CafeTech-ExchangePantip MarketChatTrendyMobilePantown


    การลงทุนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน

    เห็นมีหลายคนถามว่าลงทุนในหุ้นหรืออสังหาอันไหนดีกว่า หรือมีเงิน xxx บาท ควรจะลงทุนอย่างไร

    ผมคิดว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือการวางแผนการลงทุนระยะยาวครับ

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    ระยะยาวหมายถึง ตลอดชีวิตที่เหลือของเรา

    ก่อนที่จะคิดว่าเอาเงินไปทำอะไร ต้องวางแผนก่อนครับ

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    การวางแผนการลงทุนในระยะยาว คือจุดเริ่มต้นของการลงทุนระยะยาว

    การลงทุนในความคิดของผมไม่ใช่แค่การลงทุนเพื่อ"เงิน" เท่านั้น แต่รวมไปถึงสุขภาพกาย สุขภาพจิต และ
    ความสุขในการใช้ชีวิตด้วย

    ดังคำกล่าวที่ว่า "ถ้าผู้ใดจะได้ทรัพย์สินทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตตนเอง จะมีประโยชน์อันใด"

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    การลงทุนมีหลายแบบครับ เพื่อเป็นไอเดีย ขณะนี้ผมมีการลงทุนในด้านต่างๆ ดังนี้

    1. ประกันชีวิต -- เผื่อเหตุไม่คาดหมาย ผลตอบแทนต่ำคือประมาณ 3% แต่จำเป็นต้องมีครับ เพราะอุบัติเหตุ
    เกิดขึ้นได้ ไม่เข้าใครออกใคร ผมแนะนำว่า 10% ของรายได้ประจำควรจะเป็นเบี้ยประกันชีวิต

    2. ประกันอุบัติเหตุ -- หลายคนว่าเป็นค่าใช้จ่าย ผมมองว่าเป็นการลงทุน เพราะจะทำให้เราไม่จำเป็นต้องดึงเงิน
    ลงทุนระยะยาวออกมา หากเกิดเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยา-บาล ปกติประกันอุบัติเหตุจะมาพร้อมประกันชีวิตอยู่แล้ว
    แต่ผมมักจะซื้อเพิ่มเพื่อให้สามารถมีค่าชดเชยรายวันในวงเงินสูงสุด --- ปลอดภัยไว้ก่อนครับ ผมไม่อยากต้อง
    ถอนเงินลงทุนชั่วชีวิตออกมา ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

    3. RMF และ Provident Fund -- มีประโยชน์ในการหักและเคลมภาษี และเป็นการควบคุมเงินออมแบบสม่ำ
    เสมอแบบหนึ่ง รวมกันผมให้ 10% เหมือนกันครับ

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    4. บ้าน/ที่อยู่อาศัย -- ผมคิดต่างจาก  Rich Dad นิดหนึ่งครับ อาจจะเป็นเพราะฮาวายและอเมริกาเป็นประเทศ
    ปลอดภัย ทำให้สามารถเช่าบ้านอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ในกรุงเทพ การมีบ้าน/คอนโดที่ดี เป็นสภาพแวดล้อมที่
    ดีให้กับเด็กและตัวเอง ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปทำงานและกลับบ้านเป็นชั่วโมงๆ ในรถ อันนี้เป็นการลงทุนเพื่อ
    สุขภาพจิตครับ สำคัญมาก

    แต่ก็ต้องให้สมดุลกับรายรับรายจ่ายด้วยนะครับ โดยปกติค่าเช่าบ้านไม่ควรจะเกิน 30% ของรายได้สม่ำเสมอ
    ถ้าได้ต่ำกว่านี้ก็ดีครับ ถือเป็นกำไร แต่ต้องให้มั่นใจว่าเราได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่รับได้ และไม่เครียดกับการ
    เดินทางครับ

    ถ้าจะผ่อนบ้านแทนที่จะเช่า ต้องคำนวณว่าค่าใช้จ่ายของการผ่อนไม่มากว่า 30% ของรายได้ประจำเช่นเดียวกัน
    ค่าใช้จ่ายจากการผ่อนบ้านประกอบไปด้วย 1. เงินดาวน์(เอามาหาร 5 ปี และคูณดอกเบี้ยทบต้นสัก 5% เผื่อเงิน
    เฟ้อ) 2. เงินค่าดอกเบี้ยผ่อน (ค่าใช้จ่ายจริงๆ) ส่วน 3. เงินที่ไปตัดเงินต้นนั้น ถือเป็นการลงทุนแบบฝากประจำได้
    เพราะเราจะได้คืนตอนขายบ้าน แต่ถ้าไม่คิดจะขาย คิดจะอยู่ตลอดไป ให้รวมตรงนี้เข้าไปเป็นค่าใช้จ่ายด้วย

    ถ้ารวมออกมาแล้วเกิน 30% แปลว่าเรากำลัง "ใช้จ่าย"เกินกำลังอยู่

    5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ -- หลายคนมองว่าค่าใช้จ่ายคือหนี้สินไม่ใช่การลงทุน (โดยเฉพาะสาวก RichDad) แต่ผมมอง
    ว่าค่าใช้จ่ายคือการลงทุนครับ

    ตั้งไว้ที่ 20% ถ้าเราประหยัดได้ ส่วนที่ประหยัดก็คือกำไรมันจะทำให้เรามีกำลังใจประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น และ
    อีกอย่างคือ ค่าใช้จ่ายที่สมเหตุผลสามารถซื้อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีครับ เช่น อาหารที่มีประโยชน์ การออก
    กำลังกาย การพักผ่อน ฯลฯ

    ส่วนสินค้าฟุ่มเฟือย ห้ามใช้จากรายได้ประจำเด็ดขาด!! ต้องเอามาจากเงินที่งอกออกมาจากเงินออมระยะยาวเท่า
    นั้น ถึงแม้จะเพื่อความสุขในชีวิตก็ตาม

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    6. เงินออมระยะยาว -- ประมาณ 30% ของรายได้ประจำรวม เงินส่วนนี้ไม่ควรนำออกมาใช้นอกจากจำเป็นจริงๆ
    เท่านั้น (จำเป็นจริงๆ เช่น ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ต้องรักษาตัว)

    การทำเงินออมระยะยาวให้ออกดอกออกผลมากที่สุดถึงจะเป็นก้าวที่สองของ "อิสรภาพทางการเงิน" คือเมื่อ
    ใดก็ตามที่เงินออมระยะยาวสามารถผลิตเงินให้เราครอบคลุมการลงทุนในข้อ 1 ถึง 5 ก็แปลว่าเราเริ่มมีอิสรภาพ
    ทางการเงินแล้ว

    การลงทุนเงินออมระยะยาว สามารถทำได้ในหลายรูปแบบ เช่น

    1. ลงทุนในตลาดเงิน -- เช่นฝากแบงก์ ซื้อหุ้นกู้ ซื้อพันธบัตร ซื้อตั๋ว P/N ซื้อสลากออมสิน ฯลฯ

    2. ลงทุนในตลาดทุน -- เช่นซื้อกองทุนรวม ซื้อหุ้นไม่ว่าจะใช้วิธีการ DSM TT TA VS VI หรืออื่นๆ

    3. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ -- ซื้อมาขายไป ปล่อยเช่า ฯลฯ

    4. ลงทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอัตราแลกเปลี่ยน -- ผมคิดว่าอันนี้สำคัญพอควรครับ เพราะเราไม่รู้ว่าค่าเงินบาทจะ
    อ่อนลงหรือแข็งขึ้นในระยะยาว ต่อให้เรารวยขึ้นเมื่อเทียบกับคนอื่นในประเทศไทย แต่ถ้าประเทศไทยจนลงทั้ง
    ประเทศ (เช่นเงินบาท/ดอลลาร์ไป 100) เราก็จนลงอยู่ดี

    เมื่อก่อน ผมลงทุนข้อ 4 ด้วยการซื้อหุ้นส่งออก เป็นแบบ indirect ครับ แต่ตอนนี้เริ่มมีเครื่องมือในการลงทุนที่อิง
    กับอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น ก็เลยไม่ถูกจำกัดด้วยการซื้อหุ้นอีกต่อไปครับ แต่ต้องพยายามค้นหาเล็กน้อย

    การลงทุนแบบข้อ 4 นี้ควรจะได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอไม่ต่ำกว่า 5 - 10% ต่อปี แต่สามารถเพิ่มมูลค่าได้อย่าง
    รวดเร็วถ้าเงินบาทอ่อนลงเรื่อยๆ บอกแค่นี้คงจะพอเข้าใจนะครับ :)

    ไว้นึกออกเพิ่มเติมจะมาเขียนต่อครับ

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 47 16:35:48

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 47 09:39:50

    แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 47 09:37:00

    จากคุณ : ซีเค - [ 6 ก.ย. 47 09:28:33 ]