CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ถอดเทป หลัก 4x3 (เอามาเขียนใหม่ให้อ่านง่ายขึึ้นครับ)

    คุณห่าน: ถ้าเราขายไปแล้วทุก 3 ช่อง ต่อมา ขายไม่ทัน หลุดไป 6 ช่อง ทีนี้ถ้าเกิดขึ้นมาตรงที่เราไม่ได้ขายไปตอนแรกตรงนี้หมอวีจะขายไหม

    คุณนินจา: ตอบพี่ห่าน เรื่อง 6 ช่อง ข้างบน ...... ขึ้นอยู่กับคลื่นด้วยค่ะพี่ห่าน ถ้าเป็นคลื่นลูกเดียวกัน อาจไม่ต้องขายซ้ำ ... แต่ถ้าคลื่นคนละลูก อาจต้องซ้ำ เพราะมันเป็นคนละสถานการณ์


    คุณบอล: ถามนินึงครับ ถ้าราคาหุ้นตอนนี้ต่ำกว่าราคาแปลงสิทธิ ESOP เราจะถือว่าสามารถทำ arbitrate ได้มั้ยครับ

    คุณนินจา: arbitrate มันจะมีผลเมื่อเกิดการ settled เท่านั้น เน้นสำหรับหุ้นเมืองไทยนะคะ ของ warrant หรือ derivatives คะพี่บอล

    คุณบอล: ของ ESOP ครับ

    คุณนินจา: แน่นอนค่ะ ... สำหรับเมืองไทย ตลาดมันไม่สมบูรณ์ค่ะตามสมมติฐานของทฤษฎีค่ะ เอ่ พี่บอล วางแผนไว้ยังไงคะ

    คุณบอล: คือสงสัยหนะครับ หุ้นตัวนึงราคาเคยไฮที่ 20 แต่ตอนนี้ราคาลงมาต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ESOPที่ 8 บาท น้องกุงคิดว่าไงครับ

    คุณนินจา: อย่างที่บอกน่ะค่ะพี่ .... ทฤษฎีดังกล่าวจะมีสมมติฐานว่า ผู้ลงทุนทั้งหลายมีช่วงเวลาลงทุนตรงกัน (มีเงินพร้อมๆกัน) นักลงทุนทั้งหลาย คาดการณ์เหมือนกัน (กับหุ้นดังกล่าว) นักลงทุนต้องการทำกำไรสูงสุดเหมือนกัน ตลาดต้องสมบูรณ์สะท้อนราคาตลาดแท้จริง ดังนั้นจึงไม่แปลก เช่นว่า ... ราคาอาจไม่เป็นตามที่ (พี่บอล) คาดการณ์ ... ถ้าเกิดนักลงทุนเกิดไม่คาดการณ์เหมือนกันในวันแปลงสิทธิ หรือ ถ้าเกิดตลาดไม่ได้สมบูรณ์ ไม่สะท้อนราคาแท้จริง (อาจมีการลากหรือทุบ ฯลฯ) หรือถ้า ช่วงเวลาดังกล่าว นักลงทุน เกิดไม่อยากทำกำไรสูงสุดขึ้นมา (เกิดอยากถือยาว หรือเปลี่ยนแปลงการคาดการณ์) มันก็ส่งผลเปลี่ยนแปลงค่ะ ... (ยังมีอีกเยอะ อธิบายคร่าวๆได้อย่างนี้น่ะค่ะ) จึงไม่แปลกว่า ทำไม นักลงทุน ใช้กราฟ หรือทฤษฎีที่เป็นโมเดลที่สร้างขึ้นโดยรวม แต่ไม่สามารถใช้ให้เหมาะกับนักลงทุนแต่ละคน เพราะเหมือนกับว่า มันผิดมาตั้งแต่ "โจทย์" ที่ตั้งขึ้นแล้วน่ะค่ะ ยกตัวอย่างนะคะ โมเดล ของพี่บอล ถ้าถูกสร้างขึ้นมา ด้วยการอ้างอิงฐาน asset set ของพี่บอล โมเดลนั้น ก็จะตอบคำถาม (โจทย์) ของนักลงทุนคนนั้น (คือ พี่บอล) แต่อาจไม่ตอบคำถามให้กับนักลงทุนคนอื่น ก็เช่นกันค่ะ สำหรับโมเดล พวก CAPM, APT, Option Pricing, theory ต่างๆ static, dynamics, hybrid, etc. รวมถึงกราฟเทคนิคทั้งหลายด้วยค่ะ

