมบอกเขาว่าผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง เขาก็หัวเราะ และบอกผมว่า นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เขามานั่งคุยกับผม เพราะท่านผู้อาวุโสได้บอกไว้ว่า หากทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดได้นับว่าเก่งแล้ว และที่สำคัญเขาจะได้เรียนรู้นิสัยคนไทยแท้ๆคนหนึ่งที่มีความเชื่อในเรื่องคุณงามความดีมากกว่าเรื่องทรัพย์สินเงินทอง (ผมยิ้มให้อย่างมีไมตรีเป็นอย่างยิ่ง และรู้สึกเคารพท่านผู้อาวุโสมากขึ้นที่ให้เกียรติผมเป็นอย่างมาก) ผมให้ข้อมูลเขาเพิ่มว่า ตอนนี้คนไทยกำลังกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจของไทยชลอตัวลง และอาจจะเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้ง เขาหัวเราะดังๆ แล้วถามผมว่า แล้วคุณละ กังวลแบบนั้นด้วยหรือเปล่า ผมส่ายหัว เขาจึงพูดต่อ ปีที่แล้วเศรษฐกิจไทยโตเท่าไหร่ ผมจำไม่ค่อยได้ตอบไปว่า ประมาณ 6-7% เขาถามว่า แล้วได้ตามนั้นไหม ผมก็ตอบไปว่า ดีกว่าที่ประเมินกันไว้เล็กน้อย เขาก็พูดต่อว่า นั่นแหละปัญหา เขาเคยได้รับคำสอนจากท่านผู้เฒ่าเรื่อง กระต่ายตื่นตูม ซึ่งเป็นคำสอนโบราณของคนไทยไม่ให้กังวลจนรีบร้อนทำเรื่องใดๆโดยไม่คิด อีกคำหนึ่งคือ งูๆปลาๆ หมายถึงไม่ศึกษาเรื่องใดให้ถ่องแท้แล้วเหมาว่าใช่ว่าเป็น และสุดท้ายคือ ฟังไม่ได้ศัพท์เข้าใจเป็นอีกอย่าง (น่าจะหมายถึง ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด) คือนอกจากเหมาว่าใช่ว่าเป็นแล้วยังพยายามทำให้คนอื่นเชื่ออีกด้วย จะได้แสดงตนว่าเป็นคนเก่ง ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้นไปได้ขนาดนั้น ก็เห็นมีการไม่ยอมรับกันว่าจะโตได้ขนาดนั้น ถึงกับเถึยงกันว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยฟื้นแล้วจริงๆหรือ แล้วผลเป็นอย่างไร ตอนนี้คงไม่ต้องตั้งคำถามกันว่า เศรษฐกิจไทยฟื้นแล้วจริงหรือ แต่ตอนนี้กลับได้ยินคำถามใหม่ว่า เศรษฐกิจจะฟุบอีกจริงหรือ เขาถามผมว่า ดูไม่ออกหรือว่า ความกังวลทางเศรษฐกิจของไทยเกิดจากปัจจัยใดเป็นสำคัญ ผมบอกว่า ก็ราคาน้ำมัน การก่อการร้าย และดอกเบี้ย เขาก็พูดต่อ ก็คือที่มาของคำถามบางคำถามที่คุยกันในวันนี้ใช่ไหม แล้วก็หัวเราะ ผมเลยให้ข้อมูลเพิ่มว่า ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่รู้สึกเช่นนั้น ผมว่าคนฮ่องกง หรือคนจีนก็น่าจะคิดเช่นนั้นเช่นกัน หรือแม้กระทั้งการเติบโตอย่างมากเรื่องอสังหาริมทรัพย์ก็ทำให้เกิดความกังวลกันมากจนรัฐบาลจีนต้องสั่งชลอไม่ใช่หรือ เขาพูดต่อว่า หลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ ที่บรรดานักวิเคราะห์ในหลายๆประเทศรวมทั้งในประเทศไทยด้วย คิดไปต่างๆนานาว่า จีนจะต้องทำอย่างนั้น จีนจะต้องทำอย่างนี้ แล้วเป็นอย่างไรบ้าง มีที่ทำนายถูกกี่เปอร์เซนต์ การที่คำทำนายส่วนใหญ่มักไม่ถูกต้องนัก เป็นเพราะความแตกต่างทางด้านการเมืองการปกครอง คนในโลกตะวันตกที่ขอบใช้วิธีทางสถิติมาบ่งบอกว่าประเทศนั้นจะเป็นเช่นนั้นหรือเช่นนี้ โดยเฉพาะในอเมริกา ผมถามง่ายๆว่า เขาสามาถเอาสถิติสองร้อยกว่าปีมาเป็นตัวกำหนดทางเดินของประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับหลายพันปีได้จริงๆหรือ ผมถึงกับอึ้งต่อคำกล่าวนี้ และนึกถึงความจริงที่เขาพูด แล้วนึกถามตัวเองเหมือนกันว่า ไทยกับอเมริกามีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่ากันมาก แต่ไฉนอิทธิพลทางสถิติของอเมริกาต่อประเทศไทยจึงมีมากมายนัก แปลกจริงๆ หรือว่าเป็นเพราะเราไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง เพราะบรรดานักเรียนนอกบางคนได้พยายามเป่าหูเราว่า อเมริกา ดีอย่างโน้นอย่างนี้ น่าจะเป็นแม่แบบให้เรา จนกระทั้งเราลืมแม่แบบอันดีงามที่เกิดจากภูมิปัญญาคนไทยด้วยกันเองไปจนแทบหมดสิ้นแล้ว นอกเรื่องกันไปนาน วกกลับเข้าเรื่องดอกเบี้ยดีกว่าครับ เขาบอกว่า ดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณกี่เปอร์เซนต์ ผมบอกเขาว่าประมาณ 16% หากจำไม่ผิด เขาถามต่อว่า แล้วระยะเวลาที่ดอกเบี้ยลดลงเรื่อยๆจาก 16% จนถึงปัจจุบันใช้เวลานานเท่าใด และคิดว่าดอกเบี้ยปัจจุบันจะมีโอกาสกลับขึ้นไปที่ 16% ได้อีกหรือไม่เมื่อใด และปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้มันขึ้นไปได้ถึงระดับนั้น ขอให้คิดให้รอบคอบนะครับ เพราะคำตอบของผมเองจะเป็นคำตอบของคำถามที่ผมถามเขา ซึ่งเขาจะอธิบายอีกที ผมก็นั่งนึกอยู่นาน จึงค่อยๆตอบไป ถึงตอนนี้คงต้องขอตัวไปนอนก่อนครับ ผมยังมีงานต้องสะสางต่อในวันพรุ่งนี้ และต้องมีประชุมอีกพอสมควร ไม่อยากนั่งสัปหงกในห้องประชุมครับ แล้วจะคุยต่อว่าผมตอบไปอย่างไร จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 5 ส.ค. 47 00:58:16 A:210.86.188.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 9 ข้อสรุปจากคำถามในข้อนี้คงต้องยกไปพรุ่งนี้ด้วยครับ แต่อยากฝากคำถามที่เกี่ยวกับบางอย่างที่สรุปได้จากการสนทนาส่วนที่เหลือ โดยขอนำมาเชื่อมโยงกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาสูงมากในอเมริกา และมีบางท่านกังวลว่า หากราคาอสังหาในอเมริกาเริ่มย้อนกลับจะเกิดผลเสียอย่างไรบ้าง ผมขอฝากคำถามต่อประเด็นนี้ไว้สักเล็กน้อยครับว่า เมื่อ 20 ปีที่แล้วราคาที่ดินที่บ้านของท่านมีราคาเท่าใด และปัจจุบันมีราคาเท่าใด และมีโอกาสเพียงใดที่จะทำให้ราคาที่ดินและบ้านของท่านจะมีราคาย้อนกลับไปที่ราคาเดิมหรือลดลงจากปัจจุบันไปสัก 30 % และมีปัจจัยใดบ้างที่จะทำให้เป็นเข่นนั้น คำตอบนี้เกี่ยวกับการสนทนาอย่างไรพรุ่งนี้จะมาต่อครับ สวัสดีก่อนนะครับ 5555 จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 5 ส.ค. 47 01:05:27 A:210.86.188.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 เศรษฐกิจแบบ โก่งคันธนู ......... ใช่แบบนี้หรือเปล่าครับ จากคุณ : สติสตังค์ - [ 5 ส.ค. 47 02:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอโทษครับโพสรูปไม่ไป ลองใหม่ จากคุณ : สติสตังค์ - [ 5 ส.ค. 47 02:19:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณครับ จากคุณ : buglife - [ 5 ส.ค. 47 02:26:23 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เยี่ยมครับ ขอบคุณมากสำหรับข้อคิดดีๆ ที่มีมาให้ จากคุณ : ปลายนา - [ 5 ส.ค. 47 07:48:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ ขอลองดูแนวคิดแบบนอกกรอบสักครั้งครับ จากคุณ : aeaw - [ 5 ส.ค. 47 07:59:08 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ยังอ่านไม่จบครับเดิ๋ยวมาอ่านต่อตอนเย็น จากคุณ : think_pos - [ 5 ส.ค. 47 08:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณครับ จากคุณ : อึ้งกิมกี่ (g2001) - [ 5 ส.ค. 47 08:33:11 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับพี่ รออ่านต่อครับ จากคุณ : weekest - [ 5 ส.ค. 47 09:11:20 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณที่โพสให้อ่านครับ แต่เรื่องก่อการร้าย ผมมีความเห็นว่า เมื่อไรที่คนไม่กลัวตาย เราจะไม่สามารถคาดคะเนเหตุการณ์อะไรได้เลย ถ้าคุณเฟยหงจะช่วยออกความเห็นเพิ่มเติม จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 47 09:52:41 จากคุณ : คลาย เครียด - [ 5 ส.ค. 47 09:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 19 แวะเข้ามาดูก่อนประชุมสักเล็กน้อย ขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยครับ เดี๋ยวคืนนี้จะมาต่อครับ ผมส่งเมล์รูปของเศรษฐกิจแบบ โก่งคันธนู ไปให้คุณ Weekest รูปหนึ่ง รบกวนคุณ Weekest ช่วยนำลงด้วยะนะครับ ผมยังทำไม่เป็นครับ 5555 แล้วตอนท้ายๆของกระทู้นี้ ผมจะสรุปว่า ทำไมถึงเรียกว่า เศรษฐกิจแบบ โก่งคันธนู ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา เราได้พบกับเศรษฐกิจแบบนี้กันมาหลายครั้ง แต่ไม่มีใครนิยาม ผมเลยขอเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนสักครา 5555 แถมสักนิดนะครับ เมื่อก่อนนี้เราเคยฝังใจกับวีรกรรมหนึ่งซึ่งติดปากกันในนาม กามิกาเซ่ เป็นที่น่าแปลกไหมครับว่า กามิกาเซ่ ตายหนึ่งคนเพื่อทำลายศัตรูให้เสียหายมากกว่า กลับเป็นที่ยกย่องมากกว่า ระเบิดพลีชีพ มากมายยิ่งนัก ทั้งๆที่ผลทางปฏิบัติออกมาเหมือนๆกัน แต่ส่งผลทางจิตใจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง 5555 สิ่งที่เราคิดว่าเป็นไปไม่ได้หลายสิ่ง ได้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นในอดีตเรามีความคิดกันว่า การหายตัวได้เป็นเรื่องเพ้อฝันเหลือเชื่อ แต่ปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ซึซึมุ ทาจิ แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ก็ได้แสดงให้เห็นว่า ในอนาคตอันใกล้เราอาจได้ใช้เทคโนโลยีนี้กัน แล้วอีกหลายสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ จะเป็นอย่างไรในอนาคตครับ 5555 จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 5 ส.ค. 47 10:26:07 A:210.1.6.101 X: ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณมากๆเลยคับ ทั้งเสริมสร้าง ทั้งขยาย แนวคิดและกรอปที่มีอยู่น้อยนิดให้ขายใหญ่ขึ้น จากคุณ : ปิงป่องแชะ - [ 5 ส.ค. 47 10:48:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณสำหรับแรงคิดและเขียน เพื่อเปิดมุมมองให้พวกเราค่ะ จากคุณ : Thumb (Thumberina) - [ 5 ส.ค. 47 11:21:22 ]

ความคิดเห็นที่ 22 พี่ชอบอ่านครับ พี่มีความคิดและอะไรหลายอย่างคล้ายนาย กไทย เลยนะครับ จากคุณ : เสียวลี้ปวยตอ - [ 5 ส.ค. 47 11:34:34 A:203.172.38.25 X: ]

ความคิดเห็นที่ 23 ได้เปิดสมองผมไปอีกมุมที่ไม่เคยเห็น - เป็นประโยชน์(สำหรับผม)มากครับ -- ขอบคุณครับ จากคุณ : Jedi (Korn_Lam) - [ 5 ส.ค. 47 11:44:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ ตามอ่านมานานแล้วไม่เคยตอบกระทู้เลยความรู้น้อยค่ะ ได้อะไรเยอะมากจากพี่ ๆ ที่ห้องนี้ จากคุณ : moon (wonderchoice) - [ 5 ส.ค. 47 13:44:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ได้ครับพี่ พอดีเพิ่งเช็ค mail ครับ จากคุณ : weekest - [ 5 ส.ค. 47 14:30:39 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณนะคะ ติดตามอ่านเรื่อยๆเลยค่ะ ขอบคุณทุกความเห็นด้วยค่ะ จากคุณ : kor_kor - [ 5 ส.ค. 47 17:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่ธรรมดาจริงๆครับ เดี๋ยวเห็นทีต้องไปนังคิด หาคำตอบมาส่งอาจารย์ชอบอ่าน รวมทั้งตอบคำถามตัวเองในหัวที่คุณชอบอ่านทิ้งไว้เต็มไปหมด ให้ได้ซะแล้วหละครับ การบ้านนี้น่าคิดจริงๆ :) จากคุณ : Muffin - [ 5 ส.ค. 47 18:22:41 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณค่ะ ตามมาอ่านเช่นเคย รูปคุณหมอ วีคลี่ เท่ห์เชียว สรุปจบ ได้ใจความ อยู่ในนั้นเรียบร้อยแล้ว จากคุณ : 007-s - [ 5 ส.ค. 47 20:31:40 ]

ความคิดเห็นที่ 29 มารออ่านต่อค่ะ โดยเฉพาะเรื่องราคาน้ำมัน ^____^ จากคุณ : อ-ริน - [ 5 ส.ค. 47 21:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นรูปของคุณ weekest แล้วเพิ่งเข้าใจครับ ว่า ศก.โก่งคันธนู เป็นแบบนี้เอง แต่ตอนนี้ผมคิดว่าไม่ใช่นะครับ ถ้าเป็นแบบนี้หมายถึงว่า เพียงแค่ความกลัว ความกังวลใจ หมดหายไป ทุกๆ อย่างก็จะกลับมาดีวิ่งฉิวเอง ที่ผ่านมาเพียงแค่กระต่ายตื่นตูมเท่านั้น แต่สถานการณ์ตอนนี้ดูไม่จืดเลย รัฐบาลพยายามสร้างภาพขาขึ้น โดยที่ความจริงเป็น ศก.ขาลงเห็นชัดๆ หลายปีที่ผ่านมาเราปรับตัวเลขการเติบโตศก. ให้สูงขึ้นกว่าที่คาดตลอด แต่ตั้งแต่ต้นปีนี้มา เราปรับตัวเลขลงมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นพอถึงปลายปีจริงๆ เราอาจโตไม่ถึง 5% จีนมีปัญหา อเมริกามีปัญหา น้ำมันเป็นปัญหา ดบ.เป็นปัญหา ภาระหนี้สินเป็นปัญหา ทุกอย่างรอวันระเบิดอยู่แล้ว ถ้าข่าวร้ายและความกังวลกำลังจะไปในทางที่ดีขึ้น เราควรจะซื้อหุ้น แต่สำหรับผมแล้วตอนนี้ผมคิดว่ามันกำลังจะแย่ลง เพราะฟองสบู่ต่างๆ ทั้งอสังหาฯ ทั่วโลก และตลาดหุ้น NASDAQ กำลังจะแตกอีกครั้ง ดอลลาร์อาจดิ่งลงอย่างแรง ผมคิดว่าเรากำลังเดินเข้าใกล้วิกฤติครั้งใหญ่ของทุนนิยมทีเดียว ปกติแล้วผมไม่มองแง่ร้ายเท่าไหร่ เพื่อนๆ คงเห็นว่าแม้ในช่วงที่อเมริกาเปิดสงครามกับอิรักนั้น ผมก็คิดว่าเป็นจังหวะที่ดีในการสะสมหุ้นเพราะ SET อยู่ระดับต่ำมากเพียง 300 กว่าจุด แต่ ณ จุดนี้ผมคิดว่าโลกกำลังเสียสมดุลอย่างหนัก ฟองสบู่ก่อตัวใหญ่มากจริงๆ ภาระหนี้สินภาคครัวเรือนหนักหนาขึ้นมากจริงๆ น้ำมันก็แพงจริงๆ เรื่องการเมืองระหว่างประเทศผมไม่ชำนาญเลย ผ่าน... อัตราดอกเบี้ย ของอเมริกาน่าจะสูงกว่านี้ได้อีกมาก ตอนนี้เกิดภาวะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบ ซึ่งถือว่าผิดปกติ FED ควรจะทำอะไรที่เหมาะสมกว่านี้.... ฟองสบู่ของจีนน่าจะแตกราวปลายปีนี้ครับ... การชะลอตัวลงด้วยการควบคุมสินเชื่อ ทำให้เงินหมุนลำบาก กำลังซื้อหดหาย การลงทุนอย่างมากมายในอดีตเพื่อรองรับกำลังซื้อมหาศาล จึงเป็นเรื่องของฟองสบู่... และกำลังจะแตก ประเทศไทยยังคงเป็นน่าลงทุนในระยะยาว.. เพราะถือว่าต้นทุนต่ำ และยังมีแรงงานถูกๆ อีกมากจากอินโดจีนที่พร้อมจะเข้ามาอยู่แล้ว ต้นทุนอสังหาฯ ก็ไม่นับว่าแพง สาธารณูปโภคก็ใช้ได้ แต่ระยะสั้นๆ แล้ว... ในเมื่อทั่วโลกมีปัญหา และไทยเองก็ก่อปัญหาภายในไว้ไม่น้อย หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาบ้านโดยเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ถึงเท่าตัว จาก 1.6 ล้านต่อหน่วย เป็น 3.3 ล้านบาทต่อหน่วย เพราะแรงส่งจากดบ.ที่ต่ำเกินไป น้ำมันก็แพงเหลือเกิน... ดังนั้นช่วง 1-2 ปีนี้คงเป็นช่วงเวลาแห่งการชดใช้หนี้กรรมเก่าละมั้งครับ จากคุณ : เฟยหง - [ 5 ส.ค. 47 21:23:36 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่คิดว่าดอกเบี้ยจะเป็นประเด็นสำคัญอะไรในการทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวค่ะ แอนว่ายิ่งดอกเบี้ยขึ้น ยิ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ เรื่องนี้แล้วแต่มุมมองค่ะ แอนไม่ขอออกความเห็นต่อ แล้วแต่ว่าใครจะคิดกันเอง จากคุณ : แอน (แอ่นแอ๊น) - [ 5 ส.ค. 47 21:33:03 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ช่วยกันออกความเห็นด้วยครับ โดยเฉพาะคุณ weekest ที่ช่วยลงรูปให้ แล้วผมจะสรุปในภายหลังครับ มีหลายๆท่านเข้าใจความหมายของรูปถูก แต่ยังถูกไม่หมด ผมจะเฉลยภายหลังครับ 5555 ผมลองย้อนความคิดกลับไปเมื่อประมาณ 22 ปีที่แล้ว ราวๆปี 2525 สิ่งที่ผมพอจะจำได้ดีคืออัตราดอกเบี้ยจะอยู่ราวๆ 16% ซึ่งเป็นยุคที่ผู้คนพากันหลงไหลได้ปลื้มกับเรื่องคอนโดเป็นอย่างมาก ซึ่งผมจำได้ดีเพราะประมาณสองปีจากนั้น ผมได้ขายบ้านที่เคยอยู่อาศัยมาตั้งแต่เด็กๆไปได้ราคาดีพอสมควร ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาบ้านกำลังอยู่ในจุดสูงสุดพอดี เพราะคนซื้อวาดฝันว่าจะเอาไปทำคอนโด (ทุกวันนี้ผมยังผ่านไปผ่านมาที่ดินนั้นอยู่เลยครับ แต่เป็นที่ดินที่ไม่มีคอนโด เพราะหลังจากขายไปไม่นานก็เกิดเรื่องการลดค่าเงินบาท) และส่งผลให้บรรดานักพัฒนาที่ดินต้องทนทุกข์ทรมานกันมากพอสมควรในเวลาหลังจากนั้นน่าจะราวๆ พ.ศ. 2528 - 2530 แต่ดอกเบี้ยในช่วงนั้นก็ยังทรงๆอยู่ที่ราวๆ 16.5% ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกเบี้ยของไทยมีอัตราสูงที่สุด และเงินที่ได้จากการขายบ้านก็งอกเงยจากดอกเบี้ยมากที่สุด และหลังจากนั้นดอกเบี้ยก็ทยอยๆลดลงมาเรื่อยๆแต่ก็ไม่มากนักจนมาถึงราวๆปี 2531-2533 ดอกเบี้ยก็อยู่ราวๆ 11% ซึ่งจังหวะนั้นทำให้เกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นมากมายจากการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง (ไม่ค่อยเข็ดกันหรอกครับ เวลากลิ่นเงินลอยเข้าจมูก 5555) ในขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยก็ค่อยๆไต่ระดับกลับไปที่ราวๆ 16.5% อีกครั้ง สนามกอลฟ์ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ค่าสมาชิกแพงเท่าไหร่พวกเศรษฐีทั้งหลายก็ไม่หวั่นพากันสนุกสนานเฮฮา และหลายๆอย่างในช่วงเวลาชื่นมื่นก็พังทลายลง เพราะสงครามอ่าวในราวปี 2534 ซึ่งดอกเบี้ยก็เริ่มลดลงอีกครั้งจนไปอยู่ที่ประมาณ 11% ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนในตลาดหุ้นทั้งหลายมีความสุขโขสโมสรกันบ้างเพราะ Set ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนกับอัตราดอกเบี้ย เกิดการจับจ่ายใช้สอยและพากันเก็งกำไรในอสังหาฯอีกครั้ง แล้วดอกเบี้ยก็เริ่มไต่ระดับขึ้นไปอีกครั้งจนถึงราวๆ 16% ในช่วงรอยต่อ 2540-2541 ซึ่งหลายๆท่านในที่นี้ก็คงจำกันได้ดี และคงจำกันไม่มีวันลืมเพราะในช่วงดังกล่าวก็เกิดวิกฤติการณ์ทางด้านอสังหาฯขนาดหนักจนเกิดวิกฤตไปทั่วภูมิภาค เกิดการล้มระเนระนาดของหลายสถาบันการเงินและอัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบันนี้ ผมนึกถึงช่วงนี้ก็สามารถตอบคำถามเขาได้ว่า จาก 16% ถึงปัจจุบันถ้านับจากช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งก็ราวๆ 7-8 ปี แต่ถ้านับจากอดีตที่ผมนึกย้อนไปก็ประมาณ 20 ปีได้ ถ้าจะให้ดอกเบี้ยย้อนกลับไปที่เดิมอย่างน้อยก็น่าจะ 7-8 ปีเช่นกัน ซึ่งปัจจัยหลายๆประการในปัจจุบันก็เป็นตัวฉุดรั้งไม่ให้ดอกเบี้ยวิ่งขึ้นไปได้ง่ายๆ แต่ก็มีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ เป็นตัวสำคัญที่จำเป็นตัวผลักดันอัตราดอกเบี้ยให้สูงมากขึ้น แต่ปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ ก็เกิดจากปัจจัยเรื่องราคาน้ำมัน แล้วปัจจัยเรื่องราคาน้ำมัน ก็เกิดจากปัจจัยเรื่องความกังวลต่อการก่อการร้าย และสุดท้ายปัจจัยเรื่องความกังวลต่อการก่อการร้าย ก็เกิดจากปัจจัยเรื่องความแค้นและความไม่เข้าใจกัน และการสร้างสถานการณ์เพื่อแย่งชิงกันเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งในอเมริกา หรือการเมืองภายในอิรัก และอีกหลายๆประเทศ ถึงตอนนี้เขาบอกว่าผมสามารถเชื่อโยงเรื่องต่างๆโดยลำดับความสำคัญได้อย่างต่อเนื่อง นับว่าท่านผู้อาวุโสบอกไว้ไม่ผิดจริงๆ ถือเป็นการแชร์ข้อมูลที่มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ผมยิ้มรับ เขาเลยถามผมว่า **** " ถ้าคุณเป็นบินลาดิน มีทางเลือกให้คุณสองทาง หนึ่ง ปล่อยให้บุชตกเก้าอี้ไป แล้วกำจัดภายหลัง กับเข้าสู่สถานการณ์การรบกับบุชอีกครั้ง แล้วเล่นสงครามจิตวิทยากับบุชไปอีก 4 ปี คุณจะเลือกแบบใด" ผมก็ตอบเขาไปว่า ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบๆตัวผมเอง กล่าวคือ หากผมสามารถกล่อมผู้ร่วมขบวนการให้รอดูว่าบุชจะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่แล้วค่อยตัดสินและดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ ผมก็จะทำปล่อยให้การเลือกตั้งในสหรัฐผ่านไปก่อน และเลือกแผนปฏิบัติอีกที แต่ถ้าอำนาจควบคุมบรรดาผู้ร่วมขบวนการไม่มั่นคงนัก ผมอาจต้องเลือกโจมตีสหรัฐก่อนแล้วแปรเปลี่ยนกลยุทธ์ดำเนินการให้เหมาะสมในภายหลัง แต่ผมขอเสริมเขาอีกข้อคือ แต่ยังมีทางเลือกอีกทางคือ หาทางเจรจาสงบศึกให้เกิดประโยชน์ทุกๆฝ่าย ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก เขาหัวเราะแล้วบอกว่า เชื่อแล้วว่า ผมมีคุณสมบัติตามที่ท่านผู้เฒ่าบอกจริงๆ ผมมักมีทางเลือกอื่นๆอยู่เสมอ และไม่ยอมถูกกักอยู่ในวงล้อมที่เขาวางไว้จริงๆ ประเด็นสุดท้ายที่ผมเลือก เขาก็คิดว่า บิน ลาดินก็คิด แต่จะให้ลงแบบนั้นได้อย่างไร หากบุชยังครองอำนาจอยู่ และเขาจะมีวิธีใด ทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงได้ ผมเลยบอกว่า เคอรี่ ต้องมีโอกาสทำได้อย่างที่เขาหาเสียงเท่านั้น เขาก็หัวเราะแล้วบอกว่า เช่นนี้แล้ว ไปต่อที่คำถามต่อไปเถอะ บทสรุปจากการสนทนาในประเด็นนี้ กับเรื่องที่ทางสหรัฐออกมาโพทนาเรื่องการระวังภัยก่อการร้าย จนราคาน้ำมันสูงขึ้นอีกครั้ง ที่ปรากฏคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปไม่นานนี้ ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า นายบุชนี่ น่ารังเกียจจริงๆ แต่หากเขาไม่ได้คิดทำให้เกิดปัญหาเช่นนี้ละ ผมก็โทษคนผิดนะสิ แต่ประเด็นคำถามต่อไป กลับทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นว่า จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง อเมริกาจะต้องแสดงบางสิ่งบางอย่างภายใต้คำบงการของนายบุชจนทำให้โลกต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง แต่สำหรับการสรุปประเด็นเรื่องดอกเบี้ยนั้น ผมได้คิดว่า ไม่น่าจะมีผลเรื่องการลงทุนมากนัก ระยะเวลาอีก 7-8 ปีกับวัฐจักรเศรษฐกิจของไทยเรา ยังต้องมีขึ้นมีลงอีกหลายรอบ และที่สำคัญ หากไม่เกิดสงครามใหญ่ขึ้นอีก คงมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นอีกในปีหรือสองปีข้างหน้าครับ คงขอตัวเพียงนี้ก่อน พรุ่งนี้จะมาต่อครับ วันนี้มีภารกิจมากจริงๆ กว่าจะมาเริ่มได้ก็ดึกพอประมาณแล้วครับ 5555 จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 6 ส.