CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    "เอกยุทธ อัญชันบุตร" "จอร์จ โซรอส" เมืองไทย

    .พลิกปูม "จอร์จ โซรอส" เมืองไทย

    จะว่าไปแล้ว "เอกยุทธ อัญชันบุตร" เป็นฟันด์แมเนเจอร์มาตั้งแต่สมัยที่ได้ฉายาให้เป็นเจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์ เพราะในขณะนั้นเขาได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มคนมีเงินให้เป็นผู้บริหารเงินก้อนใหญ่เพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำ วันนี้เอกยุทธยังทำธุรกิจในฐานะฟันด์แมเนเจอร์อยู่ แต่ขณะเดียวกันได้ขยายบทบาทกลายเป็นอินเวสเตอร์ ที่ยกระดับตัวเองอยู่ในตลาดโลก

    เขาเล่าย้อนอดีตสมัยแชร์ชาร์เตอร์ให้ฟังว่า "ผมทำธุรกิจ ผมไม่ได้รับจากประชาชน ผมไม่เคยเจอใครเลย มีแต่ผู้ใหญ่เอาเงินมาให้ ครั้งแรก 10 ล้านบาท ทำธุรกิจคอมมิวนิตี้ก็กำไร มีคนอื่นเข้ามา จนเราบอกว่ามันเยอะเกินไปนะพอแล้ว ผมทำไม่ไหว เพราะการหาเงินในตลาดไม่ได้หาได้ทุกวัน เพราะเป็นเทรดดิ้ง สวอปเงินบ้าง อะไรบ้าง"

    เมื่อแชร์ลูกโซ่สะดุดต้องหนีออกนอกประเทศไปอยู่กับเพื่อนวิศวกรชาวเยอรมัน 5-6 เดือน ด้วยความรู้เรื่องการบริหารเงินและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ ในแวดวงการเงินในต่างประเทศจึงบินไปนิวยอร์ก ทำงานกับเมอร์ริล ลินช์ ในฐานะผู้บริหารไพรเวตฟันด์กองหนึ่งประมาณ 100 กว่าล้านเหรียญ

    "เขารู้ว่าผมชอบได้เสีย ทำสวอปเงิน มีส่วนต่างนิดเดียวก็ได้เงินมหาศาล ไปใหม่ๆ ก็กินเงินเดือน ตอนนั้นผมได้ 20,000 เหรียญ แต่ตอนหลังผมบอกว่าไม่เอา เอาเป็นเปอร์เซ็นต์ ทำอยู่ 2 ปีก็ไปทำพร็อพเพอร์ตี้ที่นิวยอร์ก หลังจากนั้นมาอังกฤษ มาเลเซีย สิงคโปร์ เริ่มมีกลุ่มที่เขาชอบลงทุนในเฮจด์ฟันด์ก็ลงทุนกัน ผมก็ให้ทีมรีเสิร์ชดูว่าช่วงนี้ตลาดไหนอ่อนก็บินไปอยู่ที่นั่น 2-3 เดือน พอฟันเสร็จก็บินไปประเทศอื่นต่อ เป็นอย่างนี้มาเกือบ 10 ปี จนเริ่มมีเงินขึ้นมาเยอะหน่อย อายุมากขึ้นก็คิดว่าน่าจะปักหลัก"

    เขาเล่าว่าในต่างประเทศกลุ่มนักลงทุนจะรู้จักเขาในนาม "จอร์จ ตัน" เขาจะรู้จักชื่อนี้ในเซาท์อีสต์เอเชียในวงการตลาดหุ้น ตลาดเงิน ตลาดน้ำมัน "อย่างเรื่องน้ำมันเราก็ดูว่ายังขึ้นได้ 50-60 เหรียญ/บาร์เรล ค่อนข้างแน่นอน เราเข้ามาตั้งแต่ 30 กว่าเหรียญ/บาร์เรล ซื้อมาขายไป ผมถึงบอกว่าเราเป็นห่วงประเทศไทย เราอยู่ข้างนอกเรามองชัดกว่า อยู่ข้างในมันเห็นไม่ชัด"

    "ที่ทำธุรกิจช็อปปิ้งเซ็นเตอร์และธุรกิจรีเทลนี่ไซด์ไลน์หมด มีเจ้าหน้าที่ดูแลให้ ถ้าถามผมว่าเล่นหุ้นหรือเปล่า ผมไม่เรียกว่าเล่นหุ้น ผมเป็นนักลงทุนและเราก็มีการลงทุนที่ดี ถ้าเล่นก็เจ๊ง พูดว่าเล่นไม่ได้ ผมกลับมาเมืองไทยผมมาลงทุน ปีที่แล้วผมได้ไปเยอะ แล้วผมก็เลิก เพราะผมรู้ว่าหุ้นมันมีไซเคิล เรารอจังหวะการลงทุน ตลาดที่ไหนดีในโลกเราก็ไปเยี่ยมชมเขาหน่อย ไปสัก 3 เดือน 6 เดือน ได้มาก้อนหนึ่งก็หยุดไป แต่รอบหนึ่งมันอยู่ที่ 6-7 ปี"

    เอกยุทธบอกว่าเขาเป็น "อินเวสเตอร์" ธุรกิจไหนที่มีผลกำไรถูกต้องตามกฎหมายก็ลงทุน กิจการเขาจึงขยายไปเยอะ มีบริษัทแม่ "EuroMaz" เป็นโฮลดิ้งคอมปะนีไปลงทุนตามต่างประเทศ มีสาขาที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง มีธุรกิจแฟรนไชส์ขายน้ำหอม เสื้อผ้า ธุรกิจแตกไปเยอะเลย โดยมีระบบคอยควบคุม ไม่ต้องลงไปดู ผมรู้ช่องทางว่าจะทำกำไรตรงไหน ผมถึงอยู่ได้ทุกวันนี้ ผมอยู่ต่างประเทศผมทำสวอปเงินอย่างเดียวผมก็พอแล้ว ทำรอบหนึ่งก็อยู่ได้เป็นปีแล้ว แต่เราก็ไม่อยากจะทำ ถ้าใช้วิชามารประเทศไทยก็เจ๊งไปแล้ว ทุบเงินบาททีเดียวก็พังแล้ว จอร์จ โซรอส เข้ามาแป๊บเดียวถึงพัง เพราะประเทศไทยหมู"

    พร้อมกับพูดถึงการโจมตีค่าเงินบาทในปี 2539 ว่า "ผมอยู่มาเลเซีย ผมยังเตือนเพื่อนๆ ในไทยเลยว่า ถ้ามีอะไรให้ทิ้งให้หมด เพราะว่าเจ๊งแน่ ตอนนั้นผมอยู่กับลูกชายของ ดร.มหาธีร์ เป็นเพื่อนสนิทของผม เราเรียนมาด้วยกัน ได้มีคำแนะนำกันมาว่าต้องปิดประเทศ มาเลเซียถึงปิดประเทศ เขาถึงรอดมาได้

    ในช่วงนั้นคุยกับเพื่อนๆ ในเมืองไทยตลอดว่าพวกคุณต้องระวังเพราะว่าโดนแน่ เพราะว่าพวกเฮดจ์ฟันด์ของ จอร์จ โซรอส มันโหดร้าย มันไม่สนใจว่าใครจะพังไม่พัง เขาเคยไปสู้กันในอังกฤษผมยังอยู่ฝ่ายเขา เราอยู่ในวงการเงินถือว่าเป็นฝ่าย พอเขาถล่มเงินปอนด์กันผมก็ถล่มด้วย เราก็ได้มา แต่พอเขาจะถล่มเมืองไทยเราใจเราก็ไม่เอา"

    "อย่างรอบนี้เรารู้อันตรายแล้ว หาก เฮดจ์ ฟันด์เข้ามารอบนี้ก็เจ๊ง แล้วมีความเป็นไปได้ด้วยเพราะราคาน้ำมันขึ้น เศรษฐกิจไปพึ่งพาตัวเลขของตลาดหลักทรัพย์เยอะเกินไป แล้วความไม่โปร่งใสของตลาด เขาถล่มง่ายมาก ขณะที่หนี้สาธารณะเราเพิ่มขึ้นประมาณ 2% หนี้ครัวเรือนเพิ่มมา 3-4 หมื่นบาทต่อครอบครัว เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะอันตราย ผมเหมือนกับคนเห็นผี เรามองเห็นว่าประเทศกำลังเข้าสู่อันตราย ก็เลยกลัว แต่รัฐบาลจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมไม่รู้ แต่เขามองไม่เห็น" เมื่อถามว่ารัฐบาลคิดว่าเขาประสบความสำเร็จ เอกยุทธกล่าวว่า "เขาคิดเอง คุณเองก็รู้ว่าประสบความสำเร็จไหม พวกโรคจิตคิดไปเอง"

    เอามาจากกระทิงเขียวนะ ไม่รู้เค้าเอามาจากไหน
    http://www.bbznet.com/scripts/view.php?user=greenbull&board=2&id=58674&c=1&order=numtopic


    "เอกยุทธ อัญชันบุตร"
    เจ้าพ่อแชร์ชาเตอร์
    คืนชีพ...ขย่มขวัญรัฐบาล

    นับเป็นการปรากฏตัวในจังหวะที่น่าจับตาไม่น้อย

    สำหรับเจ้าพ่อแชร์ชาเตอร์ นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประธานกรรมการบริหารเครือโอเรียลเต็ลมาร์ท กรุ๊ป ที่ออกมาขย่มขวัญรัฐบาล ในฐานะแนวร่วมชนรมคนรู้ทันทักษิญ ด้วยใบเบิกทาง...

    พร้อมแฉกลับกลโกง หากกล้าขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีต

    หลังปรากฏข่าว นายเอกยุทธ เตรียมบริจาคเงิน 1000 ล้านบาท ให้พรรคประชาธิปัตย์ จนนายสุทิน คลังแสง รองโฆษกพรรคไทยรักไทย ออกต้องมาเบรกด้วยการจี้ตรวจสอบที่มาของเงินว่า ใสสะอาดหรือไม่

    กระทั่งถูกโหมโรงกลับด้วยการเปิดประเด็น นักการเมืองสมัยนี้ อย่างเก่งนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีก็ได้แค่เดือนเป็นแสน แต่กลับใช้กันเป็นล้าน

    แล้วอย่างนี้อะไรจะสกปรกกว่ากัน!

    แถมอ้างเอาดื้อๆ ว่า แชร์ชาเตอร์ ธุรกิจที่ทำอย่างเป็นล่ำเป็นสันเมื่อ 20 ปีก่อน ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่อย่างที่สังคมกล่าวหา แต่เป็นแค่การลงทุน ซึ่งเรื่องทั้งหมดได้จบไปแล้ว และไม่ควรพูดถึง

    นาทีนี้ผู้ที่ลำบากใจที่สุด คงไม่พ้นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องเจอกับมรสุมลูกแล้ว ลูกเล่า ทั้งศึกใน ศึกนอก ซ้ำที่หนักสุดและยังแก้ไม่ตก เห็นจะเป็นอาการเลือดไหลไม่หยุด

    ดังนั้นหากนาทีนี้ เอาเงิน 1000 ล้าน มากองตรงหน้า ก็ย่อมหวั่นไหวไม่น้อย

    จนที่ประชุมพรรคฯ วานนี้ ถึงกับต้องถดเครียด หาเหตุผลให้ดูดี

    ???

    จริงอยู่ที่ว่า สังคมไทย"ลืมง่าย"

    แต่อดีตของแชร์ชาเตอร์ ที่สร้างความเดือดร้อนไปทั่วบ้านทั่วเมือง ไม่เว้นแม้คนต่างจังหวัด

    คงทำให้สังคมยากจะลืมเลือน

    ย้อนความกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน น้อยคนคงไม่รู้จักแชร์ชาเตอร์ ของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ชายหนุ่มวัย 29 ปี ที่เป็นเพียงคนธรรมดาแต่มีโอกาสได้จับเงินนับพันล้านบาท!

    โดยชื่อของนายเอกยุทธ แม้จะโด่งดังสุดขีดเมื่อครั้งรัฐบาลออกพระราชกำหนดบทลงโทษการเล่นแชร์ จนต้องหายเข้ากลีบเมฆและตามมาด้วยลูกแชร์ที่แห่เข้าแจ้งความ แต่หากย้อนดูการเดินทางจะเห็นว่า มีย่างก้าวที่น่าสนใจยิ่ง

    อันที่จริงแล้ว นายเอกยุทธ อัญชันบุตร แม้จะมีดีกรีเป็นถึงนักเรียนนอกเพราะได้ไปร่ำเรียนที่สหรัฐฯ อยู่หลายปี แต่กลับมาก็มีฐานะเป็นแค่พนักงานขายคอมมอดิตี้ธรรมดา ให้บริษัท แฮลเบอรี่ อินเตอร์เนชั่นแนล

    แต่ด้วยความเป็นคนหนุ่มไฟแรง ช่วงกลางปี 2546 นายเอกยุทธ ก็มีโอกาสเปิดบริษัทคอมมอดิตี้ หรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าพืชไร่จำพวกถั่วแดง ถั่วลิสงล่วงหน้า คล้ายๆ กับตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ในปัจจุบัน เป็นของตัวเอง

    ชื่อว่า ชาร์เตอร์อินเวสเม้นท์ จำกัด ที่ภายหลังต้องเปลี่ยนมาเป็น ชาเตอร์อินเตอร์เรคชั่น เพราะกฏเกณฑ์ของแบงก์ชาติ ด้วยเงินทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้าน ที่อดีตรัฐมนตรีในสมัยนั้น ดึงมาจากแชร์แม่ชม้อย

    ความรุ่งโรจน์และเฟื่องฟู ที่เกิดจากความโลภและผลประโยชน์ที่ลงตัวในยุคที่ระบบการเงินไทยเผชิญกับปัญหา ส่งให้นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประสบความสำเร็จถึงขีดสุด เพราะเงินประชาชน ด้วยการผลักดันของ นางกนกวรรณ พุ่มสำเนียงหรือ "คุณนายแดง" ภรรยานายทหารอากาศยศนาวาอากาศเอกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าตั้งแต่นายเอกยุทธ ยังเป็นเพียงเซลขายคอมมอดิตี้ ที่เขามักเรียกติดปากว่า "แม่แดง"

    พร้อมกันนี้ยังมีสมัครพรรคพวก ทั้งเพื่อนรักของบิดาคือ นายเพิ่มศักดิ์ จริตงามผู้ที่ดึงนายเอกยุทธ มาพบกับหัวหน้าพรรคการเมืองคนหนึ่ง กระทั่งสั่งให้รัฐมนตรีว่าการ ลูกพรรค โยกเงินแม่ชม้อย มาช่วยตั้งบริษัท

    นอกเหนือจากนี้ยังมีเพื่อนรุ่นน้อง ทั้งนายอภิชาติ ศิริโชติบัณฑิต พ่อค้าขายเครื่องบิน และนายเสริมชีพ เจริญชน ผู้คร่ำหวอดในวงการคอมมอดิตี้

    ต้นปี 2527 ขณะที่วงการไฟแนนซ์กำลังปั่นป่วน รัฐบาลออกข่าวห้ามเล่นแชร์ แต่วงการแชร์ยังรุ่งโรจน์ มองไม่เห้นแม้ขุมนรก! ที่รออยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะแชร์ชาเตอร์ที่จ่ายดอกเบี้ยงามถึง 9% มากกว่าแม่ชม้อยถึง 2.5% ยิ่งทำให้เงินไหลเข้าไม่หยุด

    เหลือจากปรนเปรอชีวิต "คาสโนวา" และรถยนต์หรูที่มีมากกว่า 30 คัน เงินที่ไหลมาเทมา ยังถูกยักย้ายถ่ายเทเพื่อไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่ดินใน อ.สารภี จ.ลำพูน เพื่อทำเป็นโครงการสารภีวิลล่า หรือแฟลตแจเนต ในซอยวิภาวดีรังสิตออกสถานีขนส่งสายเหนือ ของขวัญที่นายเอกยุทธ ตั้งใจซื้อให้มารดา

    และแม้กระทั่งธุรกิจประกันภัยอย่าง บริษัท เร่งพัฒนาประกันภัย ที่นายเอกยุทธ ซื้อมาในราคาสูงถึง 105 ล้านบาท ทั้งที่หากประเมินราคากันจริงๆ แล้ว ไม่น่าเกิน80 ล้านบาท

    นอกจากนี้ยังมีชาเตอร์ ดิสโก้เธค บนถนนรัชดาตรงแยก อ.ส.ม.ท. และซุปเปอร์สเก็ต ข้างๆ ปาป้า คาเฟ่ ฝั่งธนฯ ธุรกิจตามประสาคนหนุ่มวัยคะนอง

    รวมระยะเวลาทั้งสิ้นประมาณปีครึ่ง ที่นายเอกยุทธ อัญชันบุตร และพวกพ้องใช้ชั้นเชิงในการหมุนเงินของชาวบ้านก่อนพบจุดจบ สร้างตราบาปให้เกิดขึ้นมากมาย

    กระทั่งวันนี้ ถึงเวลาที่นายเอกยุทธ หวนสู่ประเทศไทยอีกครั้ง

    ทั้งที่คนไทยไม่น้อย ยังไม่ลืมฝันร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน

    เอามาจาก ข่าวหุ้นครับ www.kaohoon.com

    จากคุณ : Jeonathan - [ 19 ส.ค. 47 10:35:35 ]