PANTIP.COM : I3145387 ข้อดีของ Day Trader กับ ข้อเสียของ Value Investor [หุ้น]

ความคิดเห็นที่ 17

ต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่า VI เป็นการลงทุนที่เน้นมูลค่าพื้นฐานของหุ้นเป็นหลัก ตามมาด้วยความโปร่งใสของผู้บริหาร ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับอัตราทำกำไรที่ง่ายที่สุดของระบบคือการฝากธนาคาร เป็นหุ้นที่มีอัตราทำกำไรที่ต่อเนื่อง การทำธุรกิจยังอยู่ในทิศทางแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ และให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลตอบแทนกลับมาพอที่จะคุ้มค่ากับการลงทุน(ตรงนี้ขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนนะ บางคนบอกว่า 5% พอใจแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าได้แค่ 2% ก็ดีถมไปแล้ว) การลงทุน VI จึงไม่ได้สนใจสภาวะตลาดว่าจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่มันยังอยู่ในกรอบของเงื่อนไขก็จะยังคงถือมันไว้ และหากราคาหุ้นมันลงทะลุกรอบที่ตั้งไว้ก็จะหาเงินใหม่ใส่ซื้อเพิ่มเข้าไป การลงทุนแนว VI จึงไม่ได้เน้นไปที่ภาพรวมของตลาดแต่เจาะจงลงไปในตัวบริษัทล้วนๆ มองลงไปในรายละเอียดงบบัญชี เป็นการมอง "ของจริง" ของการลงทุน ที่เราลงทุนอะไรเราก็น่าจะเน้นไปที่ธุรกิจที่เราลงทุน เมื่อคิดได้แบบนี้ภาพตลาดรวมจึงเอาเข้ามาเกี่ยวข้องน้อยมาก ต่อให้ภาพรวมตลาดลงไปอีกซัก 50% SET จาก 800 ลงไป 400 แต่หากยังเห็นว่าพื้นฐานหุ้นมันไม่ได้เปลี่ยน กรอบการคิดของ VI ยังเหมือนเดิม นักลงทุนเหล่านี้จะไม่ยอมขายเพราะมันยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ถึงแม้นราคาหุ้นมันจะลงก็ตาม มองคร่าวๆอาจจะเหมือนการลงทุนที่เหมือนเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัท ที่จะไม่ยอมขายหุ้นออกมา แต่เหมือนยังนั่งทำงานโดยให้ผลตอบแทนกลับมาในแต่ละปี "คุ้มค่า" โดยไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่บริษัททำอยู่ คือพูดง่ายๆว่าสนใจในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ไปสนใจเรื่องที่คนอื่นทำ SET จะไปไหนก็เรื่องของ SET ต่อให้ SET ลงมาเยอะแค่ไหน หากหุ้นที่ถือยังอยู่ในกรอบการคิดแบบ VI ก็จะถือ แต่หาก SET วิ่งไปจากวันนี้อีกซัก 500 จุดแต่หากมองว่าพื้นฐานหุ้นมันไม่ดีแบบที่เคยคิด ผลตอบแทนน้อยลง คนเหล่านี้ก็ขายหุ้นได้เหมือนกัน สรุปว่าการลงทุน VI ในภูมิปัญญาอันน้อยนิดที่ผมพอจะคิดออกคือเน้นไปที่ตัวจริงๆของธุรกิจ ไม่สนใจภาพรวมของตลาดหรือแม้นแต่หุ้นในกระดาน ไม่สนใจสภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ขอดูเพียงสิ่งที่บริษัทตัวเองถือหุ้นอยู่ว่ายังอยู่ครบในงื่อนไขข้างต้นไหม หากตรวจสอบแล้วยังเป็นแบบเดิมอยู่ก็จะขอนอนกอดหุ้นสบายใจต่อไป โดยคิดง่ายๆว่าหุ้นดียังไงราคาสักวันมันก็ต้องดีตามไปด้วย(แน่นอน) จะกังวลไปใยก็ถือไปเรื่อยๆซักวันจะมีคนเห็นสิ่งดีๆแล้วราคามันจะตามมาเอง ปัจจุบันเริ่มจะมีนักลงทุน VI บางจำพวกแตกหน่อทางความคิดออกมาเป็นแบบลูกผสมแบบไทยๆ โดยหันมาสนใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น