ค. 47 00:31:35 A:210.1.6.101 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 "ยิ่งดอกเบี้ยขึ้น ยิ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ" ----- นั่นก็เป็น scenario หนึ่งเพราะมีการลงทุนมากขึ้น ความเชื่อมั่นมากขึ้น แต่ถ้าการลงทุนเป็นการลงทุนที่ไม่มีคุณภาพ คือ มีแต่การเก็งกำไร หรือล้นเกิน เช่น จำสมัยฟองสบู่ ดอทคอม ปี 2000 ในอเมริกาได้ไหมครับ คุณปู่กรีนสแปนขึ้นดอกเบี้ยสกัดไม่รู้กี่รอบ ไปดูกราฟดัชนี dow jones ตอนนั้นดู กระทั่งมัน "โพละ" ของมันเอง จากคุณ : think through it - [ 6 ส.ค. 47 00:34:36 A:202.133.166.229 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 ตามมาอ่านครับ ขอบคุณมากครับ กับทัศนะในมุมกว้าง เหมือนมองมาจากนอกโลก หลุดไปจากมุมมองเล็กๆเฉพาะตลาดหุ้น ที่มีตึกสูงในเมืองกรุงปิดกั้นวิสัยทัศน์ ยังรออ่านต่ออยู่น่ะครับ จากคุณ : Monitor - [ 6 ส.ค. 47 01:14:06 A:61.90.38.213 X: ]

ความคิดเห็นที่ 35 สวัสดีค่ะคุณ ชอบอ่าน 1) ดีใจที่ได้เจอคุณชอบอ่าน เพราะได้แง่คิดดีๆอย่างอื่นด้วย นอกเหนือจากเรื่องการลงทุน หมายความว่าถึงโพสต์เรื่องอื่น (โดยไม่พูดเรื่องหุ้น) ดิฉันคิดว่าตัวเองก็ยังคงได้ประโยชน์จากการอ่าน ความคิดเห็นของคุณชอบอ่านค่ะ 2) ขออนุญาตแนะนำ วิธีการโพสต์เพื่อช่วย ให้อ่านง่ายขึ้น ** อันดับแรก พิมพ์ Word แล้วเคาะ เว้นทุก 2-3 บรรทัด ** ค่อย Copy & Paste ลงกระทู้ ** Preview ดูก่อนส่ง ว่าถ้าอ่านแล้ว จะตาลายหรือไม่ ขอบคุณมากค่ะสำหรับเรื่องราวดีๆข้างต้น คงต้องเซฟไปอ่านข้างนอก เพราะต้องทำการ "เคาะ" ระหว่างบรรทัด เพื่อช่วยในการอ่านค่ะ คิกๆๆๆ จากคุณ : Gain - [ 6 ส.ค. 47 07:07:41 A:unknown X:202.12.73.9 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อ่านดูแล้ว โก่งคันธนู ได้ความหมายคล้ายๆ ช้อนหุ้นใช่ไหมครับ แก้ไขเมื่อ 10 ก.ย. 47 13:52:21 แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 47 09:09:11 จากคุณ : มือใหญ่ - [ 6 ส.ค. 47 08:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ผมมีความเห็นว่า ดอกเบี้ยจะขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อเป็นส่วนใหญ่ สมัยพอล วอล์คเกอร์เป็นประธานเฟด เคยขึ้น เฟดฟันด์เรท ไปอย่างบ้าเลือดจนถึง 17 % ไพร์มเรทขึ้นไปถึง 20 % http://forecasts.org/data/index.htm เพื่อกดเงินเฟ้อ ซึ่งก็ได้ผล จนทำให้พอล วอล์คเกอร์เป็นที่นับถือของโลกการเงิน ที่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจทางการเมือง ทุกวันนี้มีนักการเงินระดับประเทศ ในไทยคนไหน ที่ไม่ก้มหัวให้นักการเมืองบ้าง จากคุณ : คลาย เครียด - [ 6 ส.ค. 47 11:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณทุกๆท่าน สำหรับคำแนะนำครับ มีหลายท่านพยายามให้คำตอบเรื่องรูป เศรษฐกิจ โก่งคันธนู มา ผมอ่านดูแล้ว ยังไม่ตรงกับสิ่งที่ตั้งใจจะบอก 100 % ครับ คงจะนำเสนอในตอนท้ายสุดครับ สำหรับคำแนะนำเรื่อง ให้เว้นบรรทัด ขอบคุณมากครับ จะลองพยายามดูนะครับ - คาดการณ์ว่าฟองสบู่ของจีนจะแตกเมื่อใด และจะมีผลอย่างไรต่อสภาวะเศรษฐกิจของแต่ละภูมิภาค หลังจากผมถามคำถามนี้ ดูท่าทางเขากระตือรือล้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกครับ เขาตอบดังนี้ครับ ถึงแม้ผมจะเกิดในฮ่องกง แต่บรรพบุรุษผมก็เป็นชาวจีน และผมก็ถูกปลูกฝังให้ซึบซับความเป็นจีน และมีความภาคภูมิในความเป็นจีนมาโดยตลอด เรื่องราวและประวัติศาสตร์ของเราชาวจีน มีประวัติอันยาวนานนับพันพันปี และประวัติศาสตร์ของเราก็ได้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ชาวโลกมากมาย แต่ชาวโลกส่วนใหญ่กลับมองว่าชาวตะวันตกเป็นผู้สร้างหลายๆอย่างขึ้นมาและทำประโยชน์ให้ประชากรโลกได้มากกว่า เพราะวิธีคิดของประชากรโลกส่วนใหญ่ในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 ค่ายอย่างชัดเจน โดยมีสิ่งสำคัญทางด้านศาสนาเป็นตัวนำความคิด จากนั้นจึงได้แตกเป็นนิกายย่อย รวมทั้งพวกที่บิดเบือนคำสอน ซึ่งก่อให้เกิดผลร้ายหลายๆประการตามที่เราได้ประสพกัน หลายปีมานี้ ทางฟากฝั่งตะวันตก ได้พยายามสอนให้ ประชากรโลกเชื่อถือข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากระบบคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็เชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารจริงบ้างเท็จบ้าง แล้วใส่ลงในเครือข่ายข้อมูลข่าวสารขนาดใหญ่ที่เรารู้จักกันดีในนาม Internet จนปัจจุบันนี้ ไม่มีใครมั่นใจ 100% ว่า ข่าวสารที่ได้รับ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด และด้วยเหตุนี้ ทางรัฐบาลจีน จึงได้ปิดกั้นข้อมูลข่าวสารบางส่วนที่ผ่านเข้ามาให้กับคนจีนได้รับรู้ เพราะมีประชากรจีนอีกมากมาย ที่ยังไม่สามารถแยกแยะความถูกหรือผิดจากข้อมูลข่าวสารเช่นนั้นได้ คุณคงได้รับทราบว่า ทุกครั้ง ที่จีนทำอะไรก็ตาม พญาอินทรี มักต้องออกมาแสดงความเห็นในเชิงขัดแย้ง ซึ่งอันที่จริงแล้ว ไม่ใช่เฉพาะการแสดงความเห็นขัดแย้งเท่านั้น ยังมีหน่วยงานใต้ดินของ พญาอินทรี ที่พยายามบ่อนทำลายระบบการปกครองของเรา เพื่อหวังผลให้เกิดการแบ่งแยกเฉกเช่นเดียวกับรัสเซียในอดีต ซึ่งทุกคนในรัฐบาลจีนสามารถจดจำจุดมุ่งหมายของพญาอินทรี ได้เหมือนอยู่ในกระแสโลหิตของพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งหากเมื่อใดที่คนภายในคณะปกครองมองเห็นว่ามีใครก็ตามที่ลืมเลือนความมุ่งหมายของ พญาอินทรี ไป คนผู้นั้นก็จะหาที่ยืนได้ยากในคณะปกครอง ดังที่ผมถามคุณในต้อนต้นๆว่า มีกี่ครั้ง ที่ชาวตะวันตกพยายามทำนายว่า จีนจะเป็นอย่างที่เขาพยายามทำให้ประชากรโลกเชื่อ แม้กระทั่งเรื่องของฟองสบู่แตก กี่รอบและกี่ครั้งแล้ว ที่ชาวตะวันตกบอกว่า เศรษฐกิจจีนจะต้องถึงคราวฟองสบู่ต้องแตก และเราสามารถผ่านคำนายนั้นมากี่ครั้งแล้ว (เขายิงคำถามให้ผมเป็นชุดๆ แต่ไม่เปิดช่องให้ตอบเลย สงสัยเป็นคำถามเพื่อให้คิดตาม ผมจึงนั่งฟังไปเรื่อยๆ สบายดีครับช่วงนี้ 5555) คุณเชื่อไหม ยิ่งชาวตะวันตกแสดงความเห็นในเรื่องนี้มากเท่าใด เขาจะยิ่งถูกลดความน่าเชื่อถือได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของเราชาวจีนเช่นกัน เราจะไม่โต้ตอบ แต่เราจะทำหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์อย่างที่ชาวตะวันตกต้องการเกิดขึ้นได้จริงๆ ประเทศจีน มีประชากรและทรัพยากรภายในมากพอที่ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเศรษฐกิจของชาวตะวันตกเลย ไม่ว่าทางด้านเทคโนโลยี หรือทางด้านเกษตรกรรม เรามีพื้นที่และฐานความรู้มากพอที่จะดำรงอยู่ได้โดยไม่ขอข้องเกี่ยวกับชาวตะวันตก แต่ที่คุณเห็นว่า เราทำการค้าขายกับชาวตะวันตกนั้น เป็นกลยุทธ์ทางด้านการเมืองมากกว่า อันที่จริง เราได้เลือกแล้วด้วยซ้ำว่า เราต้องการที่จะค้าขาย กับชาวเอเซียด้วยกัน และต้องการที่จะค้าขาย กับทางตะวันออกกลางมากกว่าที่จะสนใจชาวยุโรปหรืออเมริกัน และคุณรู้ไหม เหล่ามารทางโลกตะวันตกนั้น ไม่ได้ด้วยกล ก็จะหาประโยชน์ด้วยเลห์เพทุบายต่างๆ ดูนายใหญ่บริษัทผลิตซอฟท์แวร์ยักษ์ใหญ่ของโลก ที่เพิ่งมาเยี่ยมจีนเมื่อไม่นานมานี้สิ เขาพยายามทุกวิถีทาง ที่จะทำให้จีนเป็นตลาดการค้าในทิศทางที่เขาต้องการ แล้วเป็นอย่างไร ในที่สุด คนที่รวยที่สุดในโลก ก็ต้องเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ เพื่อสานผลประโยชน์ของเขาด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งเขาจะได้รับรู้ต่อไปในอนาคตว่า ไม่ว่าเลห์กลใดๆที่เขาพยายามสร้างและดำเนินการอยู่ จะไม่มีทางสำเร็จได้เลยชั่วอายุเขาและลูกหลานของเขา ประเทศจีน ยังมีการปกครองที่ไม่เหมือนกับหลายๆประเทศในโลก และมีขนาดใหญ่มากเกินกว่าที่ พญาอินทรี จะเข้ามาเสี่ยงโดยลำพัง นี่เป็นเหตุผลทางด้านการเมือง ที่จีนเรา ต้องทำ เพื่อไม่ให้ เจ้านกบ้านี่ หาเหตุพาพวกเข้ามาก่อเรื่องสงครามเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา แต่สังเกตุดูนะครับ ระบบของจีน ก็ไม่ได้เหมือนระบบของรัสเซียในอดีตทั้งหมด ถึงแม้จะได้ชื่อว่ามีการปกครองในระบอบเดียวกัน สำหรับการดำเนินการภายในทุกๆอย่าง คณะปกครองชาวจีนจะต้องรู้ และซึมซับเรื่องราวอีกเรื่องคือการรักษาสมดุลย์ ตัวแปรต่างๆภายในประเทศจีนมีอยู่มากมาย ตัวแปรบางอย่างที่ชาวตะวันตกรับรู้ก็ไม่ใช่ข้อมูลจริงทั้งหมด (เล่นเรื่องข่าวสารกับชาวตะวันตกเหมือนกันนี่ 5555) อีกตัวอย่างก็เรื่อง ค่าเงินหยวน ถ้าเป็นประเทศไทยคงวิ่งขึ้นวิ่งลง ตามความต้องการของชาวตะวันตกไปเรื่อยๆ แต่ค่าเงินหยวนเป็นอย่างไรในปัจจุบัน ทำนายกันมากี่รอบแล้ว ว่าจะต้องลดต้องเพิ่ม แล้วมีใครทำนายถูกบ้างหรือยัง (ถึงตอนนี้เขาเองก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี คงเห็นผมนั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ) ผมเลยสวนเข้าไปเล็กๆน้อยๆว่า แต่ในที่สุดก็คงไม่พ้นคำทำนายของชาวตะวันตกใช่หรือไม่ เขาจ้องมองผมสักครู่แล้วพูดต่อ สำหรับเขาแล้ว เขาไม่คิดว่าฟองสบู่จีนจะแตกเลย ผมทำท่าทีสงสัย เขาก็เลยพูดต่อดังนี้ คุณเคยถามคนจีนหลายๆคนในประเทศจีนบ้างไหม ถามแบบคละเคล้ากันไปเลยนะ ว่าระหว่างคำแนะนำของชาวตะวันตกกับของผู้นำของจีนเอง เขาจะปฏิบัติตามใคร เราเคยออกแบบสอบถามในทำนองนี้อยู่หลายๆครั้ง และทุกๆครั้ง เปอร์เซนต์ ความต้องการปฏิบัติตาม คำแนะนำของชาวตะวันตกไม่เคยดีขึ้นเลย ยังมีชาวจีนอีกมากที่สามารถอยู่อาศัยได้โดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยี และชาวจีนพวกนั้น ก็มีความสามารถผลิตอาหารออกมา เพื่อเลี้ยงดูชาวจีนส่วนน้อยที่มุ่งหน้าสร้างระบบทันสมัยให้กับประเทศจีน ตามนโยบายของรัฐบาลจีน และที่สำคัญรัฐบาลจีน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการผลิตแทบทุกแขนงในโลก จะเห็นได้ว่า โรงงานจีนหลายโรงงาน สามารถผลิตสินค้า ที่มีคุณลักษณะเหมือนกับสินค้าจากโลกตะวันตกได้แทบทุกรูปแบบ โดยเฉพาะที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ธรรมดา ภายใต้การผลิตเหล่านั้น รัฐบาลจีนยังให้ความช่วยเหลือ ในรูปแบบต่างๆมากมาย ไม่เหมือนในประเทศของคุณ (ไม่เหมือนในประเทศของคุณ ผมสงสัยประโยคนี้มากจนนั่งฟังอย่างเดียวต่อไปไม่ได้จึงถามกลับทันที) ไม่เหมือนอย่างไรครับ ตอนนี้เราก็มีโครงการ SME และอีกหลายๆโครงการ ที่จะนำพาประเทศให้มุ่งหน้าสู่ความก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี อีกทั้งงานวิจัยต่างๆอีกมากมาย เขาหัวเราะ แล้วบอกว่า ที่ไม่เหมือนคือ การมุ่งหน้าดำเนินการในนโยบายบางอย่างของรัฐ อันจะนำพาให้ประเทศประสพความสำเร็จในระยะยาวต่างหากครับ หลายๆคนในประเทศของคุณ มักไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ จากการช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะไม่ใช่ผลประโยชน์ของเขาเหล่านั้น คิดกันแต่ว่า ผู้อื่นจะได้ประโยชน์และเป็นพวกพ้องของรัฐบาล จนกลุ่มที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลอีกหลายกลุ่มได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ผิดกับรัฐบาลและประชากรของเรา พวกเขาคิดว่า วันนี้กลุ่มธุรกิจนี้ได้ประโยชน์ วันข้างหน้ากลุ่มอื่นๆก็ได้ประโยชน์บ้าง ไม่คิดว่ากลุ่มเดิมๆจะได้ประโยชน์อยู่กลุ่มเดียวเสมอไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับทำลายตัวเอง ลอจิคง่ายๆเพียงนี้ คุณไม่เข้าใจหรือ (ผมอึ้งเลยครับ แต่ถามเขาต่อ) แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่า คนของเราเป็นเช่นนั้น เขาเลยตอบผมว่า ก็เพราะความเป็นนักธุรกิจของผม จึงได้มีโอกาสรู้ว่า หลายๆโครงการที่นักธุรกิจ ในประเทศคุณจะลงทุนดำเนินการต้องพังพาบไป เพราะคนในประเทศคุณนั่นแหละไปหาว่าเขาเกี่ยวข้องกับรัฐบาล ผลก็เลยต้องเก็บโครงการดีๆบางโครงการไป ผมเสียดายแทนจริงๆนะครับ พอดีโทรศัพท์ดังขึ้นเขาเลยขอตัวสักครู่ ผมนั่งนึกถึงคำที่เขาพูด และนึกถึงเหตุการณ์ในประเทศไทยของเรา ก็มีความคิดเห็นด้วยกับเขาเหมือนกัน เช่น FTA ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย ก็มีกลุ่มต่างๆออกมาบอกว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงกับภาครัฐจะได้ประโยชน์ โครงการหนึ่งตำบลก่อนหน้านี้ก็มีการปรามาสและหวาดระแวงกันไปต่างๆนา หลายสิ่งหลายอย่างผุดขึ้นมาในสมองของผมในขณะนั้น คอคอดกระ ท่อแก็ส ให้ทุนหมู่บ้าน พัฒนาสิ่งทอ นาโนเทคโนโลยี ยางพารา ข้าว น้ำตาล โอย จิปาถะครับ ผมไม่เคยเห็นใครที่ไม่ใช่ผู้เริ่มไอเดียของโครงการหรือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการ ออกมาสนับสนุนผู้อื่นมากนัก