เมื่อมีคนถามถึงก็จะเล่า ก่อนฟองสบู่ก็มีเรื่องการเมือง หุ้นก็ตก 4 - 5 วัน ขึ้น 1 วัน เวลาตกก็ตกแรงบ้างซึมบ้าง ก่อนจะขึ้นก็มีข่าวดี +ข่าวลือเป็นตัวส่ง ทำให้หุ้นที่ขาดทุนมาก เหมือนมีความหวังจะใกล้ราคาติดดอย ตอนนั้นเวลาหุ้นลงก็เร็ว เมื่อขายไม่ทันก็หมดสิทธิ์ขายเพราะเพียงไม่กี่วันหุ้นที่ตกก็ลงเกินที่จะทำใจขายออกได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ก็จะติดหุ้นทั้งจากอดีตกาลและติดจากสถานะการณ์ขณะนั้น ผมก็โดนพายุเช่นกัน หุ้นในมือติดดอยกว่า 50 % ทำใจตัดขายยากมาก วัน ๆ มีแต่ข่าวร้าย ความหวังก็แทบหมด ใจคิดว่าในวิกฤติต้องมีโอกาส ขณะนั้นลือกันว่า fin1 จะเจ๊ง ผมก็ติดหุ้นนี้อยู่พอสมควร รมต คลังตอนนั้นคืออดีต ผจก ใหญ่ ธนาคารใหญ่ ปรากฎว่าเย็นวันหนึ่งเห็น รมต ท่านนี้ออกข่าวทีวี ยืนเป็นสักขีพยานการเซ็น เอม โอ ยู ระหว่าง ผจก ธนาคารหนึ่ง กับนาย ปิ่น จักพาก สองคนจับมือว่าจะรวมเป็นหนึ่ง ใคร ๆเห็นภาพนี้ก็ต้องมั่นใจ ขนาด รมต คลังมาเป็นพยาน ไม่เชื่อ รมต คลัง แล้วจะเชื่อใคร(เพราะเป็น รมต ที่เกี่ยวข้องกับการเงินการคลัง ต้องละเอียดสุขุม ไม่ใช่ภาพลวงตาแน่) ผมคิดว่า นี่แหละคือโอกาสในยามวิกฤต หุ้นตัวอื่นที่ขาดทุนในมือจะได้อาศัยหุ้น fin1 กู้หน้า วันรุ่งขึ้น ซื้อ fin1 เต็มกระเป๋า จำได้ว่าเกือบ 1 ล้านหุ้น ไม่เกิน 7 วัน รมต คลังถูกเปลี่ยนตัว แล้วหุ้น fin1 กลายเป็นเศษกระดาษทันที มันเป็นวิกฤตซ้ำวิกฤต มันเป็นบทเรียนที่เจ็บปวด ให้อย่าเชื่อ แม้คนนั้นจะเป็น รมต คลัง ทุกอย่างขึ้นกับความคิดและการตัดสินใจตนเองว่าไม่รอบครอบ หลงเชื่อกับนักการเมืองที่ไร้ฝีมือไม่มีประสบการณ์ แม้จะเป็น รมต คลัง ซึ่งแต่ละสมัยก็ทำพลาดให้บ้านเมืองได้ ก่อนหน้านั้น ก็การเปิด bibf แล้วจะนับประสาอะไรกับการไปโทษ ผู้ว่าแบ็งชาติที่ไม่มีประสบการ์ณเรื่องการปั่นค่าเงิน เหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างเศรษฐีหุ้นหลายคน แต่คนส่วนมากเจ๊งแทบหมดตัวรวมทั้งผมด้วย ใครก็ตามที่เรือนทุนหดลง การฟื้นคืนต้นทุนต้องยากลำบากมาก ผมต้องทบทวนการเล่นหุ้นใหม่ อ่านตำราที่เกี่ยวกับกลยุทธ เกี่ยวกับความนึกคิด เกี่ยวกับการตัดสินใจ มากกว่าตำราปัจจัยพื้นฐาน เพราะประเทศเราเล็กเกินไป เราต้องพึ่งพาเงินนอกมากเกินไป แต่ผู้บริหารของเราไม่เก่งไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีประสบการณ์ แถมเล่นแต่การเมือง เอาการเมืองมาเล่นกับความเป็นความตายของชาติ โชคดีที่ได้เจอกับอาจารย์ที่สอนผมเล่นหุ้นครั้งเมื่อหลายปีก่อน เรียนรู้กลยุทธแลกเปลี่ยนประสบการณ์ จนเดี๋ยวนี้ผมฟื้นทุนได้และสามารถแปรเปลี่ยนเป็นกำไร มันเสียเวลามาก เสียกำลังใจมากและต้องมีวินัยในการปฎิบัติการ ที่หนักหนาคือการใฝ่หาหลักคิดหลักทำจากเพื่อนต่างชาติหลายคน ที่เขามีประสบการณ์หรือมีแนววิสัยทัศน์ที่ดี (ซึ่งผมก็ได้เอามาเล่าสู่กันฟังในห้องสินธรนี้มาตลอด) การเล่นหุ้นเดี๋ยวนี้ จะไม่ให้น้ำหนักเรื่องปัจจัยพื้นฐานมากหนัก เพราะคิดว่ามวลชนจะเป็นคนตัดสินแทนเราได้โดยดูจากความนิยมในหุ้นนั้นๆ และปริมาณเงินที่เข้าซื้อหุ้นนั้นๆ เป็นไกค์นำ ยอมตามหลังราคารายใหญ่ก่อน หรือพวกอินไซค์ก่อน (เพราะเชื่อว่า เมืองไทยยังเล่นหุ้นแบบอินไซค์มาก โดยที่ กลต ตลท ไม่ค่อยจับ จับได้ก็ไม่ประกาศเพราะกลัวฟ้องกลับเรื่องละเมิด ความยุติธรรมของระบบตลาดบ้านเราก็ไม่น่าไว้ใจนัก) แต่เมื่อต้องเล่นหุ้นกึ่งอาชีพ ก็ต้องทำตาหลิ่วตาม เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อ แม้ รมต คลังท่านใดจะมาคุยว่า ปีนี้ 900 จุด หรือใดๆ.... ก็หูทวนลม เพราะการอ่านขาดตลาดเป็นวิชาที่ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง ฟังใครไม่ได้เลย สังคมหุ้นเป็นสังคมที่เอากำไรได้ด้วยกลยุทธต่างๆ เช่น เงินหนา เงินเย็นจัด ใจเย็นจัด ใจเด็ด กัดไม่ปล่อย หรือความไว ต่อการกรองข้อมูลลวง การกรองข่าวลวง การตรวจจับหุ้นที่ส่อการปั่น การเล่นหุ้นเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นสนามต่อสู้ระหว่างตนเองกับคนอื่น และตนเองกับตนเอง ขณะที่เราไม่เชื่อคนอื่น เราก็ต้องระวังความเชื่อตนเองอาจผิดได้ อาจคิดเข้าข้างตนเองเกินไปได้ มันจึงเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงเพื่อเอากำไร คนที่จะชนะตลาดได้ต้องมี องค์ประกอบ 3 อย่างพร้อมกันคือ 1 ต้องมีเงินเย็น จำนวนมากพอ ไม่ใช่ หมื่นสองหมื่น หรือแสนสองแสน 2 ต้องมีความคิด ความสามารถ ความรู้เรื่องหุ้นใกล้แตกฉานเป็นอย่างน้อย 3 ต้องมีโชค มีความพอเหมาะของโอกาส คนที่จะรวยจากหุ้นต้องเริ่มจากโชคก่อน แล้วจึงตามด้วยเงินทุนมากพอเหมาะ สุดท้ายก็ฝีมือ (เรื่องฝีมือรวมทั้งการควบคุมจิตใจและความรู้) ถึงจะรวยแบบ คุยโม้ได้ นอกนั้นก็งั้นๆ อย่าเชื่อว่าเขารวยจากฝีมือ 100 % เลยโม้ทั้งน้าน 55 55 55
จากคุณ :
อยากเชือก
- [
14 ธ.ค. 47 00:22:18
A:202.5.83.206 X: TicketID:000385
]