ชื่อ ประยุทธ มหากิจศิริ หรือเจ้าสัวเป้า หรือเจ้าพ่อเนสกาแฟ โด่งดังคับฟ้าอย่างยิ่งในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร โด่งดังในฐานะเป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แล้วเขายังคุยว่า ใกล้ชิดกับ นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เล่นกอล์ฟก๊วนนายกฯ เป็นประจำ เล่นแพ้เสียให้ทุกนัด
มหากิจศิริและชินวัตร สนิทสนมกันถึงขั้นควักเงินให้บุตรทั้งสองตระกูลร่วมทำร้านกาแฟที่ย่านสยามสแควร์
แนบแน่นกันถึงผลักดันให้ เฉลิมชัย มหากิจศิริ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสัว มานั่งประจำสำนักนายกฯ ทำหน้าที่เดินตามนายกฯทักษิณ ล่าสุด เฉลิมชัยได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองโฆษกรัฐบาลทักษิณ 2/1 ท่ามกลางเสียงซี้ดปากกันลั่นทำเนียบ
ประยุทธ มหากิจศิริ เล่นการเมืองผ่านระบบแต่งตั้งมาตลอด เคยเป็นวุฒิสภาชุดรัฐบาล พลเอกสุจินดา คราประยูร ซึ่งเป็นวุฒิสภาระบบแต่งตั้งชุดสุดท้าย เขาเคยลงเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา กทม. แต่สอบตก จนกระทั่งได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักไทย เมื่อคราวการเลือกตั้งปี 2544 แต่ถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2544 เพราะแจ้งบัญชีทรัพย์สินไม่ครบถ้วน แล้วถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
จากนั้น ชื่อประยุทธมาโลดแล่นในตลาดหุ้นในฐานะนักเล่นหุ้นรายใหญ่ ว่ากันว่าเจ้าสัวเหวี่ยงคำสั่งซื้อขายหุ้นแต่ละครั้งเป็นหลักร้อยล้านบาท นักเล่นหุ้นรายเล็กต้องคอยเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว และด้วยความเป็นมือใหญ่จึงได้รับจัดสรรหุ้น IPO อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลมีนโยบาย "แปรรูป" ท่ามกลางข้อครหาคาใจ
แม้แต่สังคมลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเล ประยุทธ มหากิจศิริ มีเรื่องโจษขานกันอึงคะนึง โดยเฉพาะการเลือกตั้งนายกสมาคมคนจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศไทย เหล่าสมาชิกนักธุรกิจจีนใหญ่น้อยย่านเยาวราช สำเพ็ง ราชวงศ์ ยังกล่าวขานถึงคำมั่นสัญญาช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
พลันกลุ่มมหากิจศิริเสนอหุ้นไทยน๊อคสเตนเลสเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ จะให้น้ำหนักระหว่างเรื่อง "ธรรมาภิบาล" กับ "การเมือง" อย่างไหนมากกว่ากัน
หลังจากเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ เพียรพยายามขับเน้นเรื่อง "ธรรมาภิบาล" ทั้งบริษัทจดทะเบียน และบริษัทที่จะเข้าระดมทุน มีการอบรมและกำหนดให้สร้างระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) ผ่านคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) รวมทั้งการแต่งตั้ง "คณะทำงานวินัยกรรมการ" (กรรมการของบริษัทจดทะเบียน)
กรณีของไทยน๊อคฯ ถูกซักไซ้ถามถึงเรื่อง "ธรรมาภิบาล" ของเจ้าของกิจการ เพราะประยุทธเพิ่งถูกศาลฎีกาพิพากษา ตามคดีเลขที่ 3886/2546 เรื่องการซื้อขายที่ดินแล้วมีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้น้อยลง รวมทั้งที่มาของการพ้นสภาพ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
พลันหุ้นไทยน๊อคฯ เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2547 หลายคนทราบดีว่า ก.ล.ต.กับตลาดหลักทรัพย์ยึดถือหลักอะไร
บริษัทไทยน๊อคสเตนเลส เป็นผู้ผลิตเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็นเพียงรายเดียวของเมืองไทย ก่อตั้งปี 2534 มีผู้ถือหุ้นหลัก 4 กลุ่มคือ กลุ่มมหากิจศิริ กลุ่มผู้ผลิตเหล็กหล้าไร้สนิมจากญี่ปุ่น กลุ่มอิลวา เอสพีเอ และกลุ่มอาร์ซีลอร์ ผู้ผลิตเหล็กกล้าและเหล็กกล้าไร้สนิมรายใหญ่ที่สุดของโลก เริ่มผลิตปี 2536 แต่ประสบภาวะขาดทุนจนกระทั่งปี 2546 ต้องลดทุนจดทะเบียน 447.09 ล้านบาท แล้วเพิ่มทุนคราวเดียวกันอีก 3,348.58 ล้านบาท ต่อมาช่วงต้นปี 2547 กลุ่มอาร์ซีลอร์ได้ขายหุ้น 96.1% ให้กับกลุ่มมหากิจศิริ
วันที่ 8 ธันวาคม 2547 ไทยน๊อคฯ เพิ่มทุนอีก 329.59 ล้านบาท รวมแล้วมีทุนจดทะเบียน 8,000 ล้านบาท เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยกลุ่มมหากิจศิริเสนอขายหุ้นเดิมที่ตัวเองถืออยู่ในมือผ่าน บริษัท เลควูดเรียลเอสเตท, บริษัท เลควูดคันทรีคลับ และบริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี 2,147,348,716 หุ้น ในราคาหุ้นละ 2.10 บาท เท่ากับกลุ่มมหากิจศิริเก็บเงินสดเข้ากระเป๋า 4,509,432,303.60 บาท เพียงแค่เวลาไม่ถึงปี
นอกจากนี้ ก่อนเข้าตลาดหุ้นเจ้าสัวประยุทธมีข้อขัดแย้งกับ บล.ทิสโก้ โบรกเกอร์ที่ทำหน้าที่อันเดอร์ไรท์หุ้นเกี่ยวกับราคาหุ้นที่จะเสนอขายให้ประชาชน โดยเจ้าสัวคุยว่าหุ้นตัวเองดี ราคา 2.80 บาท เป็นราคาที่เหมาะสมกว่าราคาของทิสโก้ที่เสนอขาย 2.10 บาท
หลังจากเข้าตลาดหุ้นเพียงไม่นาน กลุ่มมหากิจศิริสร้างเรื่อง "ชวนหัว" ขึ้นมาอีก เมื่อ บริษัท ไทยฟิล์มอินดัสตรี ของมหากิจศิริ เรียกเก็บค่าที่ปรึกษาจัดการเข้าตลาดหุ้นจากสองบริษัทมหากิจศิริ 150 ล้านบาท
ค่าแรง 150 ล้านบาทนี้เป็นต้นเสียงแห่งการวิพากษ์ถึงกลวิธีการถ่ายเทกำไร ทว่า ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ยังนิ่งเงียบเฉย
รายการที่เรียกเสียงเย้ยหยันกันทั่วเมืองมาจากเหตุการณ์ขายหุ้นไทยน๊อคฯ จำนวน 4 ล้านหุ้น ช่วงตรุษจีน ทั้งนี้ คนขายหุ้นชื่อ เฉลิมชัย มหากิจศิริ ขายในราคาหุ้นละ 2.02 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคา IPO ถึง 0.98 สตางค์ และต่ำกว่าราคาที่เจ้าสัวประยุทธคุยไว้ถึง 0.78 สตางค์
"ตามธรรมเนียมจีน ตรุษจีนจะต้องรับเงินเข้ามาผมถึงขายหุ้นเป็น gimmick" ประยุทธ ออกโรงแก้ตัวภายหลัง แต่นักเล่นหุ้นไม่มีอารมณ์ขันด้วยเพราะราคาหุ้นไหลลงตลอด
"ผมทนได้กับคำวิพากษ์วิจารณ์" ประยุทธเรียกความเห็นใจในการแถลงข่าว
แต่ ก.ล.ต. เริ่มทนไม่ได้เมื่อไทยน๊อคฯ แจ้งตลาดหุ้นว่า ไทยน๊อคฯ จะเพิ่มทุน 2,000 ล้านบาทและออกวอร์แรนท์อีก 2,000 ล้านหน่วย เพื่อไปลงทุนโครงการผลิตเหล็กรีดร้อนมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท รวมทั้งซื้อที่ดิน 240 ไร่ มูลค่า 349 ล้านบาท จากบริษัทแอ๊คมี่แค็มพ์ ซึ่งบริษัทนี้กลุ่มมหากิจศิริถือหุ้น 100 หุ้น ซึ่งเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่หลังจากเข้าตลาดหุ้นได้เพียง 2 เดือน โดยไม่มีการเสนอไว้ในหนังสือชี้ชวนฯ เมื่อครั้งก่อนเข้าตลาด
"โครงการขนาดใหญ่ต้องใช้ระยะเวลาตัดสินใจ ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า และการซื้อขายที่ดินมีลักษณะเข้าข่ายทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน การปกปิดข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหุ้นและหนังสือชี้ชวนถือว่าผิดตามมาตรา 278 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ 2535" ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว
ในที่สุด ดร.วิชชุกร ประพันธศิริ กรรมการผู้จัดการไทยน๊อคฯ ต้องยื่นใบลาออกเพื่อเป็นแพะรับบาป พร้อมกันนั้นกลุ่มมหากิจศิริออกมาแก้เกี้ยวเป็นเพียงมติให้ศึกษาความเป็นไปได้ยังไม่ได้ตัดสินใจลงทุนและยกเลิกการซื้อขายที่ดิน 240 ไร่
ทว่า การลาออกจากตำแหน่งกรรมการอิสระและประธานคณะกรรมการตรวจสอบของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร อาจจะบอกเป็นนัยถึง "ธรรมาภิบาล" ของเจ้าของกิจการ
ยังไม่รู้วันข้างหน้ากลุ่มมหากิจศิริจะมี gimmick อะไรอีกหรือเปล่า แต่เพียงแค่ไม่ถึง 3 เดือน หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยเรื่อง "ธรรมาภิบาล" ของ ก.ล.ต. และคณะกรรมการตลาดหุ้นยังอยู่ดีหรือไม่
จากคุณ : ฟันตรงๆ - [ 20 มี.ค. 48 21:39:16 A:61.91.228.85 X: TicketID:008065 ]
จากคุณ :
new hand
- [
24 มี.ค. 48 00:28:41
A:203.155.60.12 X: TicketID:069281
]