มาสนใจภาพรวมตลาด มาสนใจธุรกิจเพื่อนบ้าน มาสนใจธุรกิจในกระดาน มาสนใจสภาวะสังคม เศรษฐกิจและการเมือง จากเดิมที่มองเพียง "ของจริงๆ" คือตัวบริษัทและสิ่งที่ทำจริงๆผลงานจริงๆที่ทำได้ก็ลดสิ่งนั้นลงมาหน่อยและเพิ่มการมองปัจจัยรอบข้างเข้ามาแทน ผมเรียกว่าเป็นนักลงทุนแบบ Vmix คือในยามที่ตลาดมันเป็น Down Trend ราคาหุ้นที่ถือถึงแม้นจะเป็นราคาพื้นฐานที่หากถืออยู่ก็ยังคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่ได้ (ก็อย่างที่บอกครับ ความคุ้มค่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน) ก็ยอมที่จะขายออกมาก่อน แต่เมื่อขายไปแล้วก็จะเอาแนวโน้มตลาดเป็นตัวชี้โอกาสของการซื้อคืน นักลงทุนสไตล์นี้อาจจะได้ส่วนในการบริหารเป็นหุ้นเพิ่มมากขึ้น จะมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของหุ้นด้วย หากเป็นหุ้นไม่มีสภาพคล่องอาจจะทำไม่ได้มากแต่หากเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องเยอะๆการเล่นแนวลูกผสม Vmix จะสามารถบริการหุ้นเพิ่มขึ้นในจำนวนเงินเดิมๆได้ดี แต่อย่าลืมว่าทั้งหมดนี้เราเอาอดีตมาคุย หากจะมีคนถามว่า ..ก็จะมีใครบอกได้หละว่าตอนไหนตลาดจะขึ้นหรือลงยาวนานแค่ไหน ไม่มีใครบอกได้ ซึ่งพื้นฐานทางความคิดของ VI ไม่สนใจสภาวะตลาดรวมอยู่แล้ว ก็จะปฏิเสธภาพตลาดรวม แต่ผมอยากบอกว่า หากเราลองเปิดใจศึกษาตลาดหุ้นไทยจริงๆ เราจะเห็นสิ่งที่พูดมาว่ามันทำได้แบบนี้จริงๆ ปีที่แล้วเพราะหุ้นไทยเป็นขาขึ้น เล่นแบบไหนก็กำไร คนเล่น daytrade อาจจะไม่สามารถทำกำไรในครั้งเดียวได้เกิน 100% แบบคนถือยาวๆ แต่ก็ทำได้ทีละ 5-10% แต่ขยันทำบ่อยๆมันก็ได้เหมือนกันนะ ผมพูดแบบนี้เดี๋ยวก็มีคนมาบอกอีกหละว่า Daytrade ทำแบบนั้นมีซักกี่คนกัน มีแต่ก็คงมีน้อย ใครจะไปทำแบบนั้นได้ ก็อย่างที่บอกนะ ไม่เปิดใจศึกษามันก็ทำไม่ได้นะ ผมไม่มีมุมมองว่าเล่น daytrade ดียังไงเพราะผมเองเล่นเพียง 20% ของพอร์ตและผมเป็นนักลงทุนแนว Vmix แต่อยากบอกว่า 2 ปีที่ผ่านมาทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลงอันยาวนาน พอร์ตเพียง 20% ของผมให้ผลตอบแทนอาจจะเท่ากับที่ต้องถือในส่วนของอีก 80% ไปอีกถึง 15 กว่าปีถึงจะทำกำไรได้เท่านี้ ไม่ใช่เรื่องของดวง ไม่ใช่เรื่องของความใจกล้า ไม่ใช่เรื่องของการเสี่ยง ทุกอย่างมันมีวินัย มีรูปแบบการตัดสินใจด้วยกันทั้งนั้น แต่ก่อนจะทำอะไรหากเราไม่มีอะไรในสมองเลยมีแต่ความใจกล้า มีแต่ความอยากของตัวเองที่อยากทำเหมือนคนอื่นโดยลืมมองว่าตัวเองยังไม่มีอะไรเป็นวินัยในการลงทุนเลย อยากให้เน้นลงทุน VI ของแท้ดีกว่านะ อย่าเพิ่งผสมสายพันธ์เพราะอาจจะเป็นสายพันธ์ที่เป็นกรรมพันธ์ที่อาจจะไม่โตและอาจจะแคระแกนไปก็ได้ สรุปว่าไม่มีข้อสรุปครับว่าอะไรดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนนะ การลงทุนเริ่มจากความคิด ความคิดของคนอยู่บนพื้นฐานแบบไหน คิดได้เท่าไหร การลงทุนก็เป็นแบบที่คิดแหละครับ แต่ยังให้ VI เป็นแนวทางการลงทุนที่ดีและง่ายที่สุด ปลอดภัยที่สุด "เมื่อธุรกิจดี แนวโน้มดี ผลตอบแทนดี คุณเชื่อว่าราคาหุ้นมันต้องดีไหม?"

จากคุณ : rockriverarms - [ 27 พ.ย. 47 11:40:19 ]