ความคิดเห็นที่ 1 สวัสดีค่ะน้อง DerDen ... คำถามน่ารักมากๆๆค่ะ ... พอดีเพิ่งมาเห็น ..ตอนกำลังจะต้องไปเล่นกับลูกพอดีเลย เดี๋ยวให้ดูรูปนิดนึง แล้ววันศุกร์จะมาตอบนะคะ (พรุ่งนี้ติดธุระ นิดหน่อย) ***** ระหว่างรอ .. รอเพื่อนๆสมาชิก มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะคะ ... ขอบคุณมากๆค่ะ ... ************* สิ่งที่คุณเห็น คือสิ่งที่คุณเข้าใจ *************** ************* สิ่งที่คุณลงมือทำ คือสิ่งที่คุณได้รับ *************** จากคุณ : คนชื่อนินจา - [ 11 พ.ค. 48 16:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คำว่า หัวใจ น่าจะหมายถึงอะไรที่เป็นแก่นของทุกอย่าง เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เช่นมนุษย์ หรือสัตว์เรา ก็ต้องมีหัวใจที่ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ได้ซึ่งนั่นน่าจะหมายถึงสิ่งที่เป็นที่สุด หรือหัวใจเพื่อทำให้ดำรงชีพอยู่ได้ หรือสามารถดำเนินกิจกรรมของชีวิตต่อได้ แล้วในนี้หมายถึงอะไรครับ ทำไมต้องเรียกว่าสิ่งที่เป็นหัวใจ เป็นหัวใจของอะไรครับพี่ /bในที่นี้ คือ หัวใจของอิสรภาพแห่งชีวิตค่ะ หรือ อิสรภาพที่แท้จริงของชีวิตค่ะ ซึ่งนั่นก็คือ แก่นของอิสรภาพที่ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราจะมีอิสรภาพค่ะ/b งงมั้ยคะ __________________________________________ หลักที่ 2 สิ่งที่ต้อง เน้นย้ำ ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องเน้นย้ำ เน้นย้ำอย่างไร เน้นย้ำอะไร เน้นย้ำกับใคร ถ้าไม่เน้นย้ำแล้วมันจะเป็นอย่างไรครับ ใช้คำอื่นได้ไหม ผมก็นึกไม่ออก ว่าจะใช่คำว่าอะไรครับเพราะผมก็ยังไม่เข้าใจว่า เน้นย้ำคืออะไร ส่วนหลักที่ 2 ที่ต้องเน้นย้ำ ก็คือ ภายนอก ภายใน สติปัญญา.... นั่นก็คือ ทุกอย่างเหมือน กาย ใจ ธรรม ก็คือ ให้เราเน้นย้ำที่จะเรียนรู้ ฝึกตนในสิ่งนี้กับตนเอง ภายนอก ก็คือ เรียนรู้ทุกอย่างที่อยู่ภายนอกตัวเรา เช่น สังคม ครอบครัว การลงทุน หุ้น การอานหนังสือ ... ภายในคือ ใจของเรา ฝึกฝนให้รู้เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก .... ธรรม คือ การฝึกฝนปัญญา สมาธิ การจดจ่อ .... ถ้าไม่ใช้คำว่า การเน้นย้ำ น่าจะใช้คำว่า การฝึกตน หรือ การเรียนรู้ ก็ได้มั้งคะ __________________________________________ ส่วนหลักที่3 คือ การกำกับ .. หมายถึง การกำกับในการทำทุกอย่างในชีวิต ด้วย การเข้าใจที่ถูกต้อง , การมีสติ (จดจ่อ) ที่ถูกต้อง และ ความเพียรพยายามที่ถูกต้อง หมายถึงทุกอย่างต้องมีความสมดุลในชีวิต __________________________________________ ส่วนหลักที่ 4 คือ กำลังแห่งความมั่งคั่ง ... กำลังน่าจะหมายถึง สิ่งที่ทำให้เกิดความมั่งคั่ง หรือ เพิ่มพลังให้เกิดความมั่งคั่งค่ะ ในที่นี้ยังไม่ค่อยมีใครเข้าใจทั้งหมดหรอกค่ะ ต้องค่อยๆ อ่าน ทำความเข้าใจค่ะ เพราะถ้าเข้าใจหลังจากอ่านรอบเดียว ทุกคนคงมั่งคั่งกันหมดแล้วค่ะ ดังนั้นใจเย็นๆ ค่ะ แล้วอ่านหลายๆรอบ แล้วมาถกกันคุยกันสนุกๆ ... นี่ก็เป็นการเรียนรู้อีกอย่างค่ะ นินจาว่าไง ดูให้ด้วยว่าถูกป่าวนะ จากคุณ : ซ้อสี่ค่ะ (คิมิเอะ-จัง) - [ 12 พ.ค. 48 09:55:37 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ดูๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่แอบขโมยรูป คห1 ไปแล้ว ฮาๆๆ จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 12 พ.ค. 48 10:43:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จากเรื่องง่ายๆ.....     ยากซับซ้อนขึ้น............และกลับมาง่าย ไม่เข้าใจครับ ถ้าจะให้ผมคิดตอนนี้ก็ได้ตามนี้ครับไม่รู้ถูกไหม เรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ว่าเป็นเรื่องง่ายๆ เมื่อเรื่องนั้นๆเราไม่สนใจที่จะเข้าใจมัน อย่างกาขึ้นลงของดวงอาทิตย์ ถ้าอย่างผิวเผินก็เป็นเรื่อง ปกติที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางด้านทิศตะวันออก และตกทางด้านทิศตะวันตก แต่เมื่อ เราเริ่มกลับมาที่จะรู้ในตัวมันว่า เอ๊ะทำไมมันถึงขึ้นทางนี้ และตกทางนั้น มันขึ้นทางอื่นได้ไหม และตกทางโน้นได้ไหม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับการขึ้นลงของดวงอาทิตย์  เราก็จะไปศึกษา ต้องค้นคว้าเพื่อที่จะรู้ เราอาจจะต้องใช้ความยากในการทำความเข้าใจบ้างในช่วงแรกที่เรายังไม่รู้เรื่องหรือเข้าใจ มาก อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่ายาก หรือซับซ้อน จนสุดท้ายเราศึกษาค้นคว้า ตามหลักวิชาการรู้อย่างแท้จริงว่าทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนั้น ดังนั้นเมื่อเรารู้มันก็เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเรา อย่างนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าง่ายๆ จุดเริ่มต้นคือจุดสุดท้าย แต่ผมว่ามันก็มีพื้นฐานแห่งความรู้และความเข้าใจที่ต่างกัน ไม่รู้ว่าที่ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับพี่นินจา ต้องกลับแล้วช่วงนี้ไม่ว่างเลยครับไม่มีเวลาได้เข้าบอร์ด จากคุณ : DerDen - [ 12 พ.ค. 48 17:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แหะๆ ขอร่วมแสดงความเห็น แลกเปลี่ยนกันนะคะ จริงๆ แล้ว เหมือนอาซ้อ (ขอเรียกอย่างงี้ละกันนะคะ) จะสรุปไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อยากแลกเปลี่ยนอะค่ะ อิอิ --ตามความคิดของพูห์ หัวใจ คือ สิ่งที่เป็นที่สุดของเรื่องนั้นๆ เป็นบทสรุปที่รวบรวมทุกๆ อย่างไว้เป็นข้อความสั้นๆ อะค่ะ เก็บไว้ในