การเล่นหุ้นโดยใช้การวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐานก็มีปัญหาเดียวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคครับ....เพราะเครื่องมือทางปัจจัยพื้นฐานก็มีหลายตัวเหมือนเครื่องมือทางเทคนิค
ครั้งที่แล้วผมได้บอกเพื่อนๆให้ทราบว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์,ผมให้ความสำคัญกับแลนด์แบงค์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบุ๊คแวลูมากกว่าค่าอื่น......ถ้าpbvต่ำมากๆอสังหาฯตัวนั้นน่าสนใจสำหรับผม
วันนี้ผมจะกล่าวถึงกลุ่มธนาคาร...ผมจะซื้อหุ้นตัวไหนในกลุ่มธนาคารขึ้นกับว่าอีก1-2ปีข้างหน้าเขาจะทำกำไรต่อหุ้นได้เท่าไรแล้วผมมาเทียบว่าตอนนี้ราคาอยู่ที่PERเท่าไร...ถ้าต่ำมากๆน่าสนใจครับ
เราหากำไรต่อหุ้นในอนาคตได้อย่างไร....รายได้ธนาคารมาจาก2ส่วนหลักๆ
1.จากการปล่อยกู้.....รายได้ส่วนนี้แปรตามเงินที่ปล่อยกู้และมาร์จิ้นของดอกเบี้ย
2.จากการลงทุนและค่าธรรมเนียม...รายได้ส่วนนี้จะขึ้นกับสภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่ในแต่ละธนาคาร
ทั้งสองส่วนถ้านำมารวมกันพอประมาณคร่าวๆได้ว่าเกิดจากการนำสินทรัพย์ของธนาคารไปลงทุน........กำไรที่เกิดจากการนำสินทรัพย์ไปลงทุน(return on assetROA)เป็นสิ่งที่ผมให้ความสำคัญใกลุ่มธนาคารครับ
ในภาวะปกติROAของกลุ่มธนาคารควร=2-3%......ลองเอา2-3%ไปคูณกับassetของแต่ละธนาคารจะได้กำไรคร่าวๆของธนาคารนั้นๆ...เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นจะกลายเป็นกำไรต่อหุ้น(EPS).....เอาEPSหารราคาหุ้นตอนนี้,เราจะได้expected PERใน1-2ปีข้างหน้า ที่ธนาคารทั้งหลายกลับสู่ภาวะปกติ(ไม่ต้องตามแก้ปัญหาหนี้เสียจากวิกฤตที่ผ่านมา)
สำหรับเรื่องเพิ่มการสำรองของธนาคารต่างๆเป็นดังนี้ครับ
เดิมธนาคารสามารถนำหลักประกันมาหักการกันสำรองได้เท่ากับ50%ของมูลค่าหลักประกันเช่นยอดหนี้คงค้าง(npl)2ล้านบาทมีอสังหาเป็นหลักประกัน1ล้านบาท,ธนาคารต้องตั้งสำรอง1.5ล้านบาทในกรณีที่เป็นหนี้จัดชั้นสูญ(ต้องสำรอง2ล้านลบ50%ของหลักประกัน(=5แสนบาท))...ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่ได้ทำดังนั้นแล้วเมื่อ2-3ปีที่ผ่านมา
ครั้งนี้ธปท.ให้สำรองเพิ่มในส่วนหลักประกันสำหรับหนี้ที่ยังแก้ไม่ได้ใน2ปีขึ้นไป(เหมือนกับการหักค่าเสื่อมของหลักประกัน)ดังนั้
2-3ปีสำรองเพิ่ม25%ของส่วนที่นำมาหักก่อนสำรอง(คือ5แสนบาทในกรณีตัวอย่าง)=1.25แสนบาท
3-4ปีสำรองเพิ่ม50%ของส่วนที่นำมาหักก่อนสำรอง(คือ5แสนบาทในกรณีตัวอย่าง)=2.5แสนบาท
4ปีขึ้นไปสำรองเพิ่ม100%ของส่วนที่นำมาหักก่อนสำรอง(คือ5แสนบาทในกรณีตัวอย่าง)=5แสนบาท
จะเห็นว่าธนาคารมีภาระสำรองเพิ่มไม่มากนักเมื่อเทียบกับ2-3ปีก่อนและในส่วนหลักทรัพย์ค้ำประกันถ้ามีการขายออกก็ไม่ต้องสำรองเพิ่มเพราะส่วนใหญ่จะขายได้ราคามากกว่า50%ของราคาประเมิน....เราจึงเห็นมหกรรมขายทอดตลาดมากมายในช่วงนี้ในราคาเริ่มต้น50-80%ของราคาประเมิน
จะเห็นว่าการสำรองเพิ่มไม่น่าจะมีผลกระทบต่อผลกำไรของธนาคารมากนักแต่สิ่งที่จะมีผลต่อกำไรของธนาคารมากในช่วงเวลาข้างหน้ามีดังนี้ครับ
1.ดอกเบี้ยสหรัฐและดอกเบี้ยอาร์พีสูงขึ้นทำให้ธนาคารมีช่องทางนำสภาพคล่องส่วนเกินไปลงทุนได้ผลประโยชน์มากขึ้น
2.แนวโน้มสัดส่วนเงินฝากต่อเงินกู้ลดลงทำให้ต้นทุนของธนาคารต่ำลงในแง่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากที่แช่ในธนาคารเฉยๆโดยธนาคารไม่สามารถนำไปปล่อยกู้ได้
3.คุณภาพของลูกหนี้....ลูกหนี้ที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันจะกลายเป็นnplทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองมากขึ้น
4.การเปิดการค้าเสรีทวิภาคีกับหลายๆประเทศทำให้มีธุรกรรมผ่านธนาคารมากขึ้น...ธนาคารได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น
เหล่านี้เป็นการวิเคราะห์ตามสไตล์think_pos...ไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะได้ประโยชน์บ้างหรือไม่ครับ
ป.ล.ผมยังมั่นใจว่าหุ้นน่าจะผ่าน630ไปได้แต่ที่หายไป2-3วันเพราะคอมมีปัญหาครับ
แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 47 18:41:50
จากคุณ :
think_pos
- [
5 ก.ย. 47 13:45:21
]