ความคิดเห็นที่ 2
5. (โมเดลอื่นเช่นปัจจัยพื้นฐานนี่ผมไม่พูดนะครับเพราะน่าจะพอทำความเข้าใจกันได้และมีหลายท่านในที่นี้มีประสบการณ์สูง เช่น ถือหุ้นต่อสู้กับเจ้าของมานักต่อนักแล้ว) หลังจากเรารู้ว่าเทคนิคคัลมีอะไรบ้าง แล้วเราไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้ถึงขั้น high class เราก็น่าจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ เทคนิคคัลพื้นฐานวางกระบวนการเรียนรู้ไว้ดังนี้ครับ ศึกษาอดีต<---->เรียนรู้ปัจจุบัน<---->ป้องกันอนาคต เริ่มเห็นภาพมั้ยครับว่าเดี๋ยวนี้มันจะกลายเป็นแบบนี้ไปแทน ศึกษาอดีต ------> คาดการณ์อนาคต ....
5. ว่ากันทีและตัวแล้วกันนะครับ, ศึกษาอดีต---->ก็คือการพยามทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมาผีผลอย่างไรก่อให้เกิดภาพกราฟแบบไหน (กราฟจะเป็นเหมือนวิดีโอบันทึกถึงการกระทำและความรู้สึกของมนุษย์ในช่วงเวลาที่ผ่านมา) , เรียนรู้ปัจจุบัน (มองดู ณ ปัจจุบันว่ามันเกิดสถานการณ์แบบไหน มีปัจจัยอะไรบ้าง ก็ให้เกิดภาพกราฟอะไร พอเทียบเคียงกับภาพกราฟในอดีตได้ไหม ),ป้องกันอนาคตคือ ปัจจุบัน เมื่อ เทียบ กับอดีต แล้วมันจะเกิดเหตุการณ์แบบไหนได้บ้าง เราควรจะทำอย่างไรเมื่อเกิดแต่ละเหตุการณ์(กลายเป็นศาสตร์ใหม่ของฝรั่งขึ้นมาอีกเรียกว่าหลักการบริหารความเสี่ยง) ต่างกับหลักการเทคนิคคัลฉบับคาดการณ์อนาคตคือ เราเห็นอดีตแบบนี้ ปัจจุบันแบบนี้ เราจึงตัดสินใจซื้อหรือขายในแบบที่ควรจะเกิดจากอดีตทันที ซึ่งระบบจะง่ายและรวดเร็ว แต่ error จะมีมากกว่า และ บุคคลที่ใช้จำเป็นต้องมีระเบียบวินัยสูง เช่นการเน้นระบบ cut loss เมื่อตัดสินใจพลาด (จริงๆระบบcut loss มีความจำเป็นในหลายๆระบบ แต่ระบบนี้จะเน้นมากหน่อย เพื่อให้กลับมาสู่ loop การตัดสินใจวิเคราะห์ใหม่ได้) ... เหนื่อยเหมือนกันนะครับเนี่ยการเล่นหุ้น ผมยินดีแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เพราะ การที่บุคคลนั้นจะเรียนรู้และสำเร็จได้นั้นต้องมีความพยามค่อนข้างสูง ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่ที่เราจะบอกสิ่งที่เราพอรู้บ้างให้กับบุคคลที่มีความพยามเป็น ไกด์ไลน์ คร่าวๆได้ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการให้กำลังใจเล็กๆน้อยสำหรับคนที่ต้องเจอมาหนักแล้วกันนะครับ ปล. อย่าถามผมนะครับว่าหุ้นตัวไหนดี ซื้อเมื่อไร ขายเมื่อไร ผมเจอคำถามนี้มาเยอะจริงๆตั้งแต่เป็นวิทยากรเทคนิคคัล เพราะผมจะตอบอยู่เสมอว่าผมไม่รู้อ่ะ งวดนี้พักไว้แค่นี้ก่อนนะครับยังนึกไม่ออกเลยจะอธิบายกราฟไงดี เอาแต่หลักการไปก่อนเนอะ หยวนๆน่า ไว้ค่อยมาต่อกัน มีไรก็แลกเปลี่ยนความรู้กันผ่านกระทู้ได้ครับ ขอบคุณมากครับที่ทนอ่านมาขนาดนี้
อ่อ เกือบลืม ที่โซรอสที่เค้าบอกว่าขายหุ้นตอนปวดหลังนั่นเค้าแฝงปรัชญาไว้ให้เรานะครับ ว่าเค้าเนี่ยซื้อขายหุ้นไม่มีความซับซ้อนและไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เค้าอยากจะซื้อก็ซื้ออยากจะขายก็ขาย โดยตัดสินใจตามโมเดลของเค้าที่เค้าคิดไว้นั่นเอง (ตย. ทฤษฎีสิ่งเค้านำเสนอมันมีชื่อว่า The Theory of Reflexivity ) และสิ่งที่ช่วยเตือนใจให้ผมต้องพยามพัฒนาและฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ เพราะว่าตลาดหุ้นมันเป็นตลาดopen ไม่มีการต่อ handicap หรือกำหนดรุ่นช่วยเรานะครับ ยกตัวอย่างเหมือนเราเข้าไปแข่งกีฬาพวกรายการ open เลยครับ เจอมือเก๋าๆแน่นอนอยู่แล้ว
อ่อ..ฝากอีกนิดหน่อยนะครับ สำหรับคนที่กลัวโดนเทคนิคหลอกจากฝ่ายผู้ชี้นำ ถ้าเราเปิดใจแล้วไม่มีความรู้สึก โดยสมมุติง่ายๆเกิดเราไม่มีเครื่องมืออย่างอื่นมาจับจริงๆเราก็หาอินดิเคเตอร์ที่แม่นเทรนด์นี่หล่ะ โดยที่การขัดแย้งต่างๆในตัวมันเองจะเป็นตัวบอกเราเองว่ามนุษย์นี่หล่ะกำลังพยามชี้นำให้เป็นแบบนี้ เสร็จเราหล่ะครับ เพราะหุ้นมันไม่ขึ้นก็ลงเราก็จะรู้ถึงความต้องการของเค้า --->ภาพประกอบคำอธิบายเป็นตัวอย่างง่ายๆนะครับ
ความคิดเห็นจากคุณโจนาธาน สหายร่วมสำนัก mgc
โมเดล ก็คือแบบจำลอง ที่ใช่ทำนาย อนาคตของสิ่งที่เราสนใจ โดยมีเงื่อนไขและตัวแปร ที่เรากำหนดใส่ไว้ แล้วเค้าจะเอา output นั้นแหละมาทำนาย
โมเดลในการเทรด ก็เหมือนกันครับ เอาไว้ทำนายการซื้อขายครับ
โมเดลที่จะแม่นยำเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับ ความแข็งแกร่งของโมลเดลนั้น ๆ ครับ ว่าละเอียดเพียงใด
มนุษย์เป็น โมเดลเทรดที่ดีที่สุด แบบคุณ โซรอส จูเนียร์ ว่าไว้นั้นแหละ อิอิ เพราะเราสามารถรับปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่คอมมันรับไปแบบเราไม่ได้ แต่เราต้องมีใจเป็นกลางนะครับ อย่ามีอคติ จึงจะชนะโมเดลทางคอมได้สมบูรณ์ ผมเข้าใจว่า คุณมัดเลย์ ทำงานหนัก และ สร้างโมเดล ดียิ่งกว่าพวกวิจัย ป.โท หรือ ป.เอกซะอีก (ตั้งแต่ตอนเรียน ป ตรี) จริง ๆ หากจะเล่นหุ้นให้สำเร็จเร็วเพียงใด เราก็ต้องขยันเพิ่มขึ้นเป็นสิบ ๆ เท่า กว่าจะผ่านไปแต่ละขั้น ต้องใช้เวลาและความอดทน
สิ่งนี้แหละครับ ขอฝากไว้สำหรับคนที่อยากเก่งแบบเค้า หากคุณมีสิ่งแบบนี้ ผมว่าก็ไม่ไกลเกินเอื้อมหรอก
ความคิดเห็นจากคุณ : simply is the best (chezip)
ปรัชญาและปัจจัยแห่งความสำเร็จขั้นพื้นฐาน ในการเล่นหุ้นด้วยเทคนิคเคิล
1. อาวุธ (เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค)
2. กลยุทธ์ และ ความเข้าใจในสมรภูมิ (ตลาดหุ้น) ตลอดจนยุทธศาสตร์ ระยะสั้น กลาง ยาว
3. อารมณ์ (การควบคุมอารมณ์ของตนเอง ให้ปฏิบัติตามแผน ตามระเบียบวินัยการลงทุน ตามเป้าหมายระยะสั้น ยาว ให้เป็นไปและสอดคล้องกันกับยุทธ์ศาสตร์ที่วางเอาไว้)
ปัจจัย ทั้ง 3 ตัวมีความสำคัญ เรียงตามลำดับ เพราะถ้าไม่เลือกหาอาวุธที่เหมาะมือไว้ก่อน ก็ต่อสู้กับเขาไม่ได้ แต่ถ้ามีแต่อาวุธ แต่ไร้กระบวนท่า ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน เพราะอาวุธแต่ละประเภทมีข้อจำกัด ตามสถานการณ์และสมรภูมิ
(ไม่มีสัญญาณเทคนิคที่ให้ความแม่นยำถูกต้อง 100%)
ดังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธในมือเรา มันจะแผงฤทธิ์ ได้ดีในตอนไหน (สัญญาณลวงทางเทคนิคมักจะเกิดขึ้นในตลาดขาลง 50-60% ) แต่เครื่องมือทางเทคนิคจะทำหน้าที่ได้ดี (ให้สัญญาณจริง 70-80%) ในตลาดขาขึ้น
เพราะฉะนั้น เซียนเทคนิคจึงผุดขึ้นมากมายในตลาดกระทิง
แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าสถานการณ์มันอำนวยชัยมากกว่า น้อยคนที่จะมีอาวุธคู่ใจหลายๆอัน ดังนั้นแล้ว จงหาอันที่เหมาะมือไว้สัก 2-3 อันไว้ก่อน ก็พอ แต่เอาให้ชำนาญยุทธ์ ปิดช่องโหว่งซึ่งกันและกัน
และสุดท้ายคือ ปัจจัยเรื่องอารมณ์ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
กระบวนท่าต้องสัมพันธ์กับใจ อารมณ์เป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากเพราะฉะนั้น จึงเข้าถึงและเข้าใจได้ยากเหมือนกัน
จากคุณ :
หมากเขียว
- [
25 ธ.ค. 47 22:51:11
]
|
|
|