ความคิดเห็นที่ 13
สวัสดีค่ะพี่กุ้งไร้สาร
พอดีแวะผ่านมาค่ะพี่ ... หวังว่าพี่คงสบายดีนะคะ
สำหรับหัวข้อกระทู้ของพี่กุ้งไร้สาร ที่บอกว่า ซื้อเมื่อมั่นใจว่าขึ้น และ ขายเมื่อมั่นใจไม่ขึ้น ....
ก่อนที่จะกล่าวถึงตรงนี้ ต้องขออนุญาตเกริ่นนำเพิ่มเติมนิดนึงนะคะ
สืบเนื่องจาก เพื่อนๆสมาชิกบางท่าน กำลังศึกษา (หรือทดลองปฏิบัติในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง) เกี่ยวกับ ... การแปลงร่างหุ้น
ด้วยความปรารถนาดีของเรา .... จึงได้ตั้งคำถามให้กับเพื่อนสมาชิกกลุ่มดังกล่าว ...
ดังนั้น หากเป้าหมายของท่านใด ... ไม่ได้ตรงกับเป้าหมายของเพื่อนสมาชิกกลุ่มนี้ ... ก็ย่อมมีวิธีการที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา
*****
จากประสบการณ์ของเรา .... เราได้ตั้งเป้าหมายสำหรับการลงทุน ในรูปแบบต่างๆ ... (มากกว่า 10 เป้าหมาย) .... ซึ่งเป้าหมายสุดท้าย เมื่อครั้งนั้น ก็เพื่อศึกษาและเรียนรู้
ดังนั้น เราจึงมีหลายเป้าหมายสำหรับการลงทุน ... แต่ละเป้าหมาย ต้องชัดเจนมากๆๆๆๆ
เมื่อเป้าหมายชัดเจน .... ก็จะได้แผนการที่ชัดเจน .... และแต่ละแผนการ ก็มีวิธีการแตกต่างกันไป .... ประโยชน์ที่ได้รับคือ .... แต่ละพอร์ต (ที่ต่างเป้าหมายกัน) จะไม่มีคำว่า ลังเล เพราะได้วางแผนอย่างดีแล้ว .... ไม่มีคำว่า ทับซ้อน เพราะเป้าหมายนั้นชัดเจนในตัวของมัน
สำหรับเป้าหมาย เราจึงได้เลือกมา 5 อย่าง ... เพื่อให้เพื่อนๆสมาชิก ได้ทดลอง วางเป้าหมายสำหรับพอร์ตของท่าน
ได้แก่ (1) เงินแฝง ... (เงินแฝง มีหลายแบบ มีหลายส่วน ...รายละเอียด ลองดูจาก vcd นะคะ) ไม่ขอกล่าวซ้ำ ... (2) มูลค่า (3) กิจการ ... หมายถึงกิจการที่ท่านมองเห็นอนาคต, กิจการที่เราต้องการเป็นเจ้าของ ฯลฯ ... (4) ระบบ และ (5) เงินสด ******
ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของท่าน คือ กระแสเงินสดแฝง และมูลค่า .... แผนการและวิธีการย่อมต่างจากอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีเป้าหมายคือ ระบบ
เพราะถ้าท่านต้องการเงินแฝง ... ท่านต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้ได้เงินแฝง ...
กับอีกท่าน ที่ต้องการระบบ ... ท่านต้องคิดให้ได้ว่า ... ต้องทำน้อย แล้วให้ได้มาก ... โดยประเมินผลจาก ต้นทุนส่วนเพิ่ม แล้วเปรียบเทียบกับ เงินแฝงส่วนเพิ่ม ที่ได้รับ
เห็นมั้ยคะ ว่า ตัวอย่างแค่นี้ ก็ต่างกันมากๆเลย ...
*****
ท่านใดที่มีเป้าหมายว่าต้องการ ระบบที่ดี ... ท่านต้องคิดแผนการที่ตรงกับเป้าหมาย ... ท่านไม่ได้สนใจเงินแฝงที่มีที่สุด แต่สนใจว่า จะ มีประสิทธิผลสูงสุด ได้อย่างไร ... เพราะท่านกำลัง เสนอแผน ดังกล่าวให้กับเจ้าของเงิน ท่านไม่ได้ใช้เงินตัวเอง ท่านใช้เงินคนอื่น และเป็นเงินจำนวนมหาศาล .... ดังนั้น ท่านจึงไม่สนใจ เงินแฝง ที่มาก ... เพราะด้วยเงินจำนวนมาก และประสิทธิภาพของแผนการ ... ย่อมสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่า ... เป็นต้น
แผนการของท่านที่ต้องการ ระบบที่ดี ... ก็ต้องง่าย, ต้องชัดเจน ... ต้องชัดๆๆ มากๆๆ ถึงขนาดที่เจ้าของเงิน จะฟังท่าน present และ deal ได้ภายในเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง (เพราะท่านเจ้าของเงินเหล่านั้น ไม่มีเวลาให้มากกว่านี้)
แล้วจะให้ท่านเจ้าของเงินจำนวนมากขนาดนั้น มาฝึกฝนในคลับ dsm ก็คงเป็นไปไม่ได้ (เพราะเจ้าของเงินเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะมีโอกาสที่ดีอื่นๆรออยู่อีกเพียบ)
*****
กลับมาเรื่อง การแปลงร่าง .... เช่นกันค่ะ .... เราเคยใช้แผนการ การแปลงร่าง อย่างเต็มรูปแบบ ... ที่บอกว่า เต็มรูปแบบ หมายถึงว่า ... เราได้ตั้งเป้าหมายเพื่อการนี้โดยเฉพาะ อย่างเดียวเท่านั้น ... ชัดเจน ไม่ทับซ้อนกับเป้าหมายอื่นๆ ... (ด้วยเหตุผลที่เคยกล่าวไว้คือ เพื่อการศึกษาเรียนรู้)
ดังนั้น ... หากท่านใดจะใช้แผนการดังกล่าว ... จะลูกครึ่ง จะผสมผสานอย่างไรก็ตามแต่ ... ด้วยความปรารถนาดี จึงขออนุญาตกล่าวเพิ่มเติมดังนี้
1. เนื่องจาก แผนการแปลงร่าง นั้นมีทั้งข้อดี และข้อเสีย จึงอยากให้ท่านที่ต้องการใช้แผนการดังกล่าว ทำตามข้อต่อๆไป เพื่อประโยชน์ต่อตัวท่านเอง 2. ท่านต้องตั้งเป้าหมายให้ชัด ... อย่างน้อยท่านต้องเรียงลำดับให้ได้ (จาก 5 เป้าหมายที่กล่าวข้างต้น) ว่ามี priority ลดหลั่นกันอย่างไร
3. หากเป้าหมายในข้อสอง ไม่ชัดเจน สิ่งที่อาจจะตามมา มีดังนี้
3.1 ....ท่านอาจเกิดการลังเล ระหว่างการปฏิบัติตามแผน, อาจหลงทาง, อาจเปลี่ยนไปมา ตามอารมณ์ของท่านเอง (เพราะท่านเองก็ยังไม่ชัดเจน) 3.2 ....ถ้าเป้าหมายไม่ชัด ท่านก็ไม่สามารถประเมินผลได้ ... แล้วแผนการดังกล่าวก็จะไม่พัฒนา, ไม่สามารถต่อยอด, ไม่รู้สถานการณ์ของตัวเอง
3.3 ....เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ท่านอาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเป้าหมาย ... เมื่อเป้าหมายแรกยังไม่ชัด แล้วเป้าหมายที่ปรับเปลี่ยนจะชัดได้อย่างไร .. ท่านอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังเปลี่ยนเป้าหมายอยู่ ...
4. เมื่อเป้าหมายในข้อสามได้แล้ว .... แผนการของท่านก็ต้องปรับตามเป้าหมาย ...ระหว่างการวางแผน ก็อาจเกิดการปรับเปลี่ยนเป้าหมายและแผนการ เพื่อให้เหมาะสมกับตัวนักลงทุนมากที่สุด
.... ขอกลับไปสำหรับตัวอย่าง กรณี ถ้าเป้าหมายคือ เงินแฝง กับมูลค่า (ยกตัวอย่างไว้ตอน meeting ใน vcd) ท่านอาจมีหลักการคือ
ราคาขึ้น ...ไม่ต้องทำอะไร ราคาลง ... ทยอยขาย ทีละส่วน (ลงเท่าไร, ส่วนละเท่าไร ... ก็ขึ้นกับ indicator ของแต่ละคน) ราคาขึ้น ... ซื้อคืน ต่ำกว่าที่เคยขายไป
บางท่านเพิ่มเติม ปรับแผนตามสถานการณ์ Indicator ง่ายๆ เช่น ลงมาทุกๆ 2 ช่อง ... หรือขึ้นมาแล้ว 2 ช่องเป็นต้น
..... ดังนั้น เป้าหมายสำหรับการแปลงร่างนี้ ... หลักการก็อาจต่างกันออกไป ...คือ
ซื้อ ... เมื่อมั่นใจว่าขึ้น ขาย ... เมื่อมั่นใจว่าไม่ขึ้น
***** จึงกลับมาที่คำว่า มั่นใจว่าขึ้น กับ มั่นใจว่าไม่ขึ้น .... ตามชื่อกระทู้ของพี่กุ้งไร้สาร
ตรงนี้ ... เราได้บอกไว้ว่า ... ต้องหา indicator ให้ได้ว่า มั่นใจ หมายถึงอะไร
แต่เดี๋ยวก่อนนะคะ ... ไม่ได้หมายความว่า เราจะให้ไปดูกราฟเทคนิคที่สลับซับซ้อน ... ไม่ใช่เช่นนั้นเลยค่ะ
ที่ต้องการให้ระบุ indicator สำหรับความมั่นใจ .... วัตถุประสงค์เพื่อไม่ให้ท่าน ใช้ อารมณ์ สำหรับการตัดสินใจซื้อหรือขาย ... วัตถุประสงค์เป็นเช่นนี้จริงๆค่ะ
จึงไม่จำเป็นต้องเป็น กราฟ, เทคนิค, วอลุ่ม หรืออื่นๆ ... ที่คำนวณทางคณิตศาสตร์แบบซับซ้อน ... ไม่จำเป็นเลยค่ะ .... ขอย้ำว่า ไม่จำเป็น
เพียงแต่ต้องการให้หา indicator เพื่อให้ชัดเจน ในการตัดสินใจซื้อขาย ของท่านเท่านั้น ....
ตัวอย่างเช่น ... บางท่าน อาจบอกว่า ขึ้นมา X ช่อง คือมั่นใจว่าขึ้น ... และลงมา Yช่อง คือมั่นใจว่าไม่ขึ้น ... X กับ Y ก็แล้วแต่นักลงทุนแต่ละคน ... ไม่ต้องดูกราฟ, ไม่ต้องดูเทียน, ไม่ต้องดูข่าว inside ไม่ต้องดูอะไรทั้งนั้น ....
บางท่านอาจบอกว่า ... เปิดตลาด เขียว คือมั่นใจว่าขึ้น ... และ เปิดตลาด แดง คือมั่นใจว่าไม่ขึ้น .... ก็ตามสะดวกค่ะ
ยังมีอีกเยอะ ... แต่ที่สำคัญของ indicator คือ
หนึ่ง ... เพื่อให้ท่านประเมินผลได้ สอง ... เพื่อให้ท่านไม่ใช้อารมณ์ตัดสินใจ สาม ... เพื่อให้ท่านปรับเปลี่ยน indicator อย่างมีหลักการ (ไม่ใช่เปลี่ยนตามอารมณ์) สี่ .... indicator ไม่จำเป็นต้องถูกต้อง 100% อาจจะผิด 100% ก็ได้ ... เพียงแต่ท่านก็ปรับเปลี่ยนตามแผนการที่วางไว้สำหรับ indicator แต่ละแบบ ...
อืม... แต่ถ้า indicator มันผิด 100% (หรือผิดมากกว่าถูก) ... ก็ง่ายมากค่ะ ... ท่านก็ปรับ indicator เป็นตรงกันข้ามซะเลยดีมั้ยคะ .... ผิด 100% จะได้เป็นถูก 100%
อิอิ ... ล้อเล่นนะคะ
5. ต่อที่ข้อห้า เมื่อมี ความมั่นใจ เป็น indicator ที่ชัดเจน ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์แล้ว ... ถ้าท่านจำ boston matrix ได้ ... ท่านก็ต้องหาให้ได้ว่า x-dimension และ y-dimension ...สำหรับเป้าหมายนี้ สำหรับแผนการของท่านนั้นควรเป็นอย่างไร (แน่นอน ย่อมแตกต่างจากที่เคยยกตัวอย่างไว้วัน meeting เพราะมันต่างกันโดยสิ้นเชิง) ...
แต่ก่อนจะทำข้อนี้ได้ ก็ต้องทำการบ้านข้อ 1 4 มาก่อนจึงจะเห็นข้อนี้ชัดเจนขึ้น
6. หลังจากนั้น ก็ต้องคิดให้ได้ว่า จะจำแนก กลุ่มของการแปลงร่าง ด้วยอะไร ... นั่นคือ ใน boston matrix ท่านหาให้ได้ว่า สำหรับแผนกการนี้ต้อง classified ด้วยอะไร 7. จากนั้น เพื่อการประเมินผลที่ดีเยี่ยม และเพื่อการพัฒนาต่อยอด แนวคิดของท่าน ... ท่านต้องหาให้ได้ว่า switching cost และ switchin value สำหรับแผนการของท่านคืออะไร เป็นค่าเท่าไร ....
8. หากท่านทำได้ครบ 7 ข้อข้างต้น (จริงๆ ยังมีอีกค่ะ ... ให้เท่านี้ก่อน) ... ท่านจะไม่ติดที่ กับดัก ของการแปลงร่าง ... ท่านจะสามารถต่อยอดแนวคิดไปได้อีก ...ท่านจะไม่เห็น ราคาหุ้น... ท่านจะไม่เห็น ชื่อหุ้น .... และมันจะไม่มีขีดจำกัดใดๆเหลืออยู่เลย
เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ... นั่นคือ ซื้อเมื่อมั่นใจว่าขึ้น และ ขายเมื่อมั่นใจว่าไม่ขึ้น
9. ต่อจากนั้น ท่านก็จะเห็นได้ด้วยตัวของท่านเองว่า ... ความรู้ ความสามารถ และแนวคิด ณ เวลาหนึ่งๆ .... แม้จะมีปริมาณมากก็ตาม ... แต่มันจะไม่มีค่า เท่ากับ flow ของความคิด, ความรู้ความสามารถ ... flow เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเยอะ ... เพราะวันเวลาผ่านไป ... สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนไป
การเรียนรู้สิ่งที่มีอยู่แล้ว ให้เข้าใจ ยังไม่มีค่ามากไปกว่า การเรียนรู้ ที่จะค้นหาวิธีการเรียนรู้ด้วยตัวเอง .... เราคิดเช่นนี้ค่ะ
******
ที่กล่าวมาทั้งหมด ... เป็นความเห็นส่วนตัวทั้งสิ้น ... โปรดอย่าเชื่อโดยมิได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ...
และท่านเท่านั้นที่จะเป็นผู้รับผิดชอบจากการกระทำของท่านเอง .... ขอคำแนะนำด้วยค่ะ
อิอิ .... ยาวไปมั้ยเนี่ย ... ผ่านมา แล้วผ่านไปค่ะ ...
จากคุณ :
คนชื่อนินจา
- [
15 ธ.ค. 47 12:22:49
]
|
|
|