แต่ที่เห็นมากๆก็จะเป็นเสียงคัดค้าน ทั้งๆที่บางโครงการยังไม่มีโอกาสเกิดขึ้นจริงๆเลยด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ที่ผมคิดว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจไทย ให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่หมื่นล้าน ก็ยังมีคนติติงกันว่าไม่น่าทำ ในขณะที่ก็มีคนติว่า ทำไมรัฐไม่ช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย อย่างที่หลายๆประเทศทำกัน เช่น อเมริกัน หรือ ญี่ปุ่นช่วยชาวนาของเขา ไม่เห็นคนในประเทศของเขาออกมาด่าว่ารัฐบาลไปหาเสียงกับชาวนาเหล่านั้นเลย ซึ่งแม้กระทั่งรัฐบาลจีนช่วยเงินสนับสนุนโรงงานต่างๆ ให้สามารถแข่งขันกับชาวโลกก็ไม่ค่อยมีเสียงคัดค้าน แต่รัฐบาลไทยช่วยส่งเสริมทุกธุรกิจที่ต้องพึ่งพาน้ำมันดีเซล กลับบอกว่าจะสูญเงินของประเทศอย่างมหาศาล ผมคิดแล้วคิดอีก สรุปได้ว่า คนของเราชอบมองด้านเดียวจริงๆ หากไม่ใช้ด้านที่เป็นผลประโยชน์ต่อตนเองแล้ว ชอบคัดค้านกันเรื่อยๆไปมากกว่าจะช่วยกันส่งเสริม ท่านทั้งหลายที่นั่งอ่านกันอยู่นี้คิดเห็นในประเด็นนี้กันอย่างไร ช่วยๆกันแสดงความเห็นด้วยนะครับ สักครู่เขาเดินเข้ามาบอกผมว่า คงต้องคุยต่อกันในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เขาติดธุระสำคัญบางประการอย่างกระทันหัน เป็นอันว่า ผมคงต้องขอต่อคืนนี้นะครับ สำหรับหัวข้อต่อไป สรุปว่า เขาไม่เชื่อว่า ฟองสบู่จีนจะแตก และเชื่อว่าจีนจะมีวิธีการจัดการที่ไม่เหมือนหลายๆประเทศ เพราะจีนมีแนวทางของตนเอง และศักยภาพในระบอบการปกครองของจีนในปัจจุบัน ยังสามารถทำอะไรได้อีกหลายๆอย่าง ในขณะที่หลายประเทศทำไม่ได้อย่างเขา ก็คงต้องคอยดูกันต่อไปครับ ส่วนการสรุปในประเด็นนี้ สำหรับความรู้สึกของผม ก็ยังก้ำกึ่งระหว่าง แตก ไม่แตก ก็คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปครับ เพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือให้กับการ แตก หรือ ไม่แตก ต่อไป 5555 จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 6 ส.ค. 47 14:45:18 A:210.1.6.101 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบพระคุณมากค่ะ คุณชอบอ่าน รักษาสุขภาพด้วยนะคะ จากคุณ : Gain - [ 6 ส.ค. 47 20:43:49 A:unknown X:202.12.73.9 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ต่อดึกไปหน่อยนะครับ หากพิมพ์ต่อไม่ไหว จะมาต่อช่วงกลางวัน วันพรุ่งนี้นะครับ - เกิดอะไรขึ้นกับราคาน้ำมันในปัจจุบัน (ผมได้คาดการณ์ผิดไปว่าไม่น่าจะสูงกว่า High เดิมคราวที่แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจริงๆครับ) และเมื่อใดจึงจะกลับสู่สภาวะปกติ ก่อนหน้านี้ไม่กี่อาทิตย์ ผมยังคิดอยู่ว่า น้ำมันน่าจะเริ่มลงได้แล้ว แต่ต้องยอมรับว่า ประเมิณสถานการณ์นี้ผิดไปจริงๆ ยิ่งได้คุยกับนักธุรกิจหนุ่มนายนี้แล้ว จึงทำให้ผมรู้ว่า ผมตกประเด็นสำคัญสำหรับการประเมินเรื่องราคาน้ำมันไปครับ ตกยังไงลองดูคำตอบของเขานะครับ ในมุมมองของผม ราคาน้ำมันที่สูงอยู่ในขณะนี้ เป็นปัจจัยที่ส่งผลทั้งทางด้านดีและร้ายไปทั่วโลก ในด้านร้าย ทุกๆคนก็รู้กันอยู่โดยทั่วไปแล้ว ขอพูดถึงด้านดีสักเล็กน้อย ใครจะคิดบ้างว่า ราคาน้ำมันสามารถขึ้นมาสูงที่สุดในรอบ 21 ปี แต่ก็เป็นไปแล้ว แต่คุณรู้ไหม ในช่วงนี้มีอะไรใหม่ๆปรากฏออกมาบ้าง ในเรื่องการปฏิวัติอุสหากรรมรถยนต์ ได้มีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนที่ใช้พลังงานหลากหลายมากขึ้น ในประเทศไทยของคุณก็มีโครงการพลังงานรูปแบบใหม่มากขึ้น และหลายๆประเทศในโลกก็พยายามทำเช่นนั้นอยู่ และที่สำคัญหลายๆประเทศได้พยายามผลักดัน ให้มีการนำรถยนต์รูปแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานมาใช้ ทั้งๆที่พยายามมาหลายปี แต่ก็ไปไม่ถึงไหน พอราคาน้ำมันแพงขึ้น โครงการเหล่านั้นก็พากันคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด (ผมนึกอยู่ในใจเหมือนกันว่า ในประเทศไทยเราก็กำลังพยายามแก้กฏหมายรองรับ รถประหยัดพลังงาน ประเภทรถไฟฟ้ากันอยู่ ถ้าไม่เช่นนั้นจะนำออกมาวิ่งบนถนนไม่ได้ ทั้งๆที่ตอนนี้ก็มีการผลิตออกมาขายได้แล้ว และไม่นานนี้ก็ยังจะมีโครงการลดภาษีสำหรับรถยนต์ ที่ใช้พลังงานทางเลือกอื่นที่สามารถประหยัดน้ำมันได้ นอกจากนี้ก็มีการรณงค์ให้ใช้ แก็สโซฮอล์บ้าง ไบโอดีเซลบ้าง) ในด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก ทำให้ธุรกิจการผลิตพลังงานทางเลือกมากขึ้น และหลายๆโครงการ ก็พยายามพัฒนาระบบพลังงาน ที่มีความสะอาดมากกว่าการใช้น้ำมัน ระบบเซลแสงอาทิตย์ ก็มีการค้นคิดหาทางเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ให้มากกว่า 20-25% และมีหลายๆประเทศก็กำลังสร้างโรงกำเนิดไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์กัน นอกจากนี้ บริษัทที่ทำธุรกิจเรื่องเซลแสงอาทิตย์ ก็มองเริ่มมองเห็นอนาคตอันสดใสขึ้น (ในไทยเราก็เพิ่งมีการเปิดโรงไฟฟ้าเซลแสงอาทิตย์ไปไม่นานนี้ ในด้าน สังคม ทำให้ผู้คนเริ่มตระหนัก และหันมาสนใจข้อมูลอย่างจริงจังว่า เราทั้งโลกจะมีน้ำมันใช้ไปอีกเพียง 30 ปีเท่านั้น จากนั้นจะทำอย่างไร และทำให้หลายๆคน เริ่มหันมาประหยัดพลังงานมากขึ้น (ในไทยเราก็มีโครงการขับรถไม่เกิน 90 กม./ชั่วโมง มีการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงานอีกหลายๆโครงการ ซึ่งโครงการเหล่านี้จะไม่ถูกปฏิบัติอย่างเต็มที่ในยุคน้ำมันถูก) เขาพูดอีกหลายๆด้าน ท่านผู้อ่านทั้งหลายลองนำไปคิดดูนะครับ ผมได้เขาถามเข้าประเด็นว่า แล้วสาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำมันขึ้นมาขนาดนี้คืออะไรกันแน่ ผมเคยประเมิณว่า หลังจากโอเปคเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว ราคาน้ำมันควรจะเริ่มลดลง และการเก็งกำไรราคาน้ำมันน่าจะเริ่มหยุดกันได้แล้ว เพราะราคาเริ่มสูงมากเกินไปแล้ว มันอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกก็ได้ หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป เขาเลยพูดต่อดังนี้ครับ เรื่องนี้เขาก็เคยปรึกษาท่านผู้เฒ่าอยู่เหมือนกัน พอจะสรุปได้ว่า ตอนนี้หลายๆคน ประเมิณว่า การที่ราคาน้ำมันขึ้นมาสูงขนาดนี้ เพราะอย่างไรก็ตาม โอเปคคงผลิตน้ำมันไปได้ไม่มากกว่านี้นัก และความกังวลเรื่องการก่อการร้าย ซึ่งก็มีส่วนถูกอยู่มาก แต่หลายๆคนก็ลืมไปว่า ประเทศที่ได้ผลประโยชน์จากการค้าน้ำมันมากที่สุด ก็คือ อเมริกา สาเหตุที่สำคัญอีกประการที่ทำให้ราคาน้ำมันขึ้นมาสูงมากขนาดนี้ ก็คือ เรื่องการเมืองภายในอเมริกาเอง คุณรู้ไหมว่า นายบุช ทำธุรกิจอะไร (ผมตอบเขาทันทีว่า น้ำมัน) แล้วเมื่อใดต้องมีการเลือกตั้งที่อเมริกา ก็ประมาณ พฤษศจิกายน คุณพอคิดอะไรออกบ้างไหม (มาถึงคำถามนี้ ผมนึกถึงประเด็นสำคัญที่ขาดหายไป ในการประเมิณราคาน้ำมันทันที และตอบเขาไปทันที) สิ่งนั้นก็คือ ทุนรอนในการเลือกตั้ง เขาหัวเราะแล้วพูดต่อ นั่นแหละที่คุณน่าจะเข้าใจ ในคำถามที่คุณได้ตั้งไว้เองแล้ว คุณคิดว่าใช่ไหม ผมเลยแย้งเขาไปว่า โดยปกติแล้ว ทุนรอนในการเลือกตั้งของนักการเมืองทั้งหลาย มักมาจากตลาดทุนไม่ใช่หรือ เขาตอบว่า ถ้าเป็นนักการเมืองคนอื่นก็ใช่ แต่หากเป็นคนที่มีธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตลาดทุน เพราะสิ่งที่เขาถนัดที่สุดก็คือ การทำกำไรจากน้ำมัน (ผมก็ถึงบางอ้อสิครับ เหมือนเส้นผมบังภูเขาจริงๆ) ผมจึงสวนกลับว่า ถ้าอย่างนั้น ราคาน้ำมันก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และหลังเลือกตั้งราคาน้ำมันก็น่าจะกลับสู่ภาวะปกติ เขาตอบว่า มันขึ้นอยู่กับว่า ใครชนะเลือกตั้ง และเรื่องของการทำกำไรจากการค้าน้ำมัน ต้องมีการปล่อยให้ราคาขึ้นลงเหมือนตลาดหุ้นเช่นกัน คุณอาจเห็นราคาขึ้นๆลงๆผันผวนไปจนเลือกตั้งเรียบร้อย และหากนายบุชชนะ ราคาก็จะถูกโมเมนตัมของการก่อการร้ายเป็นตัวกำหนดแทน ซึ่งหากผู้ก่อการร้ายต้องการใช้น้ำมันบ่อนทำลายเศรษฐกิจอเมริกา ตามที่นักวิเคราะห์หลายๆคนออกมาแสดงความเห็น ผมจะคิดว่า กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ไม่มีสมองจริงๆ เพราะมันไม่ได้ทำให้ อเมริกาพินาศเป็นรายแรก แต่จะทำให้อเมริกาพินาศเป็นรายสุดท้ายต่างหาก แต่หากนายเคอรี่ชนะ ราคาอาจยังคงสูงอยู่อีกระยะ ทั้งจากการเข้าสู่หน้าหนาว และจากการถอนทุนที่ใช้ในการเลือกตั้งคืน ซึ่งทำได้ไม่นานนักเพราะอำนาจเริ่มหมดลงแล้ว เพื่อเป็นทุนรอนไปดำเนินการเรื่องอื่นๆต่อ จากนั้นถ้านายเคอรี่ทำได้ตามที่เขาพูด ราคาก็อาจกลับสู่สภาวะปกติได้ แต่หลังจากนั้นอีกสองสามปี ประเด็นเรื่องจีนกับไต้หวัน อาจเป็นตัวแปรใหม่ที่จะกำหนดราคาน้ำมันก็ได้ คำถามในประเด็นนี้ ช่วยเปิดมุมมองของผมอีกมุมหนึ่ง และหากเป็นจริงตามที่เขาคาดคะเน ก็จะยิ่งทำให้ผมเกลียดนายบุชมากขึ้นอีกมาก แต่เรื่องของอนาคตต้องรอดูให้รู้แน่เมื่อเวลามาถึง และถ้าหากเขาคาดคะเนถูก ผมคงต้องหาโอกาสมาพูดคุยกับเขาอีกในอนาคต สิ่งที่สรุปได้ก็คือ ขนาดโอเปคเอง ก็ยังไม่ใช่ผู้มีอำนาจกำหนดราคาน้ำมันอย่างแท้จริงหรือ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เศรษฐกิจโลกจะทนไหวไหม แต่หากราคาน้ำมันเริ่มลดลงหลังเลือกตั้งในอเมริกา แล้วดีเซลเราจะต้องตรึงต่อไปอีกหรือ ถ้าต้องตริงต่อ สิ้นปีจะพอไหม ยิ่งคิดยิ่งต้องติดตามอย่างกระชั้นชิดจริงๆครับ 5555 จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 7 ส.ค. 47 02:24:08 A:203.118.106.111 X: ]

ความคิดเห็นที่ 41 เรื่องเศรษฐศาสตร์สงครามนั้นเคยพูดกันตอนที่บุชบุกอิรักและรัฐบาลอเมริกันใช้เงินไปมาก คนอเมริกันถูกหลอกว่าตัวเองเป็นผู้เสียสละเพื่อสันติภาพของโลก เพื่อประโยชน์ของคนอิรัก โดยประเทศสหรัฐต้องเสียเงินและกำลังทหารมากมายเพื่อผู้อื่น แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่างบประมาณทางทหารและชีวิตของทหารที่เสียไปนั้น ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริงคือธุรกิจน้ำมันและธุรกิจค้าอาวุธสงคราม ในธุรกิจค้าน้ำมัน บริษัทยักษ์ใหญ่หรือที่เค้าเรียกกันว่า seven sisters นั้นมีกี่บริษัทที่สัญชาติอเมริกัน ลองดูนะครับ exxon texaco shell socal mobil gulf bp ผมปิ๊งไอเดียเรื่องทุนเลือกตั้งของ replubican กับการปั่นราคาน้ำมันจริง ๆ ผมไม่เกลียดบุชครับ แค่สมเพช แต่ผมเกลียด replubican จากคุณ : ขุนอิน - [ 8 ส.ค. 47 05:38:31 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณครับพี่ จากคุณ : weekest - [ 10 ส.ค. 47 00:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขออภัยที่ต่อประเด็นค่อนข้างช้านะครับ พอดีช่วงนี้ติดภารกิจมากพอสมควร ประเด็นคำถามสุดท้ายแล้วนะครับ - ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุนหรือไม่ในสายตาของนักลงทุนอย่างเขา และเขารู้จักประเทศไทยดีเพียงใด เขาตอบผมว่า ประเทศไทย อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการดำเนินนโยบายการเมือง ถึงแม้ว่าข่าวและข้อมูลหลายๆอย่างที่ได้รับจากประเทศของคุณ จะแสดงว่า พรรคการเมืองปัจจุบัน มีโอกาสสูงมาก ที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลในคราวหน้า แต่กลุ่มนักธุรกิจอย่างผมและเพื่อนๆ ขนานนามประเทศของคุณว่า ประเทศจอมพลิกล็อค แสดงว่าประเมินประเทศผมผิดบ่อยๆสิครับ ผมแย้งทันทีเมื่อมีโอกาส เขาหัวเราะแล้วพูดต่อ ใจเย็นๆครับ คำว่า จอมพลิคล็อค หมายถึง การคาดหมายในเรื่องการดำเนินกิจกรรมทางด้านการเมือง ส่วนเรื่องศักยภาพทางเศรษฐกิจ เราประเมินไม่ผิดมากนัก จะแปลกใจอยู่บ้างตรงที่ ประเทศของคุณสามารถฟื้นตัวได้เร็วมากพอสมควร และดูเหมือนว่าจะฟื้นตัวอย่างมั่นคง หากคุณเข้าไปดูการวิเคราะห์ต่างๆ ที่จัดทำโดยนักวิชาการต่างประเทศมากมาย คุณหาอ่านได้ง่ายๆ โดยพิมพ์ keyword ไม่กี่คำใน google ที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์เศรษฐกิจและศักยภาพของประเทศไทย คุณจะพบข้อมูลมากมายเกี่ยวกับประเทศของคุณ ซึ่งข้อมูลมากมายเหล่านั้น เพิ่งจะมีการเริ่มต้นวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง ในช่วงเวลาหลังจากวิกฤตครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ประเทศของคุณได้โอกาสในวิกฤติไปพอสมควร คำตอบเช่นนี้ คงสามารถตอบคำถามในช่วงหลังได้นะครับ ผมพยักหน้า เขาจึงพูดต่อ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ เราประเมินว่าคนภายในประเทศคุณส่วนใหญ่ เป็นคนช่างฝัน แต่ไม่ชอบปฏิบัติสิ่งใดๆอย่างกระตือรือล้น เพื่อทำให้ฝันของเขาเหล่านั้นเป็นจริง แต่ก็น่าเห็นใจ เพราะบางครั้งที่ผมได้ยินได้ฟังความฝันระดับประเทศของประเทศคุณ ก็มักได้ยินเสียงคัดค้านความฝันดังตามมาในระยะเวลาไม่นานนัก เช่น ฝันว่า จะก่อสร้าง สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ จะสร้าง เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ จะขุดคลองคอคอดกระ ฯลฯ และที่ล่าสุดได้ยินว่า จะทำแลนด์บริดจ์ (สะพานเชื่อมทะเลฝั่งอันดามันกับฝั่งอ่าวไทย) จะจัดจำหน่ายลอตโต้ออนไลน์ จะสร้างโรงแยกก็าช ฯลฯ แต่ก็ไม่เห็นทำได้สักอย่าง จะมีอยู่บ้างในรัฐบาลปัจจุบันของคุณ ก็มีเรื่อง Govverment Lotto รถไฟฟ้าใต้ดิน และสนามบินที่โหมโฆษณาว่าจะเสร็จในปีหน้า ซึ่งแต่ละเรื่อง กว่าจะทำได้ ไม่ใช้เวลานานมากๆ และต้องผจญกับเสียงคัดค้านมากมาย สิ่งสำคัญในกรณีเหล่านี้คือ ผมเห็นข้อมูลคัดค้านมากมาย โดยอ้างเหตุหรือผลที่ไม่ดีที่จะตามมา ทั้งๆที่บางโครงการยังไม่เคยมีการดำเนินการมาก่อน