ความคิดเห็นที่ 4
กรุงเทพฯ--6 ต.ค.--ข่าวหุ้น
เมื่อวานนี้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ออกคำสั่งเพิกถอนบมจ.รอยเนท(ROYNET) จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน2547 เป็นต้นไป โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 171 (4) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ เหตุผลที่เพิกถอนได้แก่ บริษัทฝ่าฝืนไม่นำส่งงบการเงินและรายงานตามมาตรา 56 เป็นระยะเวลานาน ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืน ละเลย ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์อย่างร้ายแรง โดยจะอนุญาตให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทในวันที่ 14 ตุลาคม 2547 ถึง 15 พฤศจิกายน2547 ก่อนสิ้นสภาพ คำสั่งของตลาด เป็นผลพวงที่ยาวนานจากปัญหาเก่าที่เกิดขึ้นมานับแต่ต้นปี 2546 และตลาดได้ให้โอกาสกับผู้บริหารของบริษัทมาแล้ว นับจากคำสั่งเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2546 ที่ถือว่าROYNET เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนอันเนื่องมาจากบริษัทไม่นำส่งงบการเงินประจำปี 2545ล่าช้าเกินกว่า 180 วัน นอกจากนั้น ในปีนี้ บริษัทยังไม่นำส่งงบการเงินไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2546 ซึ่งกำหนดเส้นตายเอาไว้ในวันที่ 1 มีนาคม 2547 แต่บริษัทไม่สามารถนำส่งงบการเงินดังกล่าวได้ โดยที่ตลาดผ่อนผันระยะเวลาให้ 2 ครั้ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีความสามารถ กรณีนี้ ถือว่า เป็นการสมควรแล้วด้วยประการทั้งปวง เนื่องจาก ROYNET ถือเป็นหุ้นเน่าที่แต่งตัวหลอกลวงนักลงทุนมาตั้งแต่เข้าตลาดแล้ว ข้อมูลที่ ข่าวหุ้นธุรกิจ รวบรวมมานี้ ยืนยันได้ดีว่า หุ้นเน่าๆรายนี้ ไม่สมควรอยู่รกหูรกตาในตลาดอีกต่อไปดาวรุ่งอินเทอร์เน็ต วันที่ 22 ตุลาคม 2544 นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ผู้ช่วยผู้จัดการและรักษาการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ใหม่(MAI)ประกาศว่า ได้อนุมัติให้บริษัท รอยเนท จำกัด(มหาชน)เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ โดยเริ่มซื้อขายวันที่ 25 ตุลาคม 2544 เป็นวันแรกและใช้ชื่อย่อว่า ROYNET รอยเนท เป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต(ISP) ขนาดเล็ก ในบรรดาบริษัทในธุรกิจประมาณ 30 ราย โดยมี บมจ. อินเทอร์เน็ต(ประเทศไทย) หรือ INET มีส่วนแบ่งในตลาดสูงสุด การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ของบริษัทในครั้งนั้น ได้สร้างความคาดหวังว่าจะเป็นทางเลือกใหม่ เพราะนับเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีรายแรกที่เข้าทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ และเป็นบริษัทรายที่สองของตลาดใหม่ การระดมทุนครั้งแรก บริษัทมีทุนจดทะเบียน 61 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญทั้งหมด12.2 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 5 บาท และได้กระจายหุ้นIPO จำนวน 4 ล้านหุ้น ในราคา 8บาท/หุ้น โดยมี บล. ฟินันซ่า จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน หลังจากเข้าซื้อขายในตลาดได้เพียง 5 เดือน แผนระดมครั้งที่สองของบริษัทก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยทั้งเพิ่มทุนใหม่ และแตกพาร์หุ้นเดิมจาก 5 บาทเป็น 1 บาท ในการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯได้มีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ทำให้มีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 111 ล้านบาท โดยขายให้นักลงทุนทั่วไปในราคาหุ้นละ 6 บาทและยังได้แตกพาร์จากเดิมหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท โดยอ้างว่า จะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อใช้ลงทุนในโปรเจ็กต์ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย(กสท.) การเพิ่มทุนครั้งนั้น ไม่สำเร็จ เพราะสภาพของตลาดหุ้นใหม่ไม่จูงใจพอสำหรับนักลงทุนยังผลให้ในเดือนธันวาคม 2545 คณะกรรมการบริษัทรอยเนทได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกเลิกการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน จำนวน 50 ล้านหุ้น แต่ความพยายามเพิ่มทุนยังไม่เลิกล้มไป ในการประชุมวันเดียวกันนั้น ที่ประชุมได้เปลี่ยนวิธีการระดมทุนใหม่ โดยออกหุ้นสามัญเพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 91.50 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท พร้อมแถมฟรีใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอแรนท์)ล่อใจ โดยเสนอให้กับผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน 2 หุ้นใหม่ต่อ 1 วอแรนท์ โดยจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 61 ล้านหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ในราคาหุ้นละ 1.20 บาท ส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เหลือ 30.50 ล้านหุ้น จัดสรรไว้เพื่อรองรับวอร์แรนท์ แผนเพิ่มทุนครั้งนี้ อาจจะสำเร็จ และนักลงทุนอาจจะเสียค่าโง่อีกมากมาย หากไม่มีการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินเกิดขึ้นเสียก่อนลางร้ายของความวุ่นวาย วันที่ 12 มกราคม 2546 นางสาวโสภาวดี ได้แถลงข่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์กำลังพิจารณาข้อมูลการจัดทำบัญชีและงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2545 ของROYNETว่ามีเจตนาตกแต่งบัญชีหรือหลอกลวงนักลงทุนหรือไม่ งบการเงินงวดไตรมาส 3 ของบริษัทดังกล่าว มีผลขาดทุนสุทธิ 13.22 ล้านบาทและงวด 9 เดือนแรกปี 2545 ขาดทุนสุทธิ 36.69 ล้านหุ้น ซึ่งขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับรายงานงบการเงินก่อนหน้าที่บริษัทเคยรายงานงบการเงินก่อนตรวจทานว่า มีกำไรสุทธิ 11.87ล้านบาท และมีกำไรสุทธิงวด 6 เดือน จำนวน 22.07 ล้านบาท นายกิติพัฒน์ เยาวพฤกษ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทรอยเนท และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในขณะนั้น กล่าวว่าสาเหตุที่ตัวเลขทางบัญชีขัดแย้งกัน เพราะว่าการจัดทำงบฉบับเก่าผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นว่าระบบการควบคุมภายในของบริษัทมีไม่เพียงพอ ที่จะให้ความมั่นใจเกี่ยวกับการาขายและรับคืนสินค้า และเห็นว่านโยบายการรับรู้รายได้ และการประมาณค่าสงสัยเผื่อหนี้จะสูญของบริษัทไม่เหมาะสมและไม่เป็นไปตามหลักบัญชีที่รับรองทั่วไป หากมีระบบการรับรู้รายได้อย่างระมัดระวัง จะทำให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิลดลง ทางออกที่นายกิตติพัฒน์เสนอในการประชุมขณะนั้นคือ ขอมติคณะกรรมการบริษัทเพื่อแปลงหนี้เป็นทุนรวมมูลค่า 20 ล้านบาท เพื่อให้ระบบการเงินของรอยเนทกลับมาเป็นบวกทันที และทำให้นักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นมีความมั่นใจว่า ผู้บริหารจะไม่ทิ้งบริษัท และช่วยให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น นอกจากนี้ทางด้านโครงสร้างผู้ถือหุ้นของรอยเนท ปรากฏว่าจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ 25 ต.ค. 2544 ตระกูลเยาวพฤกษ์ถือหุ้นรวมกัน 60 % แต่ ณ วันที่ 20ธ.ค. 2545 การถือหุ้นลดลงเหลือ 18.03 % คือนายกิตติพัฒน์ เยาวพฤกษ์ ประธานกรรมการบริหาร ขณะที่บุคคลอื่นๆเทขายหุ้นทิ้งทั้งหมด การขายหุ้นทิ้งดังกล่าว เกิดขึ้นในระหว่างที่ ราคาหุ้นของบริษัทได้วิ่งขึ้นมาจากระดับ1 บาท มาอยู่ที่ระดับ 2.04 บาท ในเดือนมิถุนายน 2545 โดยมีวอลุ่มซื้อขายหนาแน่นมากในช่วงนั้น อันเป็นกระแสที่เกิดจากข่าวการเพิ่มทุนใหม่ สัดส่วนการถือครองหุ้นของคนในตระกูลเยาวพฤกษ์ ซึ่งเคยสูงถึงร้อยละ 60.08เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 18.03 เท่านั้นในวันที่ 20 ธันวาคม 2545 การซื้อขายหุ้นดังกล่าวนี้ กลุ่มตระกูลเยาวพฤกษ์และนายกิตติพัฒน์ ไม่เคยรายงานให้ตลาดรับรู้ โดยยอมผิดระเบียบและเสียค่าปรับ เพื่อปกปิดไม่ให้นักลงทุนทราบคตวามเคลื่อนไหวของกลุ่มตนเอง ข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างซึ่งไม่สมเหตุสมผล บ่งบอกชัดเจนว่า บริษัทนี้แต่งบัญชีสร้างราคาหุ้น และผู้ถือหุ้นใหญ่ แอบขายหุ้นเกลี้ยงก่อนรายงานงบการเงินที่ติดลบ เข้าข่ายใช้ข้อมูลวงในซื้อขาย ในเรื่องนี้ ทางด้านสมาคมนักบัญชีได้ออกโรงมายืนยันกรณีรอยเนทว่าเป็นการแต่งบัญชีอย่างชัดเจน เหตุผลก็คือ หากการรับรู้รายได้จากการฝากขายสินค้าคือชั่วโมงอินเทอร์เน็ต แต่ยังขายไม่ได้จริงๆ แล้วมีการลงบัญชีรับรู้เป็นรายได้ทันที ถือว่าฝ่าฝืน พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543เพราะกรณีฝากขายนั้น ตามมาตรฐานบัญชีทั่วไป รับรู้เป็นรายได้ทางบัญชีไม่ได้ หลังจากนั้น หุ้นของ ROYNET ก็ถูกตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายมาโดยตลอด นับจากนั้นมา จึงเกิดประเด็นคำถามใหญ่ขึ้นว่า ระหว่างการแต่งบัญชี กับการขายหุ้นทิ้งของผู้บริหารประมาณ 40% ของทุนจดทะเบียนบริษัทโดยไม่แจ้ง ก.ล.ต. มีความเกี่ยวโยงกันหรือไม่ ที่สำคัญ บทลงโทษสำหรับความผิดดังกล่าว ดูช่างน้อยนิดเหลือเกิน เพราะปรับไม่เกินแสนบาท และไม่เกินวันละ 3,000 บาท ตั้งแต่วันที่พบว่าผิดบัญชีดำ เหตุการณ์เลวร้ายของรอยเนท ที่คาดว่าตระกูลเยาวพฤกษ์อยู่เบื้องหลังทั้งหมดในการผ่องถ่ายเงินเข้ากระเป๋าอย่างฉ้อฉลนี้ยังไม่จบ เพราะทางตลาดหลักทรัพย์ได้ส่งหนังสือไปยังกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอยับยั้งสิทธิ ในกรณีที่ หากนายกิติพัฒน์ กรรมการผู้จัดการของรอยเนท ส่งหนังสือขออนุมัติสิทธิผู้ถือหุ้น และคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้แปลงหนี้เป็นทุนได้ ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯอ้างว่า เพราะที่ประชุมผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทได้คัดค้านมติดังกล่าวว่านายกิตติพัฒน์ ได้แจ้งมติเป็นเท็จ โดยผู้ถือหุ้นและบอร์ดไม่ได้มีมติแปลงหนี้เป็นทุนแต่อย่างใด สำหรับการประชุมในครั้งวันที่ 7 กุมภาพันธ์ตามที่นายกิตติพัฒน์กล่าวอ้าง มีคณะกรรมการเข้าประชุม 8 คน ประกอบด้วยนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานบอร์ด และนายศิริชัย สาครรัตนกุลกรรมการอิสระ ซึ่งบุคคลทั้งสองไม่เห็นด้วยกับมติของบริษัท ดังนั้น จึงเลือกมติเพียง 6 เสียงเท่านั้น และเป็น 6 เสียงของบุคคลในครอบครัวเยาวพฤกษ์ แม้ว่าจะเป็นมติเสียงข้างมาก แต่ถือว่าเป็นมติที่เป็นการขัดแย้งด้านผลประโยชน์ เนื่องจากครอบครัวครัวเยาวพฤกษ์มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง จะต้องงดออกเสียง ไม่สามารถออกเสียงให้ตนเองได้ จากพฤติกรรมของนายกิตติพัฒน์ ทำให้เขาถูกศูนย์ระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ ขึ้นบัญชีเข้าข่ายไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้บริหาร นาน 10 ปี เพราะเห็นการกระทำผิดกฎเกณฑ์ชัดเจน เรื่องบานปลายมากขึ้นเมื่อ ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษนายกิตติพัฒน์ และ ROYNET ต่อกองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ(สศก.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมเสนอเรื่องดังกล่าวไปยังคณะกรรมการการเงินการคลังพิจารณาดำเนินการควบคู่กันไป จากวันนั้น ถึงวันนี้ เรื่องราวของบริษัทจดทะเบียนฉ้อฉล 1 ราย ก็มาถึงข้อยุติไปแล้วในหลักการ เหลือแต่เพียงบาดแผลที่นักลงทุนต้องจ่ายค่าโง่ให้กับ"โจรใส่สูท"ที่แต่งตัวบริษัทสวยงามเข้ามาดูดเงินจากตลาดเข้ากระเป๋าไว้เป็นตำนาน ไม่ใช่รายแรก แต่หวังว่าจะเป็นรายสุดท้าย--จบ--
จากคุณ :
อืมม์
- [
วันเกิด PANTIP.COM 09:18:22
]
|
|
|