ตามหลักสมเกินแบบง่ายๆข้างใต้
หุ้นทุกตัวในตลาดฯ ไม่ว่าจะมีผลประกอบการเป็นอย่างไร
ก็สามารถขึ้นได้แบบไม่มีขีดจำกัดถ้า....
อำนาจซื้อของเงิน
ถูกอัดเข้าไปล่าส่วนเกินทุนในหุ้นตัวนั้น
แบบไม่จำกัดปริมาณ
เพราะอำนาจขายของหุ้น
เป็นสิ่งที่มีจำกัด โดยตัวมันเอง
จากทุนจดทะเบียนของบริษัท
ยิ่งกว่านั้น หุ้นอีกเป็นจำนวนมาก
ถูกกักไว้นอกตลาดฯ
ด้วยแรงกรรมแห่งความกลัวถูกครอบครองกิจการ
ของเจ้าของบริษัท
ดังนั้น สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งจึงเชื่อว่า
เมื่อไรที่ปริมาณเงินในตลาดหุ้น มีมากๆ
หุ้นทุกตัวจะสามารถขึ้นได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
จนเป็นที่งุนงงสงสัยของนักเล่นหุ้นแนววีไอ
ซึ่งสภาวะแบบนั้น จะเรียกว่า "กระทิง"
หุ้นจะมีแต่คำว่า "หุ้นขึ้น" และ "หุ้นลง"
ไปตามแรงประทะระหว่าง
อำนาจซื้อของเงิน กับอำนาจขายของหุ้นในตลาดหุ้นล้วนๆ
ไม่เกี่ยวกับผลประกอบการเลย
แต่เมื่อไรก็ตาม
อำนาจซื้อของเงินเริ่มมีจำกัดลง
หุ้นจะเริ่มมีคำว่า "หุ้นดี" และ "หุ้นเน่า"
เพราะอำนาจซื้อของเงินและอำนาจขายของหุ้น
เริ่มมีจำกัดด้วยกันทั้งคู่
การเลือกข้างให้ถูก
ระหว่างเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริง (หุ้นขึ้น)
กับหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง (หุ้นลง)
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับยุค"กระทิง"
ส่วนยุค"หมี"
การเลือกข้างให้ถูก
ระหว่าง เงินที่มีอำนาจซื้อนำที่มีจำกัด (หุ้นดี)
กับหุ้นที่มีอำนาจขายนำจริง (หุ้นเน่า)
จะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
เพราะคนที่ลงมือตามเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริงได้ถูกตัว
มาตั้งแต่ยุคหมี (หุ้นดี หุ้นเน่า)
จะสามารถเอาหุ้นมาปล่อยทิ้งให้ช่วง
"หุ้นขึ้นและหุ้นลง" ได้อย่างสบายใจที่สุด
ตอนนี้บักสีดาคงจับตาดู
ปริมาณเงินที่มีอำนาจซื้อนำจริงจากคนไทย
ผ่านดุลบัญชีเดินสะพัด และตัวเลขจีดีพีเป็นหลักใหญ่
ออกอาการเมื่อไร ก็บอดี้ฮู บอดี้อิท ฮาๆๆๆ
แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 47 11:13:30
แก้ไขเมื่อ 22 ธ.ค. 47 10:12:00