แต่แปลกคือ มีคนมองเห็นสิ่งไม่ดีในอนาคตมากมาย และใช้มันเป็นเห็นผลไม่ให้ดำเนินการ แต่ไม่ค่อยเห็นว่ามีใครนำเสนอข้อมูลว่า หากมีผลเสียอย่างที่คิด น่าจะปรับปรุงหรือหาทางป้องกันอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานั้น หรือทำแผนปรับปรุงสิ่งที่ผู้อื่นนำเสนอให้มีผลดีมากขึ้น ด้วยเหตุที่เราได้รับข้อมูลต่างๆที่ผมพูดให้ฟังเช่นนี้ จึงเป็นเสมือนด่านปราการสำคัญที่ทำให้พวกเรายังไม่มีความมุ่งมั่น ในการนำเงินของเรา เข้าไปลงทุนในประเทศไทยของคุณมากนัก เพราะพวกผมมักรู้สึกว่า โครงการในวันนี้ อาจประสพความล้มเหลวในวันหน้า เพราะเสียงคัดค้านจากกลุ่มคนที่สรรหาเหตุผลมาแย้ง ส่วนเหตุผลอื่นๆ ก็มี เช่น เกือบทุกข้อมูลของบางโครงการที่เรามองว่าดี จะมีคนในประเทศของคุณนั่นแหละ คอยบอกว่าไม่ดี เพราะมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง และในที่สุดจะไปไม่รอด พวกผมไม่ได้อยู่ในประเทศของคุณนะครับ หากคุณจะไปบ้านใครสักคน ก็คงต้องรับฟังสิ่งที่ควรระวัง จากคนในบ้านของคุณไม่ใช่หรือ แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า ประเทศของคุณ ไม่น่าลงทุนนะครับ แต่ผมคงต้องขอดูว่า ผลการเลือกตั้งในอเมริกาจะเป็นอย่างไร และช่วงเวลานั้น คงยังไม่สายเกินไปที่ผมจะหันไปลงทุนในประเทศของคุณอีกครั้ง ตอนนี้ พวกผมหลายคนกำลังสนใจว่า การเลือกตั้งรอบสองในอินโดฯจะมีผลเป็นอย่างไร และคงจะไปลงทุนที่นั่นก่อนสักระยะ ก่อนที่จะหันไปมองประเทศคุณ และคงต้องดูว่า มีนักลงทุนจากประเทศใดจะเป็นผู้นำในการลงทุนในประเทศของคุณก่อน และพากันเข้าไปลงทุนด้วยความร้อนแรงระดับใด ข้อสรุปที่ผมได้จากคำถามนี้คือ เขารู้จักประเทศเราดีกว่าบางคนในประเทศเราด้วยครับ และยังคิดที่จะมาลงทุน แต่คงไม่ขอเป็นผู้นำในการลงทุน และสามารถรอได้เรื่อยๆจนกว่าสัญญานการลงทุนจะปรากฏอย่างชัดเจนมากขึ้น และข้อสำคัญคือ เขามักนำช้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ ณ.บางประเทศในโลก มาวิเคราะห์ เพื่อพิจาณาถึงช่วงจังหวะเวลาที่เขาสามารถลงทุน ณ. ที่แห่งใดก็ตามบนโลกเรานี้ ปล. พรุ่งนี้คงเป็นตอนสุดท้าย และขอนำเสนอสรุป เรื่อง เศรษฐกิจ โก่งคันธนู ตามที่ตั้งชื่อกระทู้ไว้นะครับ อย่างไรก็ตาม คนโก่งคันธนูนี้ จะไม่ปล่อยให้คันธนูหักอย่างแน่นอน เพราะพวกเขายังต้องใช้คันธนูนี้ ในการหาสิ่งต่างๆสำหรับดำรงกิจกรรมเรื่อยๆไปครับ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 10 ส.ค. 47 00:38:17 A:61.90.6.184 X: ]

ความคิดเห็นที่ 44 ฝากไว้อีกนินนะครับ ช่วงสองสามวันนี้ ผมตั้งซื้อตัวที่ตั้งใจจะซื้อหลายๆตัว แต่ก็ซื้อไม่ได้เลยครับ สัญญาญแบบนี้ บ่งบอกอะไรบ้าง ลองคิดกันดูเล่นๆนะครับ 5555 จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 10 ส.ค. 47 00:40:27 A:61.90.6.184 X: ]

ความคิดเห็นที่ 45 ผมต้องขอขอบพระคุณพี่ ชอบอ่าน อย่างยิ่ง พี่ก็รู้ว่าไม่ค่อยมีใครขายให้ใช่มั้ยล่ะครับ ไม่ทราบว่าผมไปซื้อตัวเดียวกับพี่หรือเปล่า ผมและเพื่อนๆใด้ครบตามจำนวน ไม่สนราคาเท่าใหร่ ที่พี่เล่าเรื่องนี้เป็นการเปิดตาให้เพื่อนๆและผมช่วยให้ มีความมั่นใจมากขึ้นทีแรกก็คิดว่าบ้าอยู่กลุ่มเดียว ขอบพระคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : เปรี้ยวซาบซ่าส์ (limesoda) - [ 10 ส.ค. 47 09:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ขอบคุณมากๆครับ น่าเสียดาย ใกล้จะจบซะแล้ว น่าจะมีต่ออีก เพื่อความรู้ที่มากขึ้นของผม 5555+ แต่เท่านี้ก็ทำให้ผมได้หันไปมองในด้านที่ไม่เคยมอง คิดในด้านที่ไม่เคยคิด ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : ปิงป่องแชะ - [ 10 ส.ค. 47 19:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แล้วเรื่องน้ำมัน กับการทำสงครามทำไมไม่คิดถึงอีกแง่บ้าง แง่ที่ว่าทำอะไรก็มีแต่คนมองด้านลบ 555 งั้นขอมองว่าถ้าสงครามอิรัก สงครามที่อัฟกัน ไม่เกิด เรื่องก่อการร้าย เรื่องสงครามโลกครั้งที่สาม ก็จะเป็นความกังวลที่ไม่ได้รับการคลี่คลาย เมื่อมีสงครามทำให้คนทั้งโลกได้มองภาพที่มันไม่ไกลตัวมากนักออกมา ถ้าไม่มีสงครามมาเบรคภาวะเศรษฐกิจ ป่านนี้เราอาจอยู่บนหอคอยงาช้างแล้วครับ ตอนนี้มันเหมือนกับว่าแทนที่จะใช้ดอกเบี้ยในการเตือน หรือเบรค ความร้อนแรงของเศรษฐกิจ เราก็มีปัญหาก่อการร้าย มาช่วยฉุดรั้งไว้ (เหมือนกับการแก้ปัญหาก่อการร้าย สงครามโลกครั้งที่สามไปในตัว) แล้ววัฏจักรเศรษฐกิจที่ดีก็คือให้ยุคขาขึ้นมันนานที่สุดไม่ใช่หรือครับ ความชันไม่ต้องมาก แต่ของให้เป็นบวกก็พอ อย่าคิดมากนะครับ กำลังหาข้อดีของสงคราม และการก่อการร้ายอยู่ เพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น เรื่องศก.อะไรทั้งหลายก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ มาแอบฟังคนแถวๆนี้เขาคุยกัน จากคุณ : รู้บ้างไม่รู้บ้าง (แอ็บ) - [ 10 ส.ค. 47 21:45:46 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เพิ่งมาอ่านกระทู้นี้ห้องนี้เป็นครั้งเเรกค่ะ หูย ความรู้เพียบเลย เเต่รู้สึกว่ามันซับซ้อนมากเลยค่ะ จากคุณ : Dresdner - [ 11 ส.ค. 47 16:34:27 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เศรษฐกิจจีน หรือ เศรษฐกิจโลกจะต้องแตก นั้นเป็นเรื่องปรกติของมันอยู่แล้ว แต่มันคงต้องเดินไปสุ่จุดที่ดีสุดๆแบบทอปฟอร์มเสียก่อน ที่จะตกลงมาเลวร้ายที่สุด แถมยังต้องฟุ้งเฟ้อกันให้มากกว่านี้ อีกมาก ดูภาพแบบชาวบ้านทั่วๆไป เท่าที่เห็นยังคงระมัดระวังตัวกันอยุ่พอสมควรทีเดียว ส่วนเรื่อง ชาวจีนนั้น ตรงนี้เห็นด้วยกะ คุณชอบอ่านค่ะ ชาวจีนนั้น เขาว่า สมองเป็นเลิศ จำนวนอัจฉริยะมีมาก เพราะคัดเลือกมาจากจำนวนประชากรที่มาก จำเป็นต้องมีธรรมชาติ ที่แข่งขันสูง อีกทั้ง เขาวัดจาก การใช้รูปแบบภาษา...ชาติ ที่มีภาษา ที่ประกอบขึ้นมาจากราก ของรูปภาพ เอามาดัดแปลงรวมตัวกัน..หนึ่งคำเป็น หนึ่งรูป ในหนึ่งรูป มีตัวกำกับการออกเสียง ไม่ใช่ กขค หรือ abc ที่มีไม่กี่ตัว แล้วเอามาผสมกันเพื่อออกเสียง แล้วค่อยจับจากเสียงนั้นจึงรู้ความหมาย... ดังนั้น เขาจึงว่า พวกจีน หรือ ญี่ปุ่น หรือชาติใดๆ ที่มีลักษณะการใช้รูปแบบภาษาเช่นนั้น มักมีพื้นฐานสมอง ที่ซับซ้อนกว่า เฉียบแหลมกว่า เพราะสมองถูกบังคับให้ฝึกแต่สิ่งยากๆตลอดเวลา อาจารย์สอนภาษาชาวอังกฤษท่านนึง บอกกับดิฉันว่า ชาวตะวันตก ยอมรับว่า ชาวญี่ปุ่น 1 คน มีความสามารถในการทำการงานใดๆ เทียบกับ ชาวตะวันตก ได้ 3 คน จากคุณ : 007-s - [ 11 ส.ค. 47 19:37:32 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ยังรออ่านตอนสรุปอยู่น่ะครับคุณชอบอ่าน จากคุณ : Monitor - [ 14 ส.ค. 47 21:22:39 A:61.90.38.96 X: TicketID:013429 ]