CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    หลักการเล่นหุ้นตามสภาวะตลาด

    เมื่อสมัยสงครามอ่าวครั้งแรก ( สิบกว่าปีก่อน) ได้ติดตามดูการวิเคราะห์สงครามอ่าว ระหว่าง อเมริกากับอิรัก ตอนนั้นคือ ยรอซ ผู้พ่อเป็น ปธบ และใช้ยุทธการโจมตีว่า พายุทะเลทราย ผมติดตามเกาะติดดูทีวีตลอดเวลา ตอนนั้นเป็นช่วงแจ้งเกิด คุณ สุทธิชัย หยุ่น ที่เชิญผู้ทรงคุณวิฒุทางสงครามมั่ง ทางหุ้นมั่งมาวิเคราะห์ข่าวตลอดเวลา หุ้นก็ตกเอาทุกวัน ไม่ว่าคุณจะเล่นวิธีไหนก็ขาดทุน นอกจากขายแล้วรอ ก็กลัวว่าราคาตกลึกจะดีดกลับรุนแรงในเวลาสั้น คนที่ขายแล้วแต่ต้น ก็ไม่ใช่จะสบายใจ เพราะอาจซื้อคืนไม่ทัน (นั่นแหละที่เรียกว่า ตกรถ)


    มีอยู่ช่วงหนึ่งของรายการคุณ หยุ่น พูดสรุปตอนท้ายว่า

    ........หุ้นตกกำไรหุ้น หุ้นขึ้นกำไรเงิน......
    ผมฟังแล้วก็ ไม่ได้ใส่ใจ และยังสมองขี้เลื่อยอยู่ จนกระทั่งได้อ่าน หนังสือการเล่นหุ้นเกี่ยวกับชีวิต สังคม ความคิดและประสพการณ์ รวมทั้งหลักคิดหลักลงมือทำ ของเซียนหุ้นฮ่องกง เล่มหนึ่ง เขาบอกว่า สัจจะการเล่นหุ้นให้ได้กำไรต้อง เล้นได้สองทาง เพราะตลาดมีทั้งขึ้นและลง โดยที่คนเล่นส่วนใหญ่รู้ แต่หาทางพิชิตไม่เป็น เรียกได้ว่า คนเล่นหุ้นไม่ว่าจะสไตล์ไหน ๆ ถือสั้น เล่นยาว หวังปันผลโดยให้บริษัทส่งเงินมาที่บ้าน หรือเก็บปันผลเป็นเงินสดก่อนแขวนป้าย คนเล่นหุ้นส่วนมากหมกมุ่นก้มหน้าก้มตา แย่แต่บนจอ หรือไม่ก็ใจจิตใจจ่อกับราคาหุ้นโดยวิธีลุ้น ๆ ๆ ๆ อย่างเดียว (เขาว่าคือ พวกนักพนันโง่ๆ) โดยไม่คิดวิธีรับมือใดๆ (นั่นคือกลยุทธ) เมื่อยามตลาดขาลง

    ตอนตลาดขาขึ้น ตาบอดมาเล่นก็ได้เงิน เพราะเป็นกระแสแห่งความกล้า (ความกล้ามักซ่อนความไม่มีสติ ไม่มีเหตุผลเสมอ) อาซิ้ม อาซ้อ อาเฮีย อากู๋ คุณลุง คุณน้า จบ ป 4 เล่นได้ (แต่บางที คนเรียนสูง ๆ กลับไม่ได้กำไรช่วงตลาดขาขึ้น เพราะรอบครอบเกินไป มีความกลัวและคิดระแวงมากเกินไป ไม่ตามสถานะการณ์)

    ตอนตลาดขาลง ต่อให้มีความรู้สูง เป็น ดร ก็หมดปัญญาได้กำไรเงิน เพราะตลาดขาลงเป็นตลาดความกลัว มันยิ่งใหญ่กว่าความกล้า มันทำลายทุกสิ่ง มันไม่มีเหตุผล มันตื่นตระหนกสุด ๆ แต่ตลาดหุ้นทั่วโลก ต้องเป็นเช่นนี้วนเวียนสลับกัน จึงมีคำว่า ตลาดหมีและตลาดกระทิง

