ความคิดเห็นที่ 1 หลัก 4 * 3 รวมทุกอย่างของชีวิตและโลก ตอนที่ 2 (msn วันที่ 6/5/48) นินจา - สรุปหัวข้อนะคะ หลักที่หนึ่ง .. สิ่งที่เป็นหัวใจ สมการคือ ... อิสรภาพแท้จริงของชีวิต = ความเข้าใจและปฏิบัติตามวงจรแห่งเหตุและผล สรุปได้ว่า ... 1. ลงทุนกับทุกอย่างในชีวิตแทนการใช้จ่าย 2. ลงทุนกับทุกอย่างโดยไม่ต้องมีตัวส่งผ่าน (ให้ได้อิสรภาพแท้จริงได้ทันที) 3. ปฏิบัติตามวงจรแห่งเหตุและผล ... เปลี่ยนการใช้จ่าย ให้กลายเป็นการลงทุน ทีละเล็กน้อย โดย "โอกาสครั้งต่อไป" ให้เลือกที่จะลงทุนแทนการใช้จ่าย ชีวิตติดต่อกับสิ่งแวดล้อม คือ ธรรมชาติ 5 อย่าง วงจรแห่งเหตุและผล ... 3 องค์ประกอบ วงจรสินทรัพย์ ... 3 ประเภท หลักที่สอง .. สิ่งที่ต้อง "เน้นย้ำ" การเรียนรู้ฝึกตน 3 ด้านตลอดชีวิต 1. ภายนอก 2. จิตใจ 3. สติปัญญา หลายคนไม่เข้าใจ หลักที่หนึ่ง ... ก็ต้องเรียนรู้ฝึกตนไปเรื่อยๆ (จากหลักที่สอง) 1. เรียนรู้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต 2. ถ้าการลงทุนที่ทำอยู่ ดีอยู่แล้ว --> ก็ต้องเรียนรู้ พัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ประมาท 3. ถ้าการลงทุนที่ทำอยู่ ล้มเหลว ---> ก็ต้องเรียนรู้ ไม่หยุดนิ่ง ไม่ท้อแท้ "แม้ยังไม่มีอิสรภาพที่แท้จริง ก็ยังต้องเรียนรู้ฝึกตน" "แม้ยังไม่เข้าใจวงจรแห่งเหตุและผล ก็ยังต้องเรียนรู้ฝึกตน" "แม้ยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็ยังต้องเรียนรู้ฝึกตน" "แม้จะประสบความสำเร็จแล้ว มีอิสรภาพแท้จริงแล้ว ก็ยังต้องเรียนรู้ฝึกตน" หลักที่สาม ... สิ่งที่ต้อง "กำกับ" สร้างสมดุลชีวิต ด้วย 3 สิ่งพร้อมๆกัน 1. พลังแห่งความเข้าใจ right understanding 2. พลังแห่งสติ right mindfulness 3. พลังแห่งความเพียร right effort ทั้งสามสิ่งนี้ จะทำให้การลงทุนมีคุณค่ามากขึ้นเรื่อยๆ .... สิ่งที่นักลงทุนกระทำ คือสิ่งที่นักลงทุนจะได้รับ นักลงทุนต้องมีสติ (ไตร่ตรอง) ทุกครั้งก่อนตัดสินใจลงทุนกับทุกอย่างในชีวิต หลักที่สี่ ... "กำลัง" แห่งความมั่งคั่ง ความสัมพันธ์ 3 อย่าง มุ่งสู่อิสรภาพที่แท้จริง ... กุงขอนิยาม คำศัพท์ ก่อนดังนี้นะคะ P = the Power of Wealth = กำลังแห่งความมั่งคั่ง หน่วยเป็น บาทต่อระยะเวลา V = Value = คุณค่า หรือ มูลค่า หน่วยเป็นจำนวนเท่าของเงินลงทุนเริ่มต้นของช่วงระยะเวลา F = Flow หรือ net Flow = กระแสหมุนเวียน (สุทธิ) หน่วยเป็น บาทต่อระยะเวลา เช่น บาทต่อเดือน Vol = net Volume flow per set of transactions = ปริมาณกระแสสุทธิ ต่อธุรกรรมชุดหนึ่งๆ หน่วยเป็น บาทต่อครั้ง (ของธุรกรรมชุดหนึ่ง) Vel = Velocity flow per period = flow turnover per period= อัตราหมุนเวียนกระแสในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ หน่วยเป็น รอบต่อช่วงระยะเวลา เช่น รอบต่อเดือน C = Cost = ต้นทุนของการลงทุนที่คิดเป็นระยะเวลา หน่วยเป็น ระยะเวลาต่อบาท เช่น เดือนต่อบาท ทีนี้ คำว่า flow ก็เป็นคำกลางๆค่ะ อาจจะเป็น cash flow, value flow, utility flow หรือ flow อื่นๆก็ได้ค่ะ จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:07:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 Vprawat - กลางๆ  คือ   ไหล  เฉยๆๆ  (ไม่รู้ว่าไปหรือ  มา เท่าไหร่  สิคับ) นินจา - พี่วัติ ถามว่ากลางๆ หมายถึงกลางไหนคะ คำว่า flow มันมีทิศทางนะคะ Vprawat - กลางๆ  คือ  แบบ  กลางๆ  งัยคับ  พยายามทำความเข้าใจคับ น้องกุง นินจา – ที่บอกว่าเป็นกลางๆ หมายความว่า ... ใช้เป็น flow ของเงินสดก็ได้, ของอะไรก็ได้ทั้งนั้น เช่น utility flow, value flow, activity flow ได้ทั้งนั้น คำว่า "กลางๆ" หมายถึง ตรงนี้ค่ะ ส่วนเรื่องทิศทาง .. นั้นมีแน่นอนค่ะ ... แต่ไม่กำหนดตายตัวนะคะ เพียงแต่ ใช้ทิศทางไหน ก็ต้องทิศทางนั้นตลอดระยะเวลาที่กำหนด เช่น รับ – จ่าย เช่น เงินเข้าหรือออก ทิศทาง คือ ทิศทางเดียวหมายถึงว่า ... เงินเข้าเป็นบวก เงินออกเป็นลบ ก็ต้องใช้เงินเข้าเป็นบวก ออกเป็นลบ ทุกครั้ง บางคนอาจใช้ เข้าเป็นลบ ออกเป็นบวกก็ได้ค่ะ lumche - ทิศทางเป็นลบเป็นบวกหรือครับ นินจา – เอาแค่สุทธิ ทิศไหนก็ได้ค่ะ ลูกหมู – ถามนิดนะคะ  “C เนี่ย เดือนต่อบาท กับ บาทต่อเดือน เหมือนกันมั้ยคะ” นินจา – ค่ะลูกหมู ... เรื่องต้นทุน ที่ลูกหมูถาม กุงยกตัวอย่างนะคะ ทุกวันนี้ เราต่างก็มีค่าใช้จ่าย (expense) เวลาจ่ายไป ก็จะคิดเป็นจำนวนเงินเป็นบาทใช่มั้ยคะ เช่น บาทต่อเดือน แต่เคยมีใครมั้ยคะ ที่จะมาคิดว่า ที่จ่ายวันนี้ มันเท่ากับรายได้ของกี่วัน เช่น ซื้อตู้เย็น เป็นเงินห้าพันบาท ก็คิดใหม่ว่า ตู้เย็น คิดเป็นค่าใช้จ่ายเท่ากับรายได้จำนวน 2.5 วัน เป็นต้น ซื้อกับข้าว คิดเป็น จำนวนวัน (ของรายได้) 15 วัน เป็นต้น การคิดต้นทุนเช่นนี้ จะทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ค่าคอมฯ ในการเทรดหุ้น คิดเป็น 2 วัน ของรายได้ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ---> หมายความว่า ค่าคอมมิสชั่นทั้งหมด ตีเป็นจำนวนวันที่เป็นต้นทุน เท่ากับ 2 วันของรายได้ ... นึกภาพออกมั้ยคะ จริงๆแล้ว ก็คือ คิดต้นทุน (หรือค่าใช้จ่ายสำหรับบางคน) เหมือนเดิม .... เพียงแต่ มาแปลงเป็นระยะเวลาของรายได้ ตัวอย่างเช่น ... รายได้สุทธิ เดือนละ 30,000 บาท ... เฉลี่ยแล้ววันละหนึ่งพันบาท ต้นทุน เดือนละ 5,000 บาท เท่ากับว่า ต้นทุนคิดเป็น 5 วัน นึกภาพออกมั้ยคะ ... เวลาเห็นต้นทุน จะได้รู้ว่า จริงๆแล้ว มันคือต้นทุนระยะเวลาของรายได้ เท่ากับเท่าไร เวลามีต้นทุน จะได้นึกภาพออกว่า มันคือต้นทุนเทียบเป็นรายได้ ระยะเวลาเท่าไร กี่วัน ลูกหมู - ไม่เคยคิดเป็นวันของรายได้ เคยคิดเป็น % เท่านั้นเอง นินจา – ค่ะลูกหมู ... มันก็หลักการเดียวกันค่ะ .. เพียงแต่ วิธีนี้ จะทำให้กลายเป็นรูปแบบเดียวกัน ในการประเมินผล เช่น รายได้วันละพันบาท ต้นทุน คิดเป็น 5 วันต่อเดือน นึกภาพออกได้เลยว่า ต้นทุนนั้นมีค่าเสียโอกาสจากรายได้เท่ากับ 5 วัน นึกตามออกมั้ยคะ ลูกหมู - หาจุดคุ้มทุนในแต่ละเดือนเหรอคะ นินจา - ก็มีประโยชน์อีกหลายอย่างเลยค่ะ เดี๋ยวจะกล่าวต่อไป Vprawat - ถ้ารายได้ไม่แน่นอน หละคับ ( เคยคิดนะคับ  แบบ  นี้  ตอน รายได้ ไม่ค่อยมีเครียดเลย  เลยเลิกคิด คับ อิอิ) นินจา - ค่ะ แม้รายได้ไม่แน่นอน เวลาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้ ก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน วิธีนี้ จึงเป็นรูปแบบเฉยๆ ถ้ารายได้ไม่แน่นอน คิดรูปแบบไหน ก็ไม่แน่นอนอยู่ดี ไม่ใช่แก้ที่รูปแบบ แต่ต้องไปแก้ไขที่ "ข้อเท็จจริง" ... ข้อหนึ่ง ของวงจรสินทรัพย์ฯ (อยู่ในหลักที่หนึ่ง) ถูกมั้ยคะ ... คนละประเด็น ... ต้องไปสืบค้นข้อเท็จจริง .. ไม่เกี่ยวกับรูปแบบ (ตอบคำถาม หมอ) Vprawat - อืม  เช่น.... นินจา - ที่สรุปตรงนี้ หมายถึงว่า ... รายได้ไม่แน่นอน ... ไม่ว่าจะคิดต้นทุนรูปแบบไหน ก็ไม่แน่นอนทั้งนั้นค่ะ จริงๆแล้ว ... นี่เป็นรูปแบบ เพื่อให้เห็น "กำลัง" แห่งความมั่งคั่งก่อนค่ะ ... ต่อนะคะ ดังนั้น เวลาที่นักลงทุน บอกว่า มีกระแสเงินสดเยอะๆ.. นั้นแปลว่าอะไรคะ (ถามทุกๆคนเลยค่ะ) Vprawat - มีการไหลเยอะคับ .. มีรอบเยอะ .. (เงินคับ) .. ทั้งเข้าและออก vel  คับ (ตอบไปเรื่อยๆๆ) Pat  - ทั้งรายได้ และค่าใช้จ่าย อาจเยอะทั้ง 2 ด้าน หรือด้านใดด้านหนึ่ง kOrn - Vel * Vol มาก ลูกหมู - กระแสเงินสด 2 แบบ  1. แบบหมุนเวียนทั้งเข้าและออก 2. แบบเฉพาะ กระแสเงินสดสุทธิ นินจา - พี่ฮา เคยถามเรื่อง กำไร กับกระแสเงินสด ... พี่ฮา จะเข้าใจก็วันนี้ล่ะ mBAR  - มีเงินสดคงเหลือ  จากการซื้อ ขาย หุ้น แล้วทำให้ปริมาณหุ้นเหลือเท่าเดิม lumche - มีเงินเข้าออกเยอะหรือมีการซื้อขายมากฯครับ(แบบผมคิด) นินจา - จะเห็นได้ว่า ... คำว่า กระแสเงินสด แต่ละคนก็ต่างความหมาย อย่าง game : cashflow ของ rich dad .. ที่บอกว่า บ้านเช่า (สมมติ) มี passive income สุทธิ เดือนละ 10,000 บาท ... นี่คือ net Flow (ในที่นี้จะย่อว่า F) หรืออย่างที่ ชาวคลับ dsm บอกว่า มีกระแสเงินสดแฝง ต่อครั้ง transaction ที่ขายและซื้อคืน ครั้งละ 1% นี่คือ net volume flow per set of transactions (ในที่นี้ ย่อว่า vol) แล้วแต่ละเดือน จะมี F เท่าไร ก็ขึ้นกับ vel หรือจำนวนรอบของการเกิดธุรกรรมด้วย อย่างที่พี่ลำชีบอก เรื่องโรงสีข้าว .. ก็เหมือนกับการเน้นที่ vel กับ vol lumche - อย่างที่ผมคิดเรื่องข้าวซื้อข้าวและส่งครั้งละ10ล้าน   ..10ครั้งก็เป็น100ล้าน หรือถ้าผมใช้แค่1ล้านผมหมุน100ครั้ง ผมซื้อขายข้าวได้100ครั้ง นินจา - บางที ถ้าไม่เข้าใจ ก็อาจดูเหมือนลวงตา (เป็นความเห็น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง) อย่างที่หมอตอบ ... นั้นเป็น total flow กับแบบแรกของลูกหมูด้วย ส่วนพี่ภัทรตอบ ก็เป็น average flow คืออาจจะไม่ดูทิศทาง คล้ายๆกับหมอวัติ ของพี่ฮา นี่ดู net flow เหมือนกับลูกหมูแบบที่สอง แล้วก็ของกรด้วย คือดู net flow ดังนั้น ... Vprawat - แล้ว ขึ้นกับรูปแบบ การ ดูไหมคับ จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:08:41 ]

ความคิดเห็นที่ 3 นินจา – มีค่ะ กำลังจะอธิบายต่อไป ... ดังนั้น จริงๆแล้ว กระแสสุทธิ ต่อเดือน ... กุงจะเรียกว่า ... กระแสหมุนเวียน เพราะ มันมาจาก ปริมาณกระแส คูณกับ อัตราหมุนเวียน จะได้ว่า ... กระแสหมุนเวียน = ปริมาณกระแส x อัตราหมุนเวียน ด้านซ้าย ... คำว่า กระแส และ หมุนเวียน มาจากด้านขวา คือ ปริมาณกระแส คูณกับ อัตราหมุนเวียน เห็นมั้ยคะ ตามสมการ Vprawat - (กระแสสุทธิ  =  เข้า +  ออก   หรือ   เข้า -  ออก  คับ) นินจา - กระแสสุทธิ ทิศทางเดียวกันค่ะ ... เข้า - ออก หรือ ออก - เข้า ... ค่ะ ถ้าเติมคำว่าเงินสดลงไป ก็จะกลายเป็นว่า กระแสเงินสดหมุนเวียน = ปริมาณกระแสเงินสด x อัตราหมุนเวียนเงินสด ยกตัวอย่างนะคะ (ตัวเลขประกอบ) ... ธุรกิจหนึ่ง ... เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 10 ล้านบาท มีเงินหมุนเวียน เป็นวงเงิน 1 ล้านบาท ซื้อขาย ครั้งหนึ่ง มีกระแสเงินสดสุทธิต่อครั้ง ครั้งละ 1 แสนบาท เดือนหนึ่ง ซื้อขาย จำนวนเดือนละ 50 ครั้ง เท่ากับว่า ... มีปริมาณกระแส = 100,000 บาท อัตราหมุนเวียน = 50 รอบต่อเดือน กระแสหมุนเวียน = ปริมาณกระแส x อัตราหมุนเวียน F = 100,000 x 50 = 5 ล้านบาท เท่ากับว่า กระแสหมุนเวียน เทียบกับวงเงิน = 5/2 = 2.5 เท่า  หรือ 250 % total flow = (Volume in + Volume out)x Velocity ซึ่งจะมากไปอีก ... ดังนั้นธุรกิจนี้ อาจจะมีกระแสหมุนเวียนทั้งหมด ผ่านสถาบันการเงิน ประมาณ 20 ล้านบาทต่อเดือน แล้วกระแสหมุนเวียนเฉลี่ย คือ 10 ล้านบาทต่อเดือน และกระแสหมุนเวียนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ก็ต้องถ่วงน้ำหนักด้วย vel ของ vol.in กับ vol.out ยกอีกหนึ่งตัวอย่าง ... หุ้นของ dsm สมมติว่า มองว่าเป็นการลงทุน .. เท่ากับว่า เป็นการลงทุนในสินค้าทั้งหมด (stock, หุ้น) ... ดังนั้น วงเงินหมุนเวียน จึงเปรียบเทียบได้กับ จำนวนเงินลงทุนในหุ้น การขายบางครั้ง ถ้ายังไม่ซื้อคืน ก็เป็น vol.out เวลาขายแล้วยังไม่ซื้อคือ ก็ถือว่าเป็นปริมาณกระแสเงินสดออก (ยังไม่รับกลับ) ถ้าขาย แล้วซื้อคืน ก็จะได้ net flow ดังนั้น ถ้ารู้ส่วนประกอบ ก็จะได้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น อย่างเช่นนะคะ .. บางที net flow มันน้อย แต่ถ้ารู้ว่า net flow นั้นมาจาก vol x vel ก็จะได้เห็น "โอกาส" ... นั่นคือ ... ถ้าไม่ได้สนใจ net flow ... แต่มี vol เยอะๆ และมี vel เยอะๆๆ .... ก็จะยิ่งมี "โอกาส" มากขึ้น ... นึกภาพออกมั้ยคะ .. ดังนั้น สรุปสูตร ตอนนี้คือ net flow = vol x vel หรือ F = Vol x Vel ดังนั้น การขยาย "โอกาส" มากขึ้น ก็ทำได้ดังนี้ (จากสูตรข้างต้น) 1. สร้างระบบ, การทำซ้ำๆให้มากยิ่งขึ้น, ให้ต่อเนื่องที่สุด, ยิ่งต่อเนื่องยิ่งมีอัตราหมุนเวียนมากขึ้น ----> เพิ่ม vel 2. ขยาย network, connection, volume per (set of) transactions ให้ธุรกรรมแต่ละครั้งมีปริมาณกระแสเงินสดมากขึ้น ---> ขยาย vol ดังนั้น ตรงนี้ ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งๆ ใน investment component matrix (ไว้จะกล่าวต่อไป) InCom Matrix มี 8 ด้าน ball - ขออนุญาตถามครับ อจ. ---- > vel นี่มันอะไรครับ valocity หรือเปล่าครับ นินจา - เป็นอัตราการหมุนเวียนค่ะ ... velocity flow หรือ flow turnover หน่วยเป็น รอบต่อระยะเวลาค่ะ เช่น รอบต่อเดือน ดังนั้น system ที่ดีจะมาช่วยตรงนี้ หมายถึง ช่วยให้มีความถี่มากๆขึ้นค่ะ ball - ความถี่ของการซื้อขายใช่มั้ยครับ นินจา – ใช่ค่ะพี่บอล เปรียบเสมือนว่า หุ้นในมือ ต้องหมุนอยู่ตลอดเวลา ... ถ้ามีคอนโดฯ ให้เช่า ก็ต้องมีคนมาเช่า ต่อกัน ไปเรื่อยๆ ไม่มีว่าง หรือว่างให้น้อยที่สุด ส่วน vol ก็ต้องขึ้นกับเครือข่าย หรือช่องทางการขยายปริมาณค่ะ จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 mBAR  - ในกรณีของหุ้น  ก็ขึ้นอยู่กับ  ภาวะหุ้นด้วย ใช่ไหมครับ  (คือ  ถ้าแกว่งบ่อย ๆ  ก็ทำให้มีโอกาสเกิด vel ได้สูง) นินจา – ไม่ใช่ทั้งหมดค่ะพี่ฮา ... มันจะแกว่งหรือไม่ มันก็เป็นของมันอย่างเดิม แต่ระบบ จะออกแบบมาเพื่อให้หุ้นในมือ หมุนเวียนตลอดเวลาค่ะ ... ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ... ระบบที่ดี เมื่อทำให้หมุนเวียนมากขึ้นแล้ว นักลงทุนต้องเหนื่อยน้อยลงด้วยค่ะ ดังนั้น การมีหุ้นจำนวนมากขึ้น (ทั้งปริมาณหุ้นในแต่ละตัว และมีหุ้นหลายตัว) ---> ระบบที่ดี จะต้องบริหารโดยที่ นักลงทุนต้องมีเวลามากขึ้น เหนื่อยน้อยลงด้วยค่ะ ไม่ใช่ ยิ่งมี vel มากขึ้น แล้วเหนื่อยมากขึ้น ... แบบนี้ ยังไม่ตรงประเด็นค่ะ ความต่อเนื่อง หมายความว่า ... หุ้นแต่ละ lot หรือสินค้าแต่ละรายการ ต้องมีการหมุนเวียนให้มากที่สุด ส่วน volume อาจเป็นสัดส่วน ที่ทยอยขายทีละส่วน ให้สูงขึ้น (แต่ก็ต้องขึ้นกับนักลงทุนและสถานการณ์ด้วยค่ะ) ดังนั้น ถ้าเห็นสูตรนี้ ก็จะได้วางแผนได้ถูกต้องยิ่งขึ้น เช่น ทยอยขายทีละ 10% ทุกๆ 2 ช่อง ... การหมุนเวียนมากขึ้น หมายถึงว่า ทุกๆส่วนที่ทยอยขาย ต้องมี activity บ่อยๆ ส่วน vol นั้นหมายถึง แต่ละครั้ง จะทยอยกี่ส่วน มากน้อยแค่ไหน เขียนถึงตรงนี้ ... อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ... ทุกคนต้องทำได้ทุกอย่าง แค่เป็นการวิเคราะห์ให้เห็นภาพรวม ... จากนั้น นักลงทุนแต่ละคน ก็จะมีความสามารถที่แตกต่างกัน ... ตรงนี้ ก็จะเกี่ยวข้องกับ investment components matrix ... ที่ให้นักลงทุนแต่ละคน ทำหน้าที่ที่ตนเองถนัดให้ดีที่สุด ---> แล้วจะมีพลังทวีมากๆๆ mBAR  - การหมุนเวียนมากขึ้น หมายถึงว่า ทุกๆส่วนที่ทยอยขาย ต้องมี activity บ่อยๆ  ------>  หมายความยังไง    ขอตัวอย่างเป็นรูปธรรมครับ นินจา – (ตอบพี่ฮา) ตัวอย่างเช่น .. แต่ละส่วนจะมีการ ซื้อๆขายๆ อยู่ตลอดเวลา ให้หมุนเวียนบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทีนี้ นักลงทุนแต่ละคนก็มีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน ... และการเพิ่ม "กำลัง" ความมั่งคั่ง ก็ยังมีอีกหลายวิธี (จะอธิบายต่อไป) ... ดังนั้น เมื่อเห็นส่วนประกอบนักลงทุนของตัวเองแล้ว ก็จะทำให้วางแผนการลงทุนเพื่อเพิ่ม "กำลัง" ให้กับตัวเองได้มากที่สุด ยกตัวอย่างอีกนิด ... การที่ชาว dsm หลายคน เลือกหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวมากๆ ... นี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนมากขึ้น ณ ขณะหนึ่งๆ นักลงทุนแต่ละคน จะมีหุ้นเหลืออยู่ และเงินอีกจำนวนหนึ่ง ดังนั้น การหมุนเวียนเงินให้ไปอยู่ในหุ้น กับการหมุนเวียนหุ้นให้กลายเป็นเงิน ---> จึงให้เกิดการหมุนเวียน การที่ มีเงินสด ณ ขณะหนึ่ง น้อยๆ ---> ไม่ได้แปลว่า "การหมุนเวียนสูง" เสมอไป อาจจะไม่หมุนเวียนเลยก็ได้ ... นึกภาพออกมั้ยคะ mBAR - เข้าใจครับ นินจา - ทีนี้ ถึงตรงนี้ เพิ่งแค่หนึ่งตัวเองค่ะ (ยังมีอีก 2 ตัว ที่สัมพันธ์กัน) ---> ซึ่งสรุปได้ตรงนี้ ดังนี้นะคะ 1. เมื่อเห็นความสัมพันธ์ของ กระแสหมุนเวียนสุทธิ ย่อมทำให้เข้าใจภาพรวมมากยิ่งขึ้น .... F = vol x vel 2. แม้ net flow หรือ F จะมีค่าน้อย ... แต่ถ้ามี vol และ vel  มากๆ ---> ถือว่า เป็น "โอกาส" ที่จะเพิ่มช่องทางในการเพิ่ม "กำลังแห่งความมั่งคั่ง" 3. นักลงทุนทุกคน แต่ละคน ไม่จำเป็นต้องเพิ่มกำลังด้วยวิธีเดียวกัน เพราะมีหลายวิธี .... ดังนั้น จึงควรเลือกที่จะเพิ่มกำลัง ในส่วนที่เป็น "ตัวตน" ของนักลงทุนแต่ละคน เพื่อให้ได้อิสรภาพแท้จริง ไปพร้อมๆกับอิสรภาพทางการเงิน และกำลังแห่งความมั่งคั่ง 4. ไม่ได้บอกว่า ด้านไหนจะดีที่สุด (จากส่วนประกอบ 8 ด้าน ซึ่งจะกล่าวต่อไป) แต่เพื่อให้เห็นตัวตนของตนเอง และใช้ความสามารถ ความชำนาญ และพรสวรรค์ ของแต่ละคนไปให้เกิดพลังมากที่สุด 5. การเพิ่ม volume เปรียบได้กับ การเพิ่ม network, connection ทำให้เกิด magnification 6. การเพิ่ม velocity เปรียบได้กับ การสร้าง ระบบ เพื่อให้มี การหมุนเวียนให้ต่อเนื่องมากที่สุด ให้หมุนเวียนเยอะที่สุด --> ทำให้เกิด multiplication 7. นักลงทุน ที่เห็นคุณค่าในตัวเองแล้ว ... ยังสามารถสร้างคุณค่าจากนักลงทุนในทีมเดียวกันให้เกิดพลังอีกด้วย .... ในเมื่อนักลงทุนทุกๆคน มีพลังมากๆในรูปแบบตัวตนของตัวเอง ... และทุกๆคนก็เช่นกัน ---> ลองจินตนาการว่า .. จะเพิ่ม the Power of Wealth ได้ขนาดไหน ... ต่อนะคะ ...นี่คือ หนึ่งอย่าง จาก 3 อย่าง ของหลักที่สี่ สรุปอีกนิด .. total Flow = (Vol.in + Vol.out) x Vel average Flow = total Flow / 2 Velocity-weighted average Flow = [ (Vol.in x Vel.in) + (Vol.out x Vel.out)] / 2 ดังนั้น กำลังแห่งความมั่งคั่ง = Value x Flow P = V x F แล้ว F = vol x vel ball - Value นี่หมายถึงอะไรคับ อจ. นินจา - value คือมูลค่า หรือคุณค่า ณ ขณะนั้น .. ตัวอย่างเช่น เป็นมูลค่าของการลงทุน ณ ปัจจุบัน .. เทียบกับ การลงทุนเริ่มต้น ซึ่งมูลค่า จะไม่ทำให้เกิดการเก็งกำไรหรือ capital gain ตราบเท่าที่ยังไม่มีการ settle ณ ราคา (มูลค่า) สุดท้าย ขณะนั้น ball - ลองเปรียบกับ DSM ให้หน่อยครับว่า value หมายถึงอะไร นินจา - มูลค่าของพอร์ตหุ้น ค่ะ .. มูลค่า เป็นตัวเลขสมมติ ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นๆ ... ถ้าไม่มีการ settle ณ ราคา (มูลค่า) สุดท้ายขณะนั้น ก็จะไม่เกิด capital gain แม้จะมีการ settled ขายไปแล้วกลับมาซื้อคืนอีก ก็ยังถือว่า เป็น temporary capital gain แบบนี้ ก็ยังถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ "ลงทุนระยะยาว" ได้ ตราบเท่าที่ asset ตัวนั้น ยังอยู่ใน asset set โดยมูลค่า คิดเป็นจำนวนเท่าของเงินลงทุนเริ่มต้น ดังนั้น นักลงทุน เช่น ชาว dsm เริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 1 ล้านบาท ณ ขณะหนึ่ง อาจเหลือมูลค่าเพียง 1 แสนบาท คิดเป็น 0.1 เท่า ball - หมายความว่า ไม่ว่าflow จะดีแค่ไหนแต่value ลดลงเรื่อยๆ P ก็จะลดลงเรื่อยๆเหมือนกันใช่มั้ยครับ อจ. นินจา - ไม่ใช่ค่ะ (ไม่ใช่ทั้งหมด) ... ขึ้นกับ opportunity ค่ะ ... หมายถึงว่า ขึ้นกับโอกาสในการสร้าง "กำลัง" แห่งความมั่งคั่งค่ะ อย่างที่กล่าวข้างต้นไปแล้ว แม้ net flow จะน้อย หรือติดลบ --> แต่มี vol มากๆๆ หรือมี vel มากๆๆ ---> กลับเป็น "ช่องทาง โอกาส" ให้เกิดขึ้นค่ะ ... ตรงนี้ กุงจึงมองว่า เป็น "ช่องว่าง" ... เพราะเป็น "ช่องว่าง" ให้เกิด "โอกาส" เพื่อสร้าง "สมดุล" และ "กำลัง" จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:10:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ball - (นินจา - แม้ net flow จะน้อย หรือติดลบ --> แต่มี vol มากๆๆ หรือมี vel มากๆๆ ---> กลับเป็น "ช่องทาง โอกาส" ให้เกิดขึ้นค่ะ) < ----- net flow=vol x vel ไม่ใช่เหรอครับ (งง ครับ) นินจา – ค่ะ ก็อยู่ในสมการไงคะ P = V x F = V x vol x vel ถูกมั้ยคะ แทนค่าได้อย่างนี้ ... งั้นถามใหม่ว่า .... ถ้าให้เลือกระหว่าง แบบที่หนึ่ง : มีกระแสหมุนเวียน 1 แสนบาทต่อเดือน ... และมี vol = 100,000 บาทต่อครั้ง และมี vel = 1 ครั้งต่อเดือน แบบที่สอง : มีกระแสหมุนเวียน 5 หมื่นบาทต่อเดือน ... และมี vol = 1000 บาทต่อครั้ง และมี vel = 50 ครั้งต่อเดือน แบบที่สาม : มีกระแสหมุนเวียน 5 หมื่นบาทต่อเดือน ... และมี vol = 10,000 บาทต่อครั้ง และมี vel = 5 ครั้งต่อเดือน ทั้งสามแบบ จะเลือกแบบไหนคะ ... ลองเรียงลำดับซิคะ ... ลองเลือกกันดูนะคะ ขอเหตุผลด้วย Y[o]ng  - เอาแบบแรกครับ ชอบทีเดียว หนักๆ kOrn - แบบแรก> แบบสาม > แบบสอง ... แบบแรกสบายสุด (อิอิ) แบบสองคงเหนื่อยเกินไปประมาณว่าไม่คุ้มค่าเหนื่อย แบบสามนี้เหมือน balance ระหว่างทั้งสองแบบ mBAR  - 1 > 2 > 3 (ตามความคิดผม:  แบบแรก  ได้มากสุด   แบบสอง ใช้ความสามารถของการหมุนเวียนได้ดี มากกว่าแบบสาม  ถ้าต้องการเพิ่ม สามารถเพิ่ม vol ได้อีก) Pat - 3 - 1 – 2    ของพี่คล้ายกร แต่แบบ 1 (สบายไป ชอบกลาง ๆ) adum13sn - 1> 2=3 ball - 2,3,1 ไฮ้ - 1-3-2 น่าจะสบายดี ลูกหมู - เลือก 1-3-2 นินจา - มีพี่ภัทรคนเดียวหรือเปล่าคะ ที่ไม่ได้เลือก 1 เป็นลำดับแรก ball - ผมด้วย นินจา - สรุปได้ว่า ถ้าเลือกจาก net flow ก็จะได้ 1 เป็นลำดับแรก แต่ถ้า net flow เท่ากัน ก็ขึ้นกับว่า ใครจะเลือก vol หรือ vel (สรุปจากคำตอบในที่นี้)  ... (ถามต่อนะคะ) แบบที่หนึ่ง ถ้า vol ลดลง 20% จะเกิดอะไรขึ้นคะ mBAR - net flow ลด 20% kOrn - F ลด 20% นินจา - แบบที่หนึ่ง ... แล้วถ้า หนึ่งรอบในหนึ่งเดือน ไม่เกิดขึ้น จะทำอย่างไรคะ net flow เหลือเท่าไรคะ mBAR – 0 ลูกหมู - 0 ไฮ้ - 0 Y[o]ng - 0 นินจา - ค่ะ ... แล้ว ถ้า net flow เท่ากัน แบบที่สอง กับแบบที่สาม ... การตัดสินใจเลือก ของนักลงทุน ก็จะขึ้นกับส่วนประกอบของนักลงทุนด้วย ถ้านักลงทุนคนที่ มีเครือข่ายกว้างขวาง มีคนรู้จักเยอะ หรือมีโอกาสเพิ่มปริมาณได้ง่ายกว่า --> ก็จะเลือกแบบที่สอง เพราะ vel เยอะอยู่แล้ว ถ้านักลงทุนคนที่ มีระบบที่ดี เพิ่ม vel ได้ง่ายกว่า --> ก็จะเลือกแบบที่สาม หรือแบบที่หนึ่ง เพราะ vol เยอะอยู่แล้ว ดังนั้น จาก 3 แบบที่ยกตัวอย่าง จึงสรุปได้ดังนี้ 1. นักลงทุน ที่เน้นลงทุนระยะยาว จะเน้น หา "ช่องว่าง" เพื่อให้เกิด "โอกาส" ในการสร้าง "สมดุล" และ "กำลังแห่งความมั่งคั่ง" 2. ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ นักลงทุนจึงเลือกที่จะมีช่องว่างในการลงทุนให้เกิด "กำลัง" มากขึ้น ดังนั้น ... แม้บางครั้ง (ช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ) net flow จะติดลบ แต่ถ้ายังมี ช่องว่าง เพื่อสร้างโอกาสได้อีก ... ก็จะเลือกที่จะลงทุนต่อไป  จริงๆแล้ว net flow ในแต่ละช่วงเวลา ก็จะสะท้อนไปที่มูลค่าด้วย ถูกมั้ยคะ ลูกหมู - ทำให้เกิดสมดุล ระหว่าง Vol กับ Vel ใช่มั้ยคะ นินจา - ค่ะ .. สมดุลกับ ทั้งสาม ความสัมพันธ์ (ยังมีต่อ) และตัวนักลงทุน หลักที่สาม ... สร้างสมดุลชีวิต ด้วย 3 สิ่งพร้อมๆกัน net flow สะท้อนมาที่มูลค่า (value) ดังนั้น นักลงทุนระยะยาว บางครั้ง แทบจะไม่ได้สนใจ value ด้วยอีกเช่นกัน ... เพราะการเปลี่ยนแปลง ของ vol และ vel ก็เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ value ตรงนี้นึกภาพออกมั้ยคะ ลูกหมู - ก็ F = vol * vel นินจา – ค่ะ P = V x F = V x Vol x Vel .. ลูกหมู - แล้วถ้า vol น้อย แต่ vel มาก ก็วางแผน เพิ่ม vol นินจา - ค่ะ .. ลูกหมู ลูกหมู - แต่ถ้า vol มาก แต่ vel น้อย ก็วางแผนเพิ่ม vel ทีนี้ก็จะเกิดสมดุล นินจา - การเพิ่ม vol ---> magnification การเพิ่ม vel ---> multiplication ลูกหมู – แต่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ทำให้ F สามารถเปลี่ยนได้ มูลค่าเปลี่ยน แล้วสมดุล ก็จะไม่สมดุล ทำให้เกิดช่องว่างอีกครั้ง ball - P เปลี่ยน นินจา – ค่ะ ... การเพิ่ม value --> จาก wealth innovation & timing ลูกหมู - แล้วเราก็มาปรับสมดุลใหม่ นินจา – ค่ะ ยังไม่จบค่ะ ยังมีอีกค่ะ นั่นคือสมดุลใน F, Vol, Vel, P ยังมีต่อค่ะ ... ทีนี้ ยังงี้ค่ะ จากเรื่อง value สรุปได้เบื้องต้นดังนี้ 1. นักลงทุนไม่ได้สนใจ value ณ ขณะหนึ่งๆ ว่ามูลค่าจะเป็นอย่างไร เพราะมูลค่าจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลง ก็จะขึ้นกับ net flow ในแต่ละช่วงเวลาที่สะท้อนออกมาเป็นมูลค่า 2. มูลค่าจึงไม่ควรจะอยู่เฉยๆ เพราะจะไม่เกิด flow ดังนั้น แม้มูลค่ามากๆ แต่อยู่เฉยๆ ก็ไม่เกิด flow เปรียบเสมือนกระแสน้ำ ไหลจากที่สูง สู่ที่ต่ำกว่า กระแสเงินสดหมุนเวียน ก็เช่นกัน ไหลจากที่มีมูลค่าสูงไปที่มูลค่าต่ำกว่า เพื่อให้เกิด flow จึงต้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า เห็นภาพมั้ยคะว่า .... value ณ ขณะหนึ่งๆ สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว แทบจะไม่มีนัยสำคัญอะไรเลย จากข้อ (1) และ (2) กลายเป็นข้อ 3 คือ 3. นักลงทุนจึงสนใจการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า ไม่ได้สนใจว่ามากหรือน้อย ณ ขณะหนึ่งๆ แต่สนใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 4. นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการเน้น value เป็นตัวเด่น ก็ต้องใช้การเปลี่ยนแปลงมูลค่าให้เกิด flow กับนักลงทุนที่เน้น flow เป็นตัวเด่น ก็ต้องสร้าง โอกาส ให้เกิด flow แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า ตอบด้วยค่ะ จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:11:31 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลูกหมู - มึน ข้อ 4 ค่ะ อิอิ นินจา - ค่ะ สงสัยว่าไงคะ ... ถามเลย อย่าปล่อยไว้ Pat  - พอเป็นทฤษฎีพี่มองไม่ค่อยเห็นภาพ ต้องแบบมีตัวอย่างประกอบเป็นระยะ นินจา – ค่ะ มีให้เลือกอีก ดีมั้ยอะ ... งั้นจะเทียบกับพอร์ตหุ้น dsm นะคะ ball – (นินจา - นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการเน้น value เป็นตัวเด่น ก็ต้องใช้การเปลี่ยนแปลงมูลค่าให้เกิด flow) ---> งงครับ Pat  says: แบบที่เข้าใจ เช่น ลงทุนในหุ้น ข้อ 4 ก็เหมือนกับ คนที่เน้น value ก็นาน ๆ ซื้อขายที แต่หวังผลเยอะ อย่างนี้รึเปล่าคะ นินจา – ไม่ใช่ค่ะ หมายถึงว่า สร้าง flow เหมือนกันนี่ล่ะค่ะ แต่เน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของมูลค่า สำหรับการจะถือยาว หรือ สั้น ก็ขึ้นกับส่วนประกอบนักลงทุนอีกที ball - ใช่ ถ้ามองมูลค่าพอร์ตคือมองvalue นินจา – ค่ะพี่บอล เข้าใจแล้ว ช่วยอธิบายเพื่อนๆต่อด้วยค่ะ ball – ถ้าเน้นกสงสฝคือดูที่ vel หรือเปล่าครับ นินจา – จะดูที่ตัวไหน ขึ้นกับส่วนประกอบนักลงทุนเลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ... บางคน ถนัดสร้างระบบ ก็เป็น multiplication ให้เกิด vel บางคน ถนัดสร้างปริมาณ, มีเครือข่ายเยอะ ก็เป็น magnification ให้เกิด vol เพิ่มขึ้น บางคน ถนัดในการสร้างโอกาสใหม่ๆ หรือ รู้จังหวะเวลาที่คนอื่นไม่รู้ ก็เป็น timing & innovation ---> เพื่อสร้าง การเปลี่ยนแปลง value ลูกหมู - เหมือน บ. ลงทุนขยายโรงงาน เพื่อเพิ่ม Value แต่อีกแบบก็คือ ซื้อขายโรงงานหรือเปลี่ยนธุรกิจใหม่ ยังไงก็ได้ ขอให้มีการขึ้นลงก็พอ รึเปล่า นินจา – ลูกหมู เทียบแบบไหนกับแบบไหนคะ ลูกหมู - 555 งง อ่ะ พี่กุง นินจา – มูลค่า ที่กล่าวถึงนี้ ... สำหรับการลงทุนระยะยาว จะไม่ต้องสนใจในการ settled ค่ะ ball - แสดงว่า DSM ก็คือการเริ่มจากสร้าง vel ให้เยอะๆเพื่อสร้าง vol โดยไม่ได้มองที่ value ใช่หรือเปล่าครับเนี่ย อิอิ นินจา – ตอบพี่บอล .. ใช่ค่ะ หมายถึงว่า สนใจมูลค่า แต่ไม่ได้สนใจเพื่อขายล้างพอร์ตน่ะค่ะ สนใจให้มูลค่าขึ้นๆลงๆ แต่ไม่ได้สนใจ เพื่อขายล้างพอร์ต ball - เข้าใจครับ นินจา – โรงงานก็เช่นกัน (ตอบลูกหมู) ถ้าขายแล้วขายเลย ... ก็ไม่ใช่การลงทุนระยะยาวค่ะ ลูกหมู - งั้น ถ้าแบบที่พี่บอลว่า Value ก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัติโนมัติ แม้ว่าเราจะไม่สนใจมันใช่มั้ยคะ นินจา – ถ้าเทียบกับโรงงาน ..เน้นว่า value ขึ้นๆ ลงๆ ค่ะ เพียงแต่ว่า ฐานของ value ณ เงินลงทุนเริ่มต้น อาจจะเพิ่ม เพราะมีการผัน net flow ให้เป็นเงินลงทุนเพิ่มขึ้น ball - value จะขึ้นหรือไม่น่าจะอยู่ที่โอกาสรึเปล่าครับ นินจา – value ที่ขึ้นลง ตามสถานการณ์ นั่นก็ส่วนหนึ่งค่ะ ... อีกส่วนหนึ่ง เป็นการสร้างให้เกิดขึ้นด้วยส่วนประกอบของนักลงทุนค่ะ อย่างที่กล่าวข้างต้น การเปลี่ยนแปลง value สามารถทำได้โดย ใช้ quick response และ intuitive skill & capability ค่ะ (เดี๋ยวจะกล่าวอีกที) ถ้าเทียบกับโรงงาน (ที่ลูกหมูถามไว้) ก็เหมือนกับว่า เมื่อรายได้มากขึ้น มูลค่าสูงขึ้น ... แต่นักลงทุนก็ไม่ได้ขายโรงงานไปนะคะ แม้วันหนึ่ง รายได้ลดลง .. มูลค่าลดลง ... แต่ยังมี vol กับ vel ก็สามารถสร้าง"โอกาส"... สร้าง"สมดุล" ... จาก"ช่องว่าง"ได้ ... นึกภาพออกมั้ยคะ ลูกหมู - ค่ะ นินจา – ทีนี้ ต่ออย่างนี้ค่ะ ... ถามว่า .. ความสัมพันธ์ระหว่าง มูลค่า กับ flow คืออะไรคะ เมื่อกี๊ เรากล่าวถึง P = V x F F = Vol x Vel ทีนี้ถามว่า ระหว่าง Value, Flow, Cost สัมพันธ์กันอย่างไรคะ .. ลองคิดนะคะ อีกหน่อยนะ อย่าเพิ่งเป็นลม อีกนิดนึง .. จะได้ เห็นไอเดีย รวมๆ จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:12:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ball - value = มูลค่า, Flow=ความแรงของกระแสเงิน, Cost =คงที่  ... งง เต๊กครับ อิอิ นินจา – มูลค่า , กระแสหมุนเวียน, ต้นทุน ... สัมพันธ์กันอย่างไรคะ ถ้าจะให้ใส่ในสูตร ระหว่าง สามตัวนี้ คิดว่าอย่างไรกันคะ ลูกหมู - Value จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ การเปลี่ยนแปลง ของ Flow และ cost ball - V=F+C นินจา – (ดีใจจัง พี่บอลอุตส่าห์คิดจนออกมาได้) รอท่านอื่นด้วยค่ะ mBAR  - มูลค่า = ต้นทุน + net flow ball - P=(C+(vel x vol)) adum13sn - ที่โจทย์โน้นนนนน   เรื่อง  net flow   ของ  100,000   ที่เกิดขึ้นเดือนละ 1  ครั้ง  ........  แล้วหากว่า   เดือนนั้นไม่เกิดเลย      และหากว่าอีกมุมมองหนึ่งคือ   สามารถทำให้เกิดได้มากกว่า  1  ครั้งต่อเดือน     ........     นินจา – ค่ะพี่เทพ .. คือจริงๆ ไม่ได้บอกว่า แบบไหนดีหรือไม่ดี เพราะขึ้นอยู่กับหลายๆอย่าง ... แต่ที่ "เน้น" และ ชี้ให้เห็นคือ "ช่องว่าง และ โอกาส" .... เพราะทุกอย่างขึ้นกับ ส่วนประกอบนักลงทุนแต่ละคน ... เพื่อสร้างสมดุล ให้เกิดขึ้น ลูกหมู - ช่องว่างของพี่กุง เป็น ช่องว่างแบบเดียวกับของพี่เด่น รึเปล่าคะ นินจา – ไม่แน่ใจค่ะ ... ช่องว่าง พี่เทพ เป็นยังไงคะ อาจจะคนละแบบนะคะ ... คือ ในที่นี้หมายถึง opportunity ค่ะ เป็น potential opportunity (โอกาสที่เป็นไปได้ทั้งหมด) ทั้งในทุกๆตัว ไม่ว่าจะเป็น value, flow, vol, vel มันคือ โอกาสของทั้งหมด ที่เป็นไปได้ทั้งหมด อยากเน้นให้มองตรงนี้ adum13sn - น่าจะคนละแบบครับ   (  ยิ้มแย้มแจ่มใส ) ball - ไม่ทราบว่าตกลง V, C, F มันสัมพันธ์กันยังไงนะครับ นินจา – ความสัมพันธ์ระหว่าง V, F, C ลองช่วยตอบด้วยค่ะ จะได้รู้ว่า จะอธิบายต่อยังไง พี่บอลบอกว่า V = F + C แบบอื่นๆมีอีกมั้ยคะ mBAR - เหมือนบอล ลูกหมู – ระยะเวลาเกี่ยวข้องด้วยมั้ยคะ แบบว่ามีตัวแปลอื่นอีกมั้ย นินจา – คิดได้ นอกกรอบเลยค่ะ ลูกหมู จะนึกถึงอะไร ก็ได้เลยค่ะ ลูกหมู – ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีแต่ V F C ใช่มั้ยคะ นินจา – ยังไงก็ได้ค่ะ ... ไร้กรอบ ...ถามพี่บอลกับพี่ฮา เพิ่มว่า ทำไม ถึงคิดว่า F กับ C มีความสัมพันธ์ ในทิศทางเดียวกันกับ V mBAR  - จริง ๆ แล้ว  ผมไม่ได้คิดว่า  V = F + C แต่ไม่มีตัวแปรอื่น  เลยเอาแค่นี้ แต่เนื่องจาก  f  จะต้องแปรกับ c  เพราะเราใช้ทุนมาหมุนเวียน นินจา –  ใช่ค่ะพี่ฮา เกือบๆแล้วค่ะ อีกนิดนึง อธิบายต่ออีกนิด ..  