ผมแบ่งคนในโลกทุนนิยมออกเป็น5กลุ่มใหญ่คือ
1.นายทุน
2.รัฐและกลไกของรัฐ
3.ผู้มีโอกาสในสังคม(ผู้ที่มีงานทำและพอจะเลือกงานได้)
4.ผู้ด้อยโอกาสในสังคม(ผู้ไม่มีงานทำหรือเลือกงานไม่ได้เลย)
5.ผู้ต่อต้านทุนนิยมในรูปแบบต่างๆ
ในระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าอย่างไรเราก็จะได้นายทุนหรือคนที่กลุ่มทุนสนับสนุนเข้ามาบริหาร...ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะนายทุนได้พิสูจน์ตนเองว่าประสบความสำเร็จในโลกทุนนิยมมาระดับหนึ่ง(แสดงว่ามีกึ๋นพอควร)...สมัยก่อนนายทุนเคยถูกโค่นล้มไปบ้างเพราะความละโมบแต่ปัจจุบันนายทุนหลายประเทศสามารถบริหารประเทศได้ยาวนานมากขึ้นด้วยหลักการทำให้คนไม่พอใจมีจำนวนน้อยที่สุด(ไม่ใช่ทำให้ทุกคนพอใจซึ่งเป็นไปไม่ได้)...แต่นายทุนจากพรรคการเมืองใดขึ้นมาเป็นรัฐบาลก็ต้องมี"คนจ่าย"
ผมคิดว่าเมื่อบุชได้เป็นประธานาธิบดีมีคนจ่ายในราคาที่ยอมรับได้และคาดเดาราคาได้...แต่ถ้าแครี่ได้เป็นประธานาธิบดีคนจ่ายน่าจะเป็นเอเชียและจ่ายในราคาที่คาดเดาได้ยากเพราะเฮ็ดฟันด์จะเรืองอำนาจอีกครั้ง
บุชได้เป็นประธานาธิบดี...ใครเป็นคนจ่าย?
แน่นอนว่าเอเชียก็ต้องช่วยกันจ่ายเช่นกันแต่น่าจะจ่ายน้อยกว่าและคาดเดาได้ง่ายกว่า...การเป็นประธานาธิบดีของบุชครั้งนี้น่าจะทำให้โลกสมดุลย์มากขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงระดับ45-55ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล...จีนและญี่ปุ่นจะเกินดุลน้อยลงเพราะทั้งสองประเทศนำเข้าน้ำมันมาก
http://www.cia.gov/cia/publications/factbook/geos/ja.html#Econ
http://www.cia.gov/cia/publications/factbook/geos/ch.html#Econ
เดือนสิงหาคมญี่ปุ่นเกินดุลในอัตราที่ถดถอยมากจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
http://www.mof.go.jp/bop/p1608a.htm
แต่ญี่ปุ่นก็ยังพอใจที่สหรัฐได้บุชเป็นประธานาธิบดีเพราะคาดเดาแนวทางได้มากกว่าแครี่...น้ำมันคงราคาสูงอยู่ในระดับ45-55ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล,สิ่งที่ญี่ปุ่นควรทำคือปล่อยให้ค่าเงินเยนแข็งขึ้นเพื่อให้ประชาชนในประเทศมีกำลังซื้อมากขึ้นแต่อาจมีผลกระทบที่ภาคแรงงานอาจมีการจ้างงานลดลงจากสินค้านำเข้าจากจีนมากขึ้น...ญี่ปุ่นคงหาวิธีoutsourceคนออกไปต่างประเทศหลังจากที่outsourceโรงงานไปยังประเทศต่างๆมาแล้ว.....อย่าแปลกใจถ้าบริษัทญี่ปุ่นในไทยหรือที่ใดก็ตามมีคนญี่ปุ่นมาทำงานมากขึ้น
ดอลล่าร์รอบนี้อาจอ่อนลงถึง90เยนต่อดอลล่าร์ซึ่งเป็นผลดีกับสหรัฐที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะเข้าสู่สมดุลมากขึ้นและแรงงานสหรัฐแข่งขันกับแรงงานประเทศอื่นได้(บริษัททั้งหลายไม่ต้องoutsourceงานไปประเทศอื่นมากนัก)
จีนย่อมได้อานิสงส์จากดอลล่าร์อ่อนเช่นกันเพราะถ้าน้ำมันขึ้นราคาอย่างเดียวจีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดน้อยลงมาก
http://www.thestandard.com.hk/stdn/std/China/FJ11Ad04.html
ปล่อยทิ้งไว้คนที่กู้เงินลงทุนหลายๆอย่างในจีนอาจเป็นNPLได้
สำหรับไทย,ราคาน้ำมันที่45-55ดอลล่าร์ต่อยาร์เรลไม่เป็นผลลบต่อเรามากนักเพราะเรามีอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีที่โดดเด่นในเอเชียและที่ผ่านมาดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงบวกได้...ค่าเงินบาทอาจแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์แต่อ่อนลงเมื่อเทียบกับเยน
นั่นเป็นภาพรวมมหภาค...ประเทศที่ต้องจ่ายมากกว่าเพื่อนคือญี่ปุ่นซึ่งเศรษฐีจะจ่ายบ้างคงไม่เป็นไร...ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงในการhard landingของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามภาคการผลิตโดยรวมของทุกประเทศจะมีการจ้างงานลดลงเนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีในการผลิตมากขึ้น.....คนกลุ่ม4ในโลกทุนนิยมจะเพิ่มขึ้นและพร้อมจะสไลด์กลายเป็นคนกลุ่มที่5....หลายๆประเทศต้องยอมขาดดุลงบประมาณเพื่อดึงคนกลุ่มที่4ให้กลับมาเป็นคนกลุ่มที่3...ซึ่งตำแหน่งงานที่จะเพิ่มจากนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นภาคบริการ เช่น งานด้านความมั่นคง งานด้านสาธารณสุข งานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
แม้ว่ารัฐจะพยายามกระจายความมั่งคั่งไปยังกลุ่มต่างๆแต่ก็ยังมีกลุ่มที่ไม่พอใจ......คนเหล่านี้อาจจะผันตัวเองไปเป็นคนกลุ่มที่5ที่ต่อต้านทุนนิยม..........บางคนคิดว่าเปลี่ยนรัฐบาลอาจแก้ปัญหาได้แต่ถ้าวิเคราะห์เป็นระบบดังที่กล่าวมาแล้วไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล,คนภาคการผลิตเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะต้องปรับตัวไปทำงานภาคบริการแทนหรือพยายามเป็นแรงงานฝีมือสูง(ลองมองภาพง่ายๆว่าเดี๋ยวนี้เราใช้เวลาน้อยมากในการสร้างบ้านหลังหนึ่งเพราะเทคโนโลยีการสร้างสูงขึ้นและใช้แรงงานน้อยลงมาก....แรงงานที่เคยทำงานในภาคก่อสร้างควรปรับตัวไปทำงานด้านอื่นหรือไม่ก็ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆให้ชำนาญ)....ตลาดงานภาคบริการน่าจะเปิดกว้างมากกว่างานภาคการผลิตครับ
การก่อการร้ายยังคงมีต่อไปโดยเฉพาะคนที่มองเห็นทุนนิยมเป็นสิ่งชั่วร้าย........แต่การก่อการร้ายนั้นน่าจะถูกตีกรอบให้แคบลงโดยการดำเนินนโยบายทุนนิยมให้เป็นมิตรกับประชาชนส่วนใหญ่มากขึ้น
เฮ็ดฟันด์(ไม่ว่าโซรอสหรือเอกยุทธ)จะเข้ามาล้วงกระเป๋าคนอื่นแบบสมัยเดโมแครตเป็นรัฐบาลยากขึ้นเพราะรัฐบาลทั่วโลกมองเฮ็ดฟันด์ในแง่ลบมากกว่าแง่บวก......การปั่นหุ้นจะทำได้ยากขึ้น,กองทุนที่รัฐบาลสนับสนุนจะมีบทบาทมากขึ้นในตลาด......ผมก็ต้องปรับตัวเช่นกัน,พรุ่งนี้ไปซื้อหุ้นPERน้อยกว่า10สัก2000หุ้นดีกว่าครับ
จากคุณ :
think_pos
- [
7 พ.ย. 47 14:13:04
]