    คุณบอล: ลองคิดเล่นๆดูหนะครับ ว่า ESOPเป็นหุ้นที่แจกพนักงานฟรี(เจ้าของด้วย)มีราคาแปลง 8บาท แต่ตอนนี้ราคาในกระดานต่ำกว่า8 ก็เลยคันไม้คันมือครับ อิอิ

    คุณนินจา: ดีค่ะ .. คิดๆมากๆ นี่ดีค่ะ ไม่คิด ก็ไม่มีวันเข้าใจค่ะ ก็ขึ้นกับว่า วันแปลง .. ราคาของตัวไหนจะปรับมาจนได้ดุลยภาพ ราคาหุ้น อาจไม่ปรับขึ้นจนมากกว่า 8 ก็ได้นะคะ ... ถึงบอกไงคะ ...ขึ้นกับกลุ่มนักลงทุนที่ร่วมกันคาดการณ์ ยกตัวอย่างหุ้น delta เห็นมั้ยคะ ราคากระดาน ถูกมากๆๆ เทียบกับราคาแปลง แต่ไม่ได้แปลว่า หุ้นมันจะกลับสูงขึ้นไปอีก ... นึกภาพออกมั้ยคะพี่บอล อีกนิด ... เห็น delta แล้วมึน ..w ราคา 372 ... conversion ratio 12.35 เท่า (ที่เขียนให้น้องจอม กับหมอวัติ ไม่ได้ระบุ ตัวใดตัวหนึ่ง แต่เป็นพลังทวี ทั่วๆไปจากหุ้นแม่และลูก และ ตราสารอนุพันธ์)


    เคยมั้ยคะ ที่รู้สึกว่า ทำไม อ่านหนังสือ หรือเรียนรู้อะไรต่างๆ มันรู้สึกว่า มากมายเหลือเกิน เหมือนเราไม่รู้อะไรเลยอะ

    หนังสือ มากมายบนโลกนี้ เนื้อหา มากมาย สาขา คณะ มากมายในมหาวิทยาลัย และอื่นๆ
    มันมากมายเหลือเกิน จนจับต้น ชน ปลายไม่ถูก ... แม้แต่ dsm ก็เถอะ หรือแม้แต่ การลงทุน การเงิน แพทย์ บัญชี บริหาร การตลาด ฯลฯ

    หลัก 4x3 ประกอบด้วย หลัก 4 อย่าง อย่างละ 3 หัวข้อ

    หัวข้อที่หนึ่ง --> สิ่งที่เป็น "หัวใจ"
    หัวข้อที่สอง --> สิ่งที่ต้อง "เน้นย้ำ"
    หัวข้อที่สาม --> สิ่งที่ต้อง "กำกับ" อยู่เสมอ
    หัวข้อที่สี่ --> "กำลัง" แห่งความมั่งคั่ง

    หลักทั้งสี่อย่าง (ข้างบน) มีอย่างละ 3 รายการ

    หลักที่หนึ่ง ... สิ่งที่เป็นหัวใจ ... หมายถึง ... ทุกอย่างในโลกนี้ สรุปได้เป็น "หัวใจ" นี้ สรุปง่ายๆ ได้สามอย่าง ...

    จากที่ง่ายๆที่สุด ---> ก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ตามจินตนาการและประสบการณ์ของทุกคน ... สุดท้าย เมื่อคนที่เข้าใจได้ด้วย ตัวเอง ... ก็จะกลับมาเหลือสิ่งที่ง่ายที่สุดอันเดิม
    ง่ายที่สุด ---> กลายเป็น ยากขึ้น ซับซ้อน ลึกซึ้ง --> สุดท้าย กับมาเป็น ---> ง่ายที่สุดเหมือนเดิม

    หลัก 4 อย่าง มันก็มีรายละเอียดเยอะเหมือนกัน .. วันนี้ จะพูดถึงหลักที่สี่ ก่อนดีมั้ยคะ ... กำลังแห่งความมั่งคั่ง the Power of Wealth หรือ จะเรียงลำดับไปดี จากหลักที่หนึ่ง ไป หลักสี่ (ไม่ใช่ ดอนเมือง)

    จริงๆ เรียงลำดับ จะดีกว่า แต่มันอาจไม่ทันใจ เพราะใช้ประโยชน์จริงๆ เห็นชัดๆคือหลักที่สี่ มันสำคัญมากๆ แต่มันจะเข้าใจยาก สักเล็กน้อย แต่ถ้าเข้าใจแล้วนะ .. จะตื่นเต้นมากๆ ... มันจะทำให้ "หัวสมอง" ของเรา เหมือนห้องสมุด แบ่งเรื่องต่างๆ (ในโลกนี้) ไว้เป็นหมวดหมู่ เวลาเรียกใช้ ก็จะง่ายขึ้น ความคิดจะเกิดการสันดาป ตกผลึก .. และทำให้เข้าใจชีวิตและโลก ได้มากขึ้น