flow มีหน่วยเป็น บาทต่อเดือน cost มีหน่วยเป็น เดือนต่อบาท  จะอธิบายให้เห็นภาพอีกนิดนะคะ mBAR  - ถ้า ทุน น้อย  เราจะได้ flow น้อยลง   (จาก  f=vel x vol) ใน ที่นี้  vol  แปรตาม cost นินจา –  ใช่ค่ะพี่ฮา .. ยังไงต่อคะ mBAR  - ถ้า  เกิด net flow (ไม่ว่าจะบวกหรือลบ)  จะทำให้มูลค่าเปลี่ยนไป  (ในทางเพิ่มหรือลบ)   ซึ่งก็คือ การเปลี่ยนแปลง ของ F  ทำให้ V  เปลี่ยนด้วย จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:13:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 นินจา –  จะเปรียบเทียบให้เห็นภาพนะคะ.. สองแบบ ... แบบแรก คือเทียบกับแม่น้ำ มูลค่า เปรียบเสมือน ความต่างระดับของสายน้ำ กระแสหมุนเวียน ... ขึ้นกับพื้นที่หน้าตัดของลำน้ำ และ ความเร็วของกระแสน้ำ ต้นทุน ... เปรียบเสมือน เขื่อนกั้นน้ำ กำลัง ... เปรียบเสมือน ปริมาตรน้ำที่ผ่าน ต่อหน่วยเวลา แบบที่สอง ... เทียบกับ วงจรไฟฟ้า มูลค่า ... เปรียบเสมือน ความต่างศักย์ ที่ทำให้อิเล็กตรอนวิ่งผ่านลวดตัวนำ กระแสหมุนเวียน ... ขึ้นกับ พื้นที่หน้าตัดของลวด และ ความเร็วของอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ ต้นทุน ... เปรียบเสมือน ตัวต้านทาน ... ซึ่งจะขึ้นกับ ความยาวของลวด ผกผันกับพื้นที่หน้าตัด กำลัง ... ขึ้นกับ ปริมาณอิเล็กตรอนทั้งหมดที่เคลื่อนที่ผ่านต่อหน่วยเวลา นึกภาพออกมั้ยคะ ต้นทุน ก็เปรียบเสมือน เขื่อน หรือตัวต้านทาน ดังนั้น คำว่า "ต้นทุน" ของกุง จึงมีความหมายกลางๆ แปลว่า ดี หรือ ไม่ดีก็ได้ ต้นทุน ที่มาก หรือ ความต้านทานสูง ก็ไม่ได้แปลว่า ไม่ดีเสมอไป ... หรือ เขื่อนกั้นน้ำใหญ่ๆๆ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่ดีเสมอไป เป็นเหมือนตัว "ส่งกำลัง" ... ค่อยๆนึกภาพนะคะ งั้นถามพี่ฮา ... ในฐานะที่เรียนจบ ไฟฟ้าฯ มา ความสัมพันธ์ ระหว่าง ความต่างศักย์, กระแสไฟฟ้า, ความต้านทาน ---> สัมพันธ์อย่างไรคะ mBAR  - V = IR นินจา – ปิ๊งหรือยังคะ ... เมื่อไรก็ตาม ... ถ้ามูลค่า ระหว่าง 2 ตำแหน่งมีค่าเท่ากัน ... ก็จะไม่เกิดการ flow   เช่นกัน เมื่อไม่มีความต่างศักย์ ก็ไม่เกิดการเคลื่อนที่ของ อิเล็กตรอน  (อิเล็กตรอนเคลื่อนที่แบบไร้ทิศทาง, ด้วยความเร็วเลื่อนลอย หรือที่เรียกว่า Brownian Motion) กระแสน้ำก็เช่นกัน ... กระแสเงินสด ก็เช่นกัน กระแส อื่นๆ ทั้งหมด ก็เช่นกัน ... เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ดังนั้น สรุปได้ว่า V = F x C ดังนั้น จึงรวมได้ดังนี้ P = V x F = V x Vol x Vel = Vยกกำลังสอง / C = F กำลังสอง คูณ C P = V x F = V x Vol x Vel = Vยกกำลังสอง หาร C = F กำลังสอง คูณ C ลูกหมู - F กับ C จะแปรผกผันกันใช่มั้ยคะ นินจา – ค่ะ .. F = V/C V = F x C C = V / F mBAR  - P=V^2/R P=I^2 x R (เทียบกับ ไฟฟ้า  ให้ดู) ball - อ้อ R + C R = C mBAR  - สรุปดังนี้ จาก  P =  V x  F และ  V = F x C ดังนั้น  ถ้าแทนค่า  ไป ในสมการแรกจะได้ P =  ( F x  C)  x F     ->   =  F กำลังสอง  คูณ    C หรือถ้าแทนค่าด้วย   F =  V /  C  (จากสมการสอง)  จะได้ P = V x F  =  V x (V/C)   =   V ยกกำลังสอง   หาร  C (ผมพิสูจน์ ตามสมการคณิตศาสตร์ให้ดู   แต่ไม่ใช่ว่า  เข้าใจนะ   อิอิ) นินจา - นี่ล่ะค่ะ ที่กุงบอกว่า เรียนเรื่องกระแสไฟฟ้า นึกถึงกระแสเงินสด เห็นกำลังไฟฟ้า เป็น กำลังแห่งความมั่งคั่ง ยังไม่จบนะคะ .. กำลังจะเล่าต่อ P = V x F = V x Vol x Vel = Vยกกำลังสอง หาร C = F กำลังสอง คูณ C สงสัยมั้ยคะ จะได้ต่อ (ยังมีอีกยาวเลยอะ) เห็น หลักที่สี่ ... ขอ ยืนยันว่า ... จะเห็นธรรมชาติของ กระแสความมั่งคั่ง เลยค่ะ (โดยขึ้นกับ การเรียนรู้ฝึกตน และการสร้างสมดุล ของนักลงทุน) จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:14:35 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อันนี้มีรูป เลยต้องใช้วิธีตัดแปะ :) จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:18:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นินจา - จากรูปนี้นะคะ เห็นแล้วใช่มั้ยคะ Value .... เปรียบเสมือน (ระดับ) ความสูงของทรงกระบอก ... Flow จะขึ้นกับพื้นที่หน้าตัดของทรงกระบอก .. ส่วนความสูงก็ส่งผลต่อ flow โดยผ่านที่ vel Cost จะขึ้นอยู่กับ ความยาวของทรงกระบอก และผกผันกับ พื้นที่หน้าตัดของทรงกระบอก Power จะขึ้นกับปริมาตรของทรงกระบอก (ต่อหน่วยเวลา) นึกภาพตามออกมั้ยคะ mBAR - วันนี้ ที่สอน  คือ  จะสื่ออะไรครับ ไปทางไหน  จะได้ตามให้ทัน นินจา – จะสื่อให้เห็นกำลังแห่งความมั่งคั่งค่ะ คือ มันต้องวนไปโน่นไปนี่ก่อนอะ .. ถึงจะกลับมาสรุปอีกที อยากให้เข้าใจถึง "แก่น" น่ะค่ะ ลูกหมู - ทำไม cost ถึงเป็นความยาว ??? อ๋อ v = fc นินจา – ยิ่งยาว เสมือนว่า ต้นทุนยิ่งเพิ่มขึ้นค่ะ เหมือนตัวต้านทานน่ะค่ะ เหมือน เขื่อนด้วย ลูกหมู - ถ้า cost ยาว ทำให้ v เพิ่มด้วยน่ะสิคะ นินจา – ใช่ค่ะ ... จะเห็นได้ว่า .. ตอนที่ rich dad บอกว่า อิสรภาพทางการเงิน ดูจาก .. กระแสเงินสด หาร ด้วย ค่าใช้จ่าย ถ้าดูจาก สมการนี้ หลายๆคนจะเข้าใจผิด เพราะค่าใช้จ่ายสูง (ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนระยะยาว ก็คือ ต้นทุน)  .. ก็ไม่ได้แปลว่า ทำให้ส่วนมากขึ้น ... เขียนผิดอะ ... ต้นทุนสูงขึ้น ส่วนมากขึ้น ... ทำให้ อัตราส่วนลดลง แต่ในความเป็นจริง ... ต้นทุน นั้นมีทั้งต้นทุนที่ดี และต้นทุนที่ไม่ดี สำหรับกุง จึงมองว่า ต้นทุน เป็นคำกลางๆ ... ถ้าใช้ให้เกิดประโยชน์ ยิ่งทำให้เกิดกำลังมากขึ้น กำลัง หมายถึง พลัง ต่อหน่วยเวลา .. ดังนั้น กำลัง จึงขึ้นกับ พลัง และ ความเร็ว แต่ถ้าดูในสูตรรวม .. จะเห็นได้ว่า ... ตัว "ต้นทุน หรือตัว C" จะมีอยู่ทั้งเป็นตัวคูณ และตัวหาร ... ขึ้นกับว่า พิจารณาแบบไหนเป็นพิเศษ P = V x F = V x Vol x Vel = Vยกกำลังสอง หาร C = F กำลังสอง คูณ C ลูกหมู - นึกภาพการเคลื่อนไหวได้นะคะ แต่คิดเป็นสมการแล้ว งง นินจา – นึกแบบไหนก็ได้ค่ะ ใครถนัดแบบไหน ก็นึกแบบนั้นค่ะ เพราะมันมีหลายวิธีการค่ะ ไม่ต้องยึดติดที่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งนะคะ แล้วลองนึกภาพตามสมการทุกตัวเลยนะคะ .. ball - สมมติว่าเราใช้ P=V^2/C แล้วเอามูลค่าจริงๆแทนลงไปเลยใช่มั้ยครับ นินจา – ใช่ค่ะ เดี๋ยวจะมีอธิบาย step อีกทีค่ะ ว่าจะไปใช้อย่างไรได้บ้าง ... ถ้าเห็นสมการ รวมนี้แล้ว ... ก็จะแบ่งสินทรัพย์ออกเป็นประเภทต่างๆ ball - สมมติ 100000^2/80000 อย่างนี้เลยเหรอครับ (8 หมื่นบาท คือทุนครับ) นินจา – ถ้าจะให้ถูกต้อง ต้องแปลงต้นทุนโดยคิดเป็นระยะเวลา ค่ะ เช่น net flow เดือนละแสน ... ต้นทุนเท่ากับ 0.8 เดือน/บาท ...ค่ะ ก็คือ คิด net flow ปกติ เหมือนเดิม คิด ต้นทุนปกติเหมือนเดิม แต่ใช้ต้นทุน เป็นระยะเวลาที่สร้างรายได้ ก็คือ เทียบให้เห็นภาพน่ะค่ะ จากนั้น เมื่อเห็นภาพรวมของ กำลังแห่งความมั่งคั่ง ก็จะแยกสินทรัพย์ เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ  ดังนี้   1. Flow generated – Asset   2. Flow potential – Asset   3. Other - Asset ball - เช่น 100000 ลงทุนมา 1เดือนคือ100000/30ใช่มั้ยครับ นินจา – ค่ะพี่บอล ... เทียบเป็นช่วงระยะเวลาค่ะ ... ยังไงก็ได้ ให้เป็นหน่วยเดียวกัน เช่น เทียบ net flow ต่อเดือน ต้นทุน ก็ต้องเป็น เดือน/บาท  .. ด้วยค่ะ ถ้าเป็นวัน .. ก็ใช้หน่วยเดียวกัน เพราะเวลา ประเมินผล boston matrix จะต้องใช้ตัวนี้ค่ะ .. นินจา – โอๆๆ วันนี้ลูกมาแล้ว ต่อวันไหนดีคะเนี่ย ทบทวนเท่านี้ให้แม่นๆๆ เลยนะคะ เดี๋ยวมาต่อให้ มันส์กว่านี้อีกค่ะ จริงๆ มันยังไม่จบแค่นี้ค่ะ ... ต้องไปแล้ว .. บายค่ะ จากคุณ : pattarav - [ 7 พ.ค. 48 16:19:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณมาก ครับ   (ตอน 1 ยังมึนไม่หาย  ตอนนี้ มึนหนัก กว่าเก่าอีก) จากคุณ : minibar (minibar) - [ 7 พ.ค. 48 16:44:18 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มาขอบคุณมากๆๆ ค่ะ เดี๋ยวจะค่อยๆ อ่านนะคะ ว่าแต่ว่า หา folder MSN ม่ายเจอ แฮะ.. อยู่ไหนหว่า... ขอบคุณมากๆ ค่ะ..   จากคุณ : noopiglet - [ 7 พ.ค. 48 16:50:37 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณ คุณภัทรค่ะ จากคุณ : ชราร่า - [ 7 พ.ค. 48 18:04:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณครับ จากคุณ : S40 - [ 7 พ.ค. 48 19:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคณครับ พี่ภัทร จากคุณ : งำงำ มีดบิน - [ 7 พ.ค. 48 20:38:04 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณครับพี่ ๆ  น้อง ๆ ทุกท่านเล้ยยยยยย ............................ มาเซฟรอบแรกเข้าแฟ้มก่อนครับ    (   ยังมึนเหมือนกันครับ    จะสอบตกมั้ยเนี่ยะ  ) ............................. เดี๋ยวมาเซฟอีก   .............................. ด.ช. เด่นศรี จากคุณ : เด่นศรี - [ 7 พ.ค. 48 20:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณครับ คุณภัทร และ น้องกุง และ เพื่อนๆที่ร่วมกันสนทนาครับ จากคุณ : กุ้งไร้สาร - [ 7 พ.ค. 48 22:41:55 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณค่ะ พี่ภัทร เรียบเรียงได้ดีมากๆ เลยพี่สาว แต่อ่านอีกก็ยังมึน เหมือนเดิม... อิอิ อจ. จะทำโทษมั้ยเนี่ย จากคุณ : ลูกหมู (OhLunLa) - [ 8 พ.ค. 48 01:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ชื่นชมในน้ำใจของ คุณกุง มากครับ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง (ยิ้ม) จากคุณ : กระต่ายกะเต่า - [ 8 พ.ค. 48 02:11:53 ]

ความคิดเห็นที่ 20 :) จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 8 พ.ค. 48 19:43:07 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 8 พ.ค. 48 20:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับ น้อง pattarav สงสัยจะมีผมคนเดียวมั้งครับที่ไม่มึน ไม่ใช่เก่งนะ แต่เพราะผมยังไม่ได้อ่านตอนแรกเลย  แฮะๆ จากคุณ : Coyote - [ 8 พ.ค. 48 22:21:06 ]

ความคิดเห็นที่ 23 โอ้ Indicator ตัวนี้ (Power of Wealth) ใช้วัดผลประกอบการได้เยี่ยมมากเลยครับ แถมยังสอดคล้องกับหลักธรรมชาติอีก พี่นินจาทำให้ผมนอนไม่หลับอีกแล้ว ขอขอบคุณอีกทีครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 9 พ.ค. 48 00:39:56 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ กรอบความรู้ของผมกว้างขึ้นเยอะเลยครับ จากคุณ : เป้ (Pepe'GZone) - [ 9 พ.ค. 48 09:16:30 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณครับพี่ภัทร --เซฟ-- เอาไปแกะต่อ จากคุณ : -กร- - [ 9 พ.ค. 48 16:52:33 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ ยังต้องทำความเข้าใจอีกเยอะมากๆๆ เลยครับ จากคุณ : kae_numtan - [ 9 พ.ค. 48 21:29:33 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ตาลายครับ คนแก่ก็อย่างงี้แหละครับ อ่านไป บ่นไป ..... ลืมขอบคุณอีก สังขารไม่เที่ยงหนอ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 48 23:12:12 จากคุณ : กาเย - [ 9 พ.ค. 48 23:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณพี่ภัทรครับ จากคุณ : ยง (savia) - [ 11 พ.ค. 48 01:14:30 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 48 12:52:41 จากคุณ : baikaew - [ 11 พ.ค. 48 12:44:38 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณค่ะ...มากๆ เลยค่ะ จากคุณ : พูห์ชี้ฟ้า - [ 13 พ.ค. 48 13:14:29 ]