http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3135367/I3135367.html
ถึงคุณตามหาธรรมครับ
"อยากถามว่าถ้าเราใช้วิธีไม่คิดแต่เอาจิตไปผูกไว้กับเรื่องอื่นแทนเช่น ลมหายใจเข้าออก หรือนับเลข หรืออื่นๆเพื่อเบี่ยงเบนจิต ให้จิตจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นที่เป็นสิ่งที่ดีแทน จะได้ไหมคะ"
1. ทำให้มาก สงสัยให้น้อยแล้วทุกอย่างจะดีครับ ทดลองทุกสิ่งที่เราคิดว่าน่าจะเป็นไปได้แล้วดูผลลัพธ์ พุทธศาสนาสนับสนุนให้ทดลองทำทุกสิ่งที่สงสัยว่าจะเป็นไปได้ก่อน ไม่บังคับให้เชื่อโดยห้ามโด้แย้ง
อุบายให้จิตสงบขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่จะเกิดความชำนาญเมื่อทำบ่อย ๆ แนะนำว่าทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 ครั้ง ประสบการณ์จากการพบเจออารมณ์ที่หลากหลายจะช่วยให้เราพัตนาไปในที่สุดดังคำที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น
.
"ตอนนี้รู้สึกสับสนในชีวิตมาก คือยังแยกไม่ออกระหว่างการค้ากับการปฏิบัติธรรมค่ะ
เพราะการขายของจะหลีกเลี่ยงเรื่องโกหกได้ยากมากๆๆค่ะ"
2. เมื่อสับสนกับชีวิตให้หยุดพิจารนาดู สิ่งไหนที่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็เว้นไปก่อนวันหนึ่งเมื่อเราก้าวหน้าขึ้นคำตอบจะปรากฏขึ้นเอง
สำหรับเรื่องศีลเอาอย่างนี้ไหมครับ ชั่วโมงทำงานรักษาศีลสี่ เลิกงานแล้วรักษาศีลห้าหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมโกหกนอกเวลางาน เมื่อเกิดปัญญาแล้วจะรู้ได้เองว่าควรทำอย่างไร
หรืออีกวิธีก็คือทนแต่งหน้าหรือใช้เครื่องสำอางสักหกเดือนครั้ง หรือในโอกาสพิเศษเช่นครบรอบแต่งงาน วันเกิด ฯลฯ เพื่อจะได้ยืนยันกับลูกค้าได้เต็มปากว่าเราเองก็ใช้อยู่ เพียงแต่อย่าบอกว่าเราใช้บ่อยแค่ไหน
..........................................
ขออนุญาตเล่าเรื่องส่วนตัว ผมมีอาชีพเป็นมัคคุเทศก์ มีเรื่องหลายอย่างที่ไม่สามารถให้แขกทราบได้ เช่น
รถที่ใช้ในการเดินทางได้รับการอุปถัมถ์มาจากร้านค้าบางแห่ง จึงจำเป็นต้องตอบแทนด้วยการพาแขกไปซื้อของจากทางร้านที่ให้การอุปถัมถ์
บ้างครั้งแขกไม่อยากไปซื้อของแต่เราจำเป็นต้องไป ผมไม่สามารถบอกสาเหตุที่ไม่อาจตัดโปรแกรมซื้อของแก่แขกได้เลย แถมเราและบริษัทได้ค่าตอบแทนจากการซื้อสินค้าของแขกด้วย แย่ละสิ ไม่ไปไม่ได้เด็ดขาด อย่าไม่อยากก็ต้องไปทำไงละ
การนวดแผนโบราณ หรือเที่ยวชมสถานที่นอกรายการ เช่นข้ามไปพม่า นั่งเรือไปลาว ดอยตุง ขี่ช้าง ล่องแพ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ขายเกินราคาจริงทั้งสิ้น (ต้องบวกกำไรเข้าไป)
เรื่องทั้งหมดนี้ไม่อาจพูดความจริงได้แม้สักเรื่องเดียว ถ้าแขกรู้ความจริงเป็นเรื่องใหญ่แน่ ที่ผมทำคือ
ถ้าแขกถามว่าผมได้ค่าตอบแทนจากร้านค้าหรือไม่ ผมตอบว่าได้ ถ้าแขกเกิดถามต่อว่าได้เท่าไหร่ ผมจะตอบว่าเป็นความลับบอกไม่ได้