    เซียนผู้เขียนบอกว่า คนที่จะชนะตลาดได้ต้องมีกลวิธี เพื่อใช้ให้เป็นเครื่องมือชนะความกลัวที่เกิดขึ้นง่าย ๆ เมื่อตลาดขาลง นั่นคือการเปลี่ยนทัศนคติตนเองให้ได้ว่า ตลาดขาลงก็กำไรได้ คือกำไรหุ้น หมายความว่า มีเงินเท่าเดิมเมื่อเป็นตลาดกระทิง ซื้อได้ 100 หุ้น แต่เมื่อเป็นหมี ต้องซื้อได้ 200 หุ้น เป็นอาธิ ปัญหาคือ เราจะมีเงินเหลือมาซื้อ 200 หุ้นนั้นหรือไม่ (ส่วนมากต้องเพิ่มทุน เพิ่มงบ คือติดหุ้นจนเงินหมดแล้วยังไม่ได้ขาย จึงไม่มีเงินใหม่มาซื้อหุ้นราคาถูก ทั้งตลาดมีคนติดหุ้นมาก หุ้นจึงรูดเร็ว และต้องรอเม็ดเงินใหม่มาซื้อหนุน ดังนั้นคนเก่าจึงต้องทำได้แค่นั่งภาวนา วัน ๆก็มาห้องค้าแบบหมดอาลัย)
    เซียนหุ้นคนนั้นจึงแนะวิธี มอง ตัดสินตลาดก่อน ลงมือว่า ขณะนี้เป็น ขาขึ้น เต็มรูป หรือขึ้นประชดที่ลงนาน (ขึ้นจริงขึ้นหลอก) ในทางกลับกันเมื่อเป็นขาลงต้องตัดสินใจว่า (ลงจริงลงหลอก)

    การต้ดสินใจเรื่องนี้ เป็นอาวุธลับสำคัญของแต่ละคน เพื่อใช้ลงมือซื้อหรือขาย แต่โดยหลักการ เขาให้หลักกลยุทธไว้ตือ

    ตลาดขาขึ้น กำไรเงิน.....ตลาดขาลงกำไรหุ้น (โดยใช้เงินลงทุนเท่าเดิมไว้ก่อน จนกว่าตลาดเปลี่ยนทิศทางจึงเพิ่มเงินหรือลดเงินทุน ก็แล้วแต่ทุนแต่ละคน)

    นั่นคือหลักคิด เพื่อยึดให้ไปใช้เป็นหลักทำ
    หลักทำที่เห็นคุณเด่นศรี มาบอกในนี้ ก็ดี แต่ก็มีจุออ่อน เมื่อตลาดเป็นไซด์เวย
    ส่วนวิธีขาย 10 % ทุกขั้นตอน ก็เป็นรูปแบบที่ยังตัดสินตลาดไม่ออก จึงลดความเสี่ยงเพียง 10 % ทุกระดับชั้น ออกมาเป็นรูปแบบทรงกระบอก (ซีเรียลแพดเทริน) ข้อดีคือลดความเสี่ยงเมื่อยังไม่มั่นใจตลาด แต่จะกำไรหุ้นได้น้อย

    สำหรับผม จะใช้วิธี ขายแบบ ปิรามิด ซื้อแบบ ปิรามิด วิธีนี้ต้องมั่นใจในการอ่านขาดตลาด หรือมีวินัยตามเครื่องมือทางเทคนิค (ซึ่งก็บ่อยครั้งแพ้ใจตนเอง เพราะนั่งแช่ตลาด ใจจะควบคุมไม่อยู่)

    หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการนำไปคิดไปใช้ สร้างผลกำไร ปัจจัยอื่นๆยังมีทั้งขัดขวางและส่งเสริม เช่น คนมีเงิน มาก ๆ เงินเย็น ๆ คนมีความจำเป็นในระยะเวลาเล่น คนมีความจำเป็นใช้เงิน คนมีเวลาเฝ้าน้อย เฝ้ามาก ฯลฯ
    แล้วปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวทอน หรือตัวทวีกำลังมากในทางปฎิบัติ (วันหน้าค่อยว่ากัน)

    ขอให้โชคดี

    จากคุณ : อยากเชือก - [ 18 ส.ค. 47 08:07:38 A:202.5.85.242 X: TicketID:000385 ]