    เคยมั้ยคะ ที่รู้สึกว่า ... อ่านหนังสือ หรือเรียนรู้เรื่องต่างๆ มันช่างมากมายเหลือเกิน ถ้าเข้าใจ หลักทั้งสี่ ... ต่อไป เวลาอ่านหนังสือ หรือเวลาเรียนรู้ ก็จะแบ่งหมวดหมู่ได้ทันที เรื่องไหนซ้ำกัน ก็จัดหมวดหมู่ อ่านได้เร็วขึ้น ประยุกต์ใช้ก็ดีขึ้น ...

    ทุกคนในห้องนี้ เรียนสายวิทย์กันมาหมดมั้ยคะ ตอนเรียน ฟิสิกส์ นึกถึงอะไรกันบ้างคะ อย่างตอนเรียนเรื่อง คลื่น, เรื่องกระแสไฟฟ้า, เรื่องกลศาสตร์ ฯลฯ นึกถึงอะไรบ้างมั้ยคะ

    ยกตัวอย่างนะคะ ตอนกุงเรียนเรื่อง กระแสไฟฟ้า กุงนึกถึง กระแสเงินสด ค่ะ current circuit ... นึกถึง wealth circuit

    (คุณ Korn: ทึ่งพวกนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามอธิบายปรากฎการณ์พวกนี้)
    ช่ายยย เลยอะ มันมหัศจรรย์ มากๆๆ โมเดลทางสถิติ คณิตศาสตร์ หรือการเงิน ... จะตอบโจทย์ โดยมีสมมติฐานเบื้องต้น โมเดลทางฟิสิกส์ จะอธิบายธรรมชาติ โดยครอบคลุมสภาพการณ์ที่เป็นจริงทั้งหมด จึงต้องใช้ประกอบกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมให้ครบ และเพื่อให้เห็นภาพย่อยให้ชัดเจน

    (คุณ Vprawat: คับ ไม่เคยมีใครสอนเลยนะเนี่ย)
    คงไม่มีหรอกค่ะ เพราะคนที่เก่งฟิสิกส์ มักไม่ชอบการเงิน คนที่ชอบสถิติ อาจไม่เห็นมุมมองทางวิทยาศาสตร์ (อาจจะ) นะคะ .. jigsaw มันจึงไม่ครบสมบูรณ์ เช่นทฤษฎีควอนตัม ก็ยังไม่สมบูรณ์ ถ้าไม่นำโมเดลทางสถิติมาช่วย

    (คุณ Korn: ถึงว่า ผมไม่ชอบทั้งคู่ ... เลยไม่เห้นอะไรเลย)
    ไม่เกี่ยวกับชอบไม่ชอบเลยอะ เกี่ยวกับว่า ... เข้าใจหรือเปล่า ว่า "แก่น" มันคืออะไร
    ตอนนั้น ที่เห็น (กระแสเงินสดจากวงจรไฟฟ้า หรือกลศาสตร์) ก็ตื่นเต้นมากๆๆๆ แต่บอกเพื่อนๆ เค้าหาว่าบ้า เดิม ที่เป็นอยู่ เพื่อนก็หาว่า เกือบบ้า ไปแล้ว บังเอิญว่า ตอนนั้น ชอบวิชานี้มากๆ (ฟิสิกส์ กับคณิตศาสตร์) .. ชอบมากจริงๆ มากถึงขนาด เห็น the Power of Wealth เมื่อตอนนั้นอะ ...
    ที่เกริ่นไว้ คือ หลักที่สี่ ... กำลังแห่งความมั่งคั่ง ...

    เกริ่นอีก ... สำหรับหลักที่หนึ่ง ...
    เพื่อนๆคิดว่า การลงทุนกับการใช้จ่าย ... ต่างกันอย่างไรคะ ถ้าแยกไม่ออก จะไม่เข้าใจระหว่าง value & flow ....
    งั้นถามต่อนะคะ เวลา ซื้อข้าว มากิน ... เป็นการใช้จ่ายหรือ ลงทุน เพราะอะไร ....

    (คุณ ยง: ซื้อของไม่ดีมากิน ก็ค่าใข้จ่าย ซื้อของดีต่อสุขภาพ ก็ลงทุน)
    ถูกต้องเลยค่ะ .. แสดงว่า มันแยกกันที่ตรงไหน..

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 48 01:49:27

    แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 48 01:42:41

    จากคุณ : KoKoMan - [ วันแรงงาน 01:23:16 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป