ผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี..... เพราะเรื่องปัญหาหนี้สินที่บิดาเป็นคนก่อ... เรื่องราวของหนี้สินก้อนนี้มันแสนจะซับซ้อน... คงต้องเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่แรก ๆ นะครับ...
แต่ก่อนสักปี 2515 พ่อผม อพยมมาจากต่างประเทศ มาตั้งโรงงานในประเทศไทยกับแม่ผม... กิจการมเป็นไปด้วยดี พอมีเงินเก็บกิน แต่เนื่องด้วยเป็นคนต่างชาติ ซื้อที่ดินไม่ได้ จึงต้องใช้ชื่อบุคคลอื่นซึ่งเป็น ญาติ (นาย ก.) ไว้สองแปลง และหลังจากบริษัทเริ่มมั่นคง พ่อผมก็ซื้อตึกแถวอีกหนึ่งห้องเก็บไว้ในนามบริษัท.... กิจการของคุณพ่อยังเป็นไปด้วยดี พอผมอายุสักสิบกว่า ๆ ครอบครัวเริ่มแตกร้าว แม่ผมจับได้ว่าพ่อมีเมียอีกคน หลังจากนั้นก็เริ่มทะเลาะกัน และก็ไล่แม่ผมออกจากบ้านไป โดยให้ผมเลือกว่าจะอยู่กลับใคร สุดท้ายผมเลือกที่จะไปอยู่กับแม่ที่ไม่มีอะไรติดตัวออกไปเลย.... ต้องออกไปเช่าบ้านอยู่และใช้เงินเก่าเก็บอย่างประหยัดไปวัน ๆ
หลังจากที่ถูกขับไสไล่ส่งออกไปสักหลายปีจนผมใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัย ผมเริ่มได้ข่าวมาว่าบิดาผมเป็นหนี้กับทาง Bank เนื่องจากเหตุการณ์ที่มีการปรับค่าเงินลอยตัวในปี 1997 ......
จู่ ๆ วันหนึ่ง... พ่อผมเรียกให้กลับไปอยู่บ้านหลังเก่าซึ่งเป็นที่ดินที่ในชื่อของญาติ (นาย ก.) ตรงนี้ผมไม่แน่ใจว่าเค้ากลับใจหรือว่าเห็นใจ และให้กลับมาช่วยดูแลกิจการห้องเช่าที่เค้าทำไว้ โดยผมก็ออกไปทำงานบริษัทไป และให้แม่ดูแลกิจการห้องเช่า....
แต่มาวันหนึ่งมีหมายศาลมาปิดหน้าบ้าน... บอกว่ามีการฟ้องร้องหนี้สินมูลค่า 60 ล้านบาท โดยถ้าหามาจ่ายไม่ได้จะมีการยึดบ้านที่ผมอยู่ กิจการห้องเช่า และตึกแถวที่ใช้ชื่อในนามบริษัทซื้อ .......
หลังจากนั้นผมติดต่อไปทางคุณพ่อผม เพื่อขอสอบถาม แกก็บอกว่าไม่มีอะไร บ่ายเบียง มีอะไรก็ให้ทนายจัดการไป ยืดเรื่องไปเรื่อย ๆ แต่ผมแนะนำให้แกไปคุยกับเจ้าหนี้ กล่อมแกอยู่นาน ทะเลาะกับแกก็หลายรอบ... จนสุดท้ายแกก็ยินยอม... ผมเลยลาออกจากบริษัทที่ทำอยู่แล้ว กลับไปช่วยงานที่บริษัทของคุณพ่อเพื่อจะช่วยเคลียร์เรื่องหนี้สินให้กับแก
พอได้ไปคุยกับเจ้าหนี้.... ทางเจ้าหนี้แนะนำให้ผมทำแผนส่ง ผมได้จ้างบริษัทที่รับจัดทำแผนประกอบการนำเสนอแผนเจรจาประนอบหนี้ไปโดยใช้เงินส่วนตัวประมาณที่เก็บมาได้ระหว่างการทำงานประมาณ 300000 บาทเพราะพ่อผมไม่ยอมจ่าย แต่สุดท้ายผลก็ล้มเหลว เพราะเจ้าหนี้ถูกแบ่งเป็นสองรายโดยที่มูลค่าทรัพย์สินที่ถือไว้ไม่เท่ากัน การเจรจาไม่เป็นผล ประกอบกับความไม่รวมมือของบิดาผม ที่ไม่ค่อยยอมให้ความร่วมมือ สุดท้ายแผ่นไม่ผ่าน บริษัทใกล้จะเจ๊ง ผมก็ถูกแกไล่ออก.....
ในวันที่ผมถูกแกไล่ออกจากบริษัทของพ่อ ผมเป็นคุณพ่อลูกสอง ที่ต้องออกมานั่งล้างขวดนม ใช้เงินอาทิตย์ละ 1000 บาทอยู่หกเดือนกว่าเจ็ดเดือน ถึงแม่และภรรยาผมจะช่วยออกค่าใช้จ่ายส่วนอื่นทำให้ผมไม่ลำบากมากนั้น แต่ผมก็ละอายใจที่ไม่มีงานทำหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้
วันนี้ผมมีงานทำแล้ว รายได้ก็ถือว่าพอเลี้ยงครอบครัวไหว แต่ฐานะของครอบครัวผมยังไม่มั่นคง บ้านยังไม่รู้ว่าจะถูกยึดเมื่อไหร่ เงินเก็บที่แม่เก็บเกินมาจากกิจการบ้านเช่าก็พอมีและแม่เองก็ไม่อยากจะย้ายไปไหนและอยากจะอยู่บ้านหลังที่อยู่หลังนี้ พอจะไปคุยเพื่อขอไถ่ถอนกับทาง Bank ก็ทำไม่ได้ เพราะชื่อที่ใช้ซื้อก็เป็นชื่อของนาย ก. และนาย ก. เองก็เป็นผู้ค้ำประกันในมูลหนี้ก้อนนี้ด้วย....
ตอนนี้ผมไม่รู้จะหาทางออกทางไหน เพราะดูท่าแล้วพ่อผมคงจะปล่อยให้เค้ายึดเอาไปเท่าที่มี ส่วนอื่น ๆ ที่แกมีอยู่แกก็ถ่ายโอนออกไปหมดแล้ว.....
ผมไม่อยากจะให้เค้ามายึดบ้านผมไป.... ผมจะทำไงดีครับ
จากคุณ :
NPD7
- [
3 มี.ค. 48 16:15:57
]