แขกบางคนรับได้ก็ซื้อ รับไม่ได้ก็ไม่ซื้อ แต่ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างให้ความเชื่อถือในตัวผมว่า ผมไม่โกหกเขา ผมไม่ได้รับค่าคอมฯจากเขา แต่ผมสามารถทำเงินจากการพาเขาไปเที่ยวนอกรายการ ได้กำไรส่วนนี้มาชดเชย
หรือไม่ซื้อของ ไม่เที่ยว แต่ทิปหนัก แม้กระทั่งอะไรก็ไม่ได้ แต่ได้รับจดหมายชมเชย ให้บริษัทเชื่อมั่นในการบริการของผม
ผมไม่เคยโกหกพวกเขา แต่ผมไม่ยอมบอกทุกสิ่ง บางอย่างบอกเพียงครึ่งเดียว บางอย่างบอกว่าความลับ การไม่ยอมโกหกของเราทำให้ได้รับความเชื่อถืออย่างมาก
ต่อไปผมจะชี้ นกเป็นไม้ ชึ้ไม้เป็นนก ก็ไม่มีใครไม่เชื่อ งานส่วนที่เหลือของผมได้รับความสะดวกอย่างยิ่ง
ทำแบบนี้ผมสูญเสียโอกาสทำเงินไปบ้างก็จริง แต่ผมได้รับความเชื่อถือทั้งจากแขก และจากบริษัทต้นสังกัด ซึ่งตอบแทนกลับมาในอัตราที่มากมายกว่าเงินที่พลาดไปในตอนแรกมากนัก นั่นคือความก้าวหน้าในอาชีพ
ลองค้าขายแบบพูดความจริงเท่าที่บอกได้ ดูไหมครับ
..
"ทำไมดิฉันกลัวแต่ไม่มีความมั่นคงในชีวิตคะ"
3. แนะนำให้เจริญมรณานุสติ ตอนเช้าตื่นนอนมานึกไว้เลยนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเรา พอถึงตอนเย็นก็ระลึกอีกครั้งว่า ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้หรือไม่ ทดลองดูนะครับ สักระยะหนึ่งจะพบคำตอบเอง
ที่สุดของคนเราก็คือความตาย กังวลไปก็เท่านั้น จะมีประโยชน์อะไรถ้าเราถูกรางวัลที่หนึ่งแล้วมีชีวิตอยู่ถึงแค่เพียงวันนี้
"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ดิฉันสับสนกับชีวิตมากๆ...ทางธรรมกับทางโลกเหมือนอยู่กันเป็นเส้นขนาน ต่างกันราวฟ้ากับดิน ...ทางธรรมให้ความรู้สึกที่ เย็น สงบ ไม่ดิ้นรน ไม่ไขว่คว้า...ในสายตาคนส่วนใหญ่ จะมองว่าขี้เกียจ ...แต่ทางโลกให้ความรู้สึกว่า จิตใจเราจะร้อนรนตลอด ...ต้องแข่งขันกับทางโลก ทางสังคม"
4. ครั้งหนึ่งมีคน ๆ หนึ่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วพูดกับท่านว่า ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ท่านไม่มีเมียจึงเป็นทุกข์เพราะไม่มีเมีย ท่านไม่มีลูกท่านจึงเป็นทุกข์เพราะไม่มีลูก ท่านไม่มีสมบัติท่านจึงเป็นทุกข์เพราะไม่มีสมบัติ พุทธองค์ตรัสว่า ท่านต่างหากที่น่าสงสาร เพราะท่านมีเมียจึงเป็นทุกข์เพราะเมีย เพราะท่านมีลูกจึงเป็นทุกข์เพราะลูก เพราะท่านมีสมบัติท่านจึงเป็นทุกข์เพราะสมบัติ
ทางโลกกับทางธรรมเปรียบเสมือนคนสองคนหันหลังชนกัน แล้วต่างออกวิ่งอย่างสุดกำลังไปคนละทิศทางไม่มีวันจะมาพบกัน เราจะรู้ได้ว่าระหว่างทางโลกกับทางธรรม ทางใดจะเหมาะสมกับเราด้วยตัวของเราเท่านั้นไม่มีใครคิดแทนได้
ถ้าคุณตามหาธรรมไปถาม จอรจ์ โซรอส เขาต้องเลือกทางโลกอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าถามหลวงตามหาบัวท่านเลือกทางธรรมแน่ ถ้ามาถามผม ๆ เลือกทางสายกลางเอาทั้งสองอย่างทุกข์พอประมาณ สุขพอประมาณ
พุทธองค์ท่านสอนธรรมะไว้สองชนิด
แบบแรกสำหรับฆารวาส คือ ทาน ศีล ภาวนา
แบบที่สองสำหรับผู้ออกบวช คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
มีพระองค์นึงกล่าวไว้นานแล้วผมจำชื่อท่านไม่ได้(อีกแล้ว) ท่านว่า เป็นฆารวาส ไม่สะสมทรัพย์ไว้ ฉิบหาย เป็นพระสะสมทรัพย์ไว้ ฉิบหาย
เลือกเอาสิครับ ทางสายกลางของแต่ละคนไม่เท่ากันอยู่แล้ว ตอนนี้ลูกยังเล็ก สามียังอยู่ ก็ค่อนไปทางฆารวาสเยอะหน่อย วันข้างหน้าลูกเรียนจบมีครอบครัว สามีไม่อยู่แล้ว หรือแก่แล้วค่อยค่อนมาทาง ผู้ออกบวช หรือวันธรรมดาศีลห้า วันพระศีลแปด
ทางสายกลางนี้ขยับไปตามความก้าวหน้าทางจิตของแต่ละบุคคลในแต่ละช่วงชีวิตด้วยครับ วันหนึ่งถ้าผมมีปัญญามาก ๆ ผมก็อาจออกบวชก็ได้ แต่ตอนนี้ปัญญายังน้อยก็เล่นหุ้น สะสมทรัพย์ รักษาศีลห้า ไปก่อน
ทางสายกลางครับ อย่าลืม
.
"จิตอยู่กับปัจจุบัน ตลอด แล้วเราจะวางแผนอนาคตของกิจการเรายังไงคะ ในเมื่อขณะจิตนั้นเราต้องคิดแต่เรื่องปัจจุบัน หรืออยู่กับลมหายใจ"
มนุษย์จะทุกข์ใจอยู่กับเรื่องเพียงสองเรื่องเท่านั้น คืออดีต และอนาคต
อดีตนั้นเมื่อมันผ่านไปแล้วไม่ว่าเราจะนำมาคิดทบทวนอีกสักร้อยครั้งพันครั้งก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันได้
สำหรับผมแล้วการจมอยู่กับอดีตที่เป็นทุกข์นั้นเป็นการใช้เวลาอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เปล่าประโยชน์ ไม่สมควรกระทำ รังแต่จะบั่นทอนความสุขให้ลดลง สิ่งใดที่ผ่านไปแล้ว ปล่อยให้มันผ่านไปอย่าได้เก็บมาคิด
ส่วนอนาคตไม่สามารถคาดเดาได้ ถ้าเราคิดเตรียมไว้หนึ่งร้อยวิธี มันจะเป็นอย่างที่หนึ่งร้อยหนึ่ง ถ้าคิดไว้หนึ่งร้อยหนึ่งมันจะเป็นอย่างที่หนึ่งร้อยสอง ไม่เคยเลยสักครั้งที่เราจะทายอนาคตได้ถูกต้อง
เคยสังเกตุไหมครับบ่อยครั้งที่เรากำลังจะพบความยุ่งยากในอนาคตข้างหน้า เราจะเอามันขึ้นมาคิดด้วยความกังวล และทุกครั้งที่เราคิดถึงมันปัญหาจะใหญ่โตขึ้นทุกที จนกระทั่งวันนั้นมาถึงเข้าจริง ๆ ปัญหาที่เรากลัวกลับไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด
นี่เป็นการบั่นทอนความสุขในชีวิตอย่างร้ายกาจ ถ้าจะทุกข์ควรทุกข์ทีเดียวอย่าทุกข์ล่วงหน้า รอให้วันนั้นมาถึงก่อนแล้วจึงค่อยเป็นทุกข์ หนึ่งปัญหาทุกข์หนึ่งครั้งก็พอแล้ว
ไม่ใช้ห้ามไม่ให้คิดถึงอดีตและอนาคต คิดได้แต่อย่าหมกมุ่น คิดแล้วคิดอีก ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม คิดจนนอนไม่หลับ การใช้ความคิดแบบนี้ไม่สามารถออกจากปัญหาได้เพราะเป็นความคิดที่สับสนวุ่นวาย ใช้การไม่ได้
คิดเพียงคร่าว ๆ ก็พออย่าลงรายละเอียด การคิดกระทั่งรายละเอียดไม่มีประโยชน์เพราะมันไม่เคยเป็นจริงตามนั้น ถ้าเรารู้อนาคตจริง เรารวยหุ้นไปแล้ว
การอยู่กับปัจจุบันนั้นเป็นหัวใจของการพัตนาจิต
ทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้ววันพรุ่งนี้จึงจะเป็นวันที่ดี
เวลานอน นอนให้ดีที่สุดหลับให้สนิทไม่ฝัน ตื่นมาแล้วสดชื่นแจ่มใส
เวลากิน กินให้ดีที่สุด เคี้ยวให้ละเอียด ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ ย่อยง่าย
