ขาใหญ่วงการหุ้นซึ่งใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ว่าหุ้นในช่วงนี้จะมีความผันผวนมาก แต่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น คือการเลือกตั้งครั้งใหม่ในต้นปีหน้า จะเป็นตัวฉุดให้ตลาดหุ้นขึ้นมาอยู่ในระดับที่ดีได้อีกครั้ง เพราะเหตุผลทาง การเมือง เพราะเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในระดับที่ดี ก็แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจก็อยู่ในเกณฑ์ดี และการบริหารราชการของรัฐบาลประสบความสำเร็จด้วย อีกทั้งด้วยความที่รัฐนาวานี้ที่มีนักการเมืองที่มาจากภาคธุรกิจ และยังมีญาติพี่น้องดำเนินธุรกิจหลายรายการ ทำให้นักลงทุน ในตลาดหุ้นกำลังจับตามองและเตรียมลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง เพราะเชื่อว่าจะเป็นตัวที่ทำรายได้ให้กับเขาได้อย่างงาม
โดยแหล่งข่าวเปิดเผยเพิ่มเติมว่าเมื่อวิเคราะห์จาก สถานการณ์ทางการเมืองแล้ว หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจเล่นที่สุด จึงแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ หุ้นกลุ่มนายกฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มสื่อสาร ผ่านเครือข่ายบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น ที่ลงทุนในบริษัทสื่อสารอีกหลายแห่ง และยังมีหุ้นของธนาคารทหารไทย ที่พานทองแท้ ชินวัตร เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่
รวมถึงหุ้นของกลุ่มวงศ์สวัสดิ์อย่างบริษัท เอ็ม ลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่มีแผนขยายการลงทุนไปทั้งบริษัท เคพโทรนิคฯ และทราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ และหุ้นในเครือของประยุทธ มหากิจศิริ ที่เตรียมปัดฝุ่นนำเอาบริษัทเดิมเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง
ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่นตระกูลของ ปตท. ที่รัฐบาลมีอำนาจในการดูแลในเรื่องนโยบายต่างๆ รวมถึงทิศทางในการลงทุน โดยที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นท่าม กลางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย ธนาคารนครหลวงไทยที่ค่อนข้างโดดเด่นนับตั้งแต่เปิดซื้อขายรอบใหม่ และยังมีหุ้นของธนาคารไทยธนาคารอีกแห่งหนึ่ง
หุ้นกลุ่มของนายกฯ มีปิโตรเคมี คมนาคม ก่อสร้าง แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็ยังเป็นหุ้น ADVANC หรือ AIS เพราะ AIS มีลูกเล่นทางการตลาดมาก และเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายกว่า ทิศทางตลาดชัดเจน โครงการเป็นอะไรที่มองระยะยาว พูดถึงเสน่ห์ AIS มันมีและส่งผลให้ตัวอื่นๆ ดีตามไปด้วย นอกจากนี้ก็เป็นหุ้นของบริษัทคนใกล้ชิดนายกฯ เป็นเครือข่าย ที่ขณะนี้อาจยังไม่น่าเล่น แต่อาจจะมีการสร้างราคาขึ้นส่วนหุ้นในเครือข่ายนายกฯ ก็มีตัวที่น่าสนใจเป็นหุ้นที่ยังไม่เข้าตลาด หลักทรัพย์ คือ หุ้นบริษัทไทยคอปเปอร์ อินดัสตรี (THAI COPPER) และ หุ้นบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) (G STEEL) รวมไปทั้งบริษัทของประยุทธเองที่มีหุ้น 96%ในไทยน็อค บริษัทอุตสาหกรรมสเตนเลส ใหญ่ที่สุดในไทยและอาเซียน เตรียมจะออกหุ้น IPO ภายในเดือน พ.ย.นี้
ของคุณประยุทธถ้าเขาดันตัว THAI COPPER ขึ้นมาก็น่าสนใจ แต่น่าสนใจน้อยกว่า G STEEL ของคุณสมศักดิ์ ที่จะเข้าตลาดเร็วๆ นี้ เพราะมีข่าวว่าเขาจะมีการนำหุ้นเข้าในช่วงก่อนเลือกตั้ง เพื่อที่ว่าเมื่อขายแล้วจะได้เอากำไรไปใช้ในการเลือกตั้งด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีหุ้นของบริษัทเพาเวอร์-พี จำกัด (มหาชน) หรือ PP ที่น่าสนใจ ซึ่งกลุ่มบมจ.ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) อาจจะเข้ามาร่วมบริหารงาน อีกทั้งคาดว่าบริษัทจะได้รับงานจากรัฐบาลหลายงาน และมีกระแสว่าถ้าเข้าเทรดในวันแรกหรือระยะสั้นจะสามารถไปที่ 30 กว่าบาท
อย่างไรก็ดี สำหรับกลุ่มที่แนะนำอีกกลุ่มหนึ่งคือหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ยังน่าสนใจอยู่ โดยเฉพาะ หุ้นกรุงไทย (KTB) กสิกรไทย (KBANK) และกรุงเทพ (BBL) แต่หากหวังระยะยาวให้เล่นหุ้นของธนาคารทหารไทย (TMB) เพราะราคาหุ้นยังอยู่ในราคาถูก แต่ในอนาคตมีแนวโน้มราคาจะสูงขึ้น หากมีการควบรวมกิจการ ซึ่งคาดว่าในปีหน้าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจน
นั่นคือการวิเคราะห์ของนักเล่นหุ้นมือฉกาจคนหนึ่งในเมืองไทย แต่สำหรับนักวิเคราะห์มืออาชีพ หรือ โบรกเกอร์ต่างๆ เขาคิดว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้จะมีผล ต่อตลาดหุ้นให้คึกคักขึ้นหรือไม่ และหุ้นกลุ่มไหนที่น่าสนใจลงทุน...
3 โบรกเกอร์ดัง ชี้กลุ่ม "สื่อสาร" มาแรง
"จากสถิติที่ทำ Track record มา ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองประมาณ 10 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภา หรือรัฐบาลอยู่ครบเทอม ตลาดหุ้นทั้งตลาดมีการขึ้นโดยรวมเป็นส่วนใหญ่คือ 7 ใน 10 ครั้ง ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะถึงนี้ จึงมีแนวโน้มที่เป็นไปได้สูงว่าตลาดหุ้นจะมีความคึกคักขึ้นได้เอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน วิเคราะห์ว่า หุ้นกลุ่มสื่อสารจะเป็นหุ้นกลุ่มที่มาแรงที่สุด เนื่องมาจากประเด็นของ กทช. หรือคณะกรรมการกำกับกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติที่เริ่มเข้าทำงานตามหน้าที่แล้ว ที่แม้ว่าในประเด็นหลายประเด็นที่กำลังถูกจับตามองจากสังคม เช่นความชัดเจนของข้อสรุปความคืบหน้าในการแปรสัมปทานคลื่นความถี่ หรือการประเมินราคาที่เหมาะสมของหุ้นใหม่อีกครั้งจะยังไม่สามารถดำเนินการให้เสร็จในระยะสั้นนี้ได้ แต่ราคาหุ้นได้ตอบสนองข่าวล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งเป็นลักษณะของหุ้นกลุ่มสื่อสาร"
ดังนั้นเมื่อมีการแถลงข่าวว่า กทช.จะเข้าทำงาน และจะมีการประเมินคุณภาพหุ้นใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะหุ้น TT&T บริษัททีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) ที่ยังมีภาระต้องจ่ายค่าสัมปทานในอัตราสูงกว่ารายอื่น คือประมาณ 40% หากมีการพิจารณาคิดค่าสัมปทานใหม่ และมีการปรับลด หุ้น TT&T ก็มีแนวโน้มที่นักวิเคราะห์คิดใหม่มีราคาสูงขึ้น และเป็นหุ้นตัวที่น่าสนใจที่สุด
เอกพิทยา กล่าวว่า สำหรับหุ้นกลุ่มอื่นในช่วงก่อนเลือกตั้ง ก็ยังคงเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มธนาคาร ดูแนวโน้มแล้วก็ยังเป็นหุ้นที่มีราคาดี แต่ไม่น่าสนใจมากนัก เพราะไม่มีอะไรที่มาเซอร์ไพรส์ ถ้านักลงทุนสนใจลงทุนก็อาจจะได้กำไร แต่ไม่มากเหมือนกับหุ้นกลุ่มสื่อสารที่มีแนวโน้มราคาขึ้นสูง และนักลงทุนจะได้กำไรเป็นส่วนต่างของราคาหุ้นสูงกว่า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่คนยังค่อนข้างสับสนกับข่าว NPL ที่ยังไม่ชัดเจน
คาด THAI OIL กำไรทันทีอย่างน้อย 20%
อย่างไรก็ดี เอกพิทยา เปิดเผยว่า หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งคือหุ้นรัฐวิสาหกิจที่มีแนวโน้มว่าเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วจะมีราคาดี โดยเฉพาะหุ้น Thai oil ที่เป็นธุรกิจโรงกลั่น ที่ขณะนี้ถือเป็นช่วง peek คือเป็นช่วงที่มีราคาดีที่สุด ก็ทำให้หุ้น Thai oil น่าลงทุนในระยะสั้น ทำให้มีแนวโน้มราคาขึ้นหลังจากเข้าเทรดในตลาดอย่างน้อย 20% แต่ในระยะยาวช่วง 4-5 ปี รอบของธุรกิจโรงกลั่นอาจเป็นขาลง นักลงทุนจึงไม่ควรถือหุ้น ตัวนี้นาน ส่วนหุ้น MCOT หรือ หุ้นของ อสมท. ก็เป็น หุ้นที่มองแล้วว่าเมื่อ Trade เข้าตลาดจะมีราคาดี
ทั้งนี้หุ้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง ยังเป็นหุ้น PTT หรือหุ้น ปตท. เพราะมีการขยายกิจการ และมีการกระจายความเสี่ยง ซึ่งนักวิเคราะห์ได้ทำราคาหุ้น ปตท.ที่ขณะนี้อยู่ที่ 180 บาทต่อหุ้น ไว้ว่าอาจจะขึ้นได้ถึง 200 บาทต่อหุ้น
จับตาหุ้นลงก่อนทะยานขึ้นสูงปลาย พ.ย.
ด้าน อดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ กล่าวว่าขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงของการปรับฐานที่คิดว่าจะยาวนานพอสมควร เพราะช่วงที่ผ่านมาตลาด หลักทรัพย์มีการปรับตัวสวนทางกับตลาดต่างประเทศอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่ามีการเก็งกำไรในหุ้นบางกลุ่มบางตัว และมีการฉุดตลาดโดยรวมให้ขึ้นได้ ฉะนั้นในช่วงนี้ตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงที่จะมีการชะลอตัว และมีการปรับตัวแรงกว่าตลาดในภูมิภาคนี้ทั้งหมด ที่คิด ว่าในที่สุดแล้วเมื่อแรงเก็งกำไรที่เคยเข้ามาเปลี่ยนมาเป็น แรงขายเก็งกำไรหรือตัดขาดทุน การปรับตัวของหุ้นจะแย่ลงเรื่อยๆ แต่พอถึงช่วงปลายปี และช่วงก่อนเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2548 ตามสถิติแล้วหุ้นมักจะมีการปรับตัวขึ้นในระดับประมาณ 11%
ก่อนเลือกตั้งคาดว่าจะมีนักลงทุนที่ดักทางไปรอซื้อหุ้นตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป เพราะฉะนั้นในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน กุมภาพันธ์ ปีหน้าจึงเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นจะคึกคักมากสุด และหลังจากมีการเลือกตั้งเสร็จแล้วคาดว่าตลาดหุ้นก็จะแผ่วอีกครั้งสำหรับหุ้นที่เป็นหุ้นกลุ่มดาวเด่น อดิพงษ์ วิเคราะห์ว่าเป็นหุ้นกลุ่มสื่อสาร เพราะประเด็น กทช.เหมือน กับบล.พัฒนสิน โดยหุ้นที่จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงที่มองแล้วจะขึ้นได้แรงที่สุดเป็นหุ้น บริษัทยูไนเต็ดคอม มูนิเกชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UCOM เพราะเป็นหุ้นธุรกิจมือถือ และเป็นบริษัทแม่ของ TAC ที่ได้รับความนิยม กับหุ้น TT&T ที่หากผลออกมาว่าจะมีการลดค่าสัมปทาน รายได้ก็จะเพิ่มมากขึ้น
ส่วน AIS หรือ ADVANC แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผลประโยชน์ที่จะได้เมื่อเทียบกับ UCOM แล้วน่าจะมีส่วนต่างของกำไรที่น้อยกว่า เพราะถึงแม้ AIS จะได้ผลประโยชน์มากที่สุด เพราะมีฐานการให้บริการมากที่สุดคือ 12 ล้านเลขหมาย แต่เมื่อ เทียบกับขนาดส่วนแบ่งการตลาดที่มีประมาณ 3 แสนล้าน บาทแล้ว ผลประโยชน์ก็น้อย ต่างกับ UCOM ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 3 หมื่นล้านบาท
หุ้นกลุ่มสื่อสารขณะนี้จะเป็นช่วงที่ราคาอาจจะตกลงมาก แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะหลังจากช่วงที่ราคาดิ่งลงมากแล้ว จะมีปรับโหนตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าเป็นช่วงก่อนเลือกตั้งพอดีสำหรับหุ้นกลุ่มธนาคาร อดิพงษ์ กล่าวว่า กลุ่มธนาคารยังเป็นหุ้นที่อยู่ในระดับดี เพราะพื้นฐานดี แต่มีปัญหาเรื่อง NPL ที่ความเข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำให้นักลงทุนตกใจ แม้ว่าปีนี้กำไรกลุ่มธนาคารนี้จะโตขึ้นมาก แต่หุ้นก็ไม่ขยับตัวมากนัก แต่เชื่อว่าในปีหน้านักลงทุนจะมั่นใจคุณภาพของหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น นักลงทุนกลุ่มธนาคารนี้จึง ต้องมองแบบ Long term คือ 1 ปีครึ่งขึ้นไป โดยหุ้น ตัวที่น่าสนใจ ประกอบด้วย หุ้น KBANK, BBL และ SCIB
เกียรตินาคินแนะหุ้นน่าซื้อไตรมาส 4
ด้าน วิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน กล่าวว่าขณะนี้หุ้นแบ่งเป็น 2 สเตป คือเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมาที่เป็นช่วงก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 มองว่าตลาดน่าจะขยับตัวสูงขึ้น เพราะนักลงทุนต่างประเทศนำเงินลงทุน ไหลกลับเข้ามาสู่ภูมิภาคมาก คือช่วงประมาณ 1 เดือนเศษ มีการไหลเข้าของเงินทุนเป็นจำนวนประมาณ 34,000 ล้านบาท
แต่พอมาถึงวันนี้คือตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา มองว่าตลาดจะพักตัว จากปัจจัยลบเรื่องน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และข่าวทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น เมื่อมองในเชิงกลยุทธ์แล้วในรอบต่อไป หุ้นที่มีแนวโน้มราคาขึ้น เพราะช่วงไตรมาสก่อนมีราคาน้อยกว่าตลาดเมื่อเทียบจากเปอร์เซ็นต์เชนจ์ (% CHANGE) คือ กลุ่มธนาคาร กลุ่มหลักทรัพย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มสื่อสาร โดยกลุ่มสื่อสารจะเป็นกลุ่มที่มาแรงที่สุดในต้นปีหน้า
อย่างไรก็ดี สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในเชิง พื้นฐานในช่วงนี้ เมื่อดูจากผลประกอบการ จะประกอบด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน ได้แก่ PTT, PTTEP, BANPU, BCP, กลุ่มขนส่ง PSL, TTA, RCL, THAI, กลุ่มเคมีภัณฑ์ ได้แก่ ATC,TOC,TPC, กลุ่มก่อสร้าง SCC,SCCC,TPIPL,SSL กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ AMATA, HEMRAJ กลุ่มยานยนต์ TRU ,AH
เมื่อดูจากโครงการภาครัฐเป็นปัจจัยบวก ประกอบด้วย กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง/ฐานราก ได้แก่ ITD, CK, STEC, SCAFCO กลุ่มสื่อสาร(กทช.) UCOM, ADVANC,TRUE,TT&T,SHIN ,SATTEL กลุ่มแบงก์ (แผนแม่บทสถาบันการเงิน) ได้แก่ BBL,KBANK, SCB.SCIB
--------------------------------------------------------
ไปอ่านเจอที่เว็บผู้จัดการอ่ะ
อ่านแล้วเข้าข่ายปั่นหุ้นมั้ยคะ
จริงๆก็ถามราชดำเนินเหมือนกันค่ะ
แต่สงสัยคิดว่าถามห้องนี้ด้วยดีกว่า
จากคุณ :
ต้องถามเซียนห้องนี้สินะ
- [
15 ต.ค. 47 12:20:04
A:61.90.45.50 X: TicketID:071052
]