เวลาออกกำลัง ออกกำลังให้ดีที่สุด ได้รับคุณประโยชน์อย่างเต็มที่ ร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
เวลาทำงาน ทำงานให้ดีที่สุดไม่มีที่ติ ซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและผู้อื่น
เวลาปฏิบัติธรรม ปฏิบัติให้ดีที่สุด สงสัยน้อย ๆ ทำมาก ๆ รักษาศีล ทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดปัญญา พาตนก้าวพ้นความทุกข์ ความสับสนในชีวิต
ความสงสัยไม่สามารถสิ้นสุดลงด้วยการใช้ความคิด แต่สิ้นสุดด้วยการปฏิบัติจนค้นพบคำตอบด้วยตนเอง
.
"ตอนนี้ดิฉันเลยไม่รู้จะดำเนินชีวิตอย่างไร บางทีฟังเขาพูดเรื่องทางธรรม เรื่องปล่อยวาง เรื่องนิพพาน จู่ๆดิฉันก็จะร้องไห้ขึ้นมาเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ ร้องหนักและร้องนานมาก และเป็นมาหลายๆครั้งแล้ว มันเป็นเพราะอะไรคะ"
คุณตามหาธรรม เป็นผู้รักดี มีพื้นเพอุปนิสัยทางธรรมมาก่อน ประกอบกับวาสนาเดิมที่ได้สะสมมาแต่อดีต
เพียงแต่มีวิบากกรรมมาขวางกั้นทำให้ชอบคิดฟุ้งซ่านจึงทำให้ปฏิบัติธรรมแล้วเป็นทุกข์ ประกอบกับทำน้อย(ปฏิบัติน้อย)สงสัยมาก จึงเกิดปัญหาวุ่นวาย เอาใหม่ครับ หยุดตั้งข้อสงสัย ทำให้มาก สงสัยให้น้อย ชีวิตจึงจะพบความสุข
บุญอันใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้วนับจากอดีตชาติ จนถึงปัจจุบันหากจะมีผลแก่ข้าพเจ้าประการใด ขอท่านทั้งหลายและคุณตามหาธรรมจงร่วมอนุโมทนาในบุญนั้น แล้วได้รับผลเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึ่งได้รับทุกประการ ตลอดจนธรรมใดที่ข้าพเจ้าได้รู้แล้วเห็นแล้ว ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้รู้เห็นธรรมนั้น พาตนให้พ้นภัย
ขอคุณตามหาธรรมจงยึดมั่นในพระรัตนตรัย อย่าได้ตกหล่นร่วงหายไปจากพุทธศาสนา ขอคุณพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายปกปักษ์ คุ้มครองรักษาให้ก้าวพ้นจากวิบากกรรมที่มาตัดรอน พึ่งเกิดความเพียรปฏิบัติจนเกิดปัญญาพาตนให้พ้นจากภัยในวัฏสงสารด้วยเทอญ
แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 47 03:57:55
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 47 00:38:26
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 47 00:36:22
แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 47 05:01:49
แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 47 02:06:38
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 47 15:03:30
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 47 14:59:36
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 47 07:17:48
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 47 06:28:31
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 47 06:26:45
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 47 06:17:00
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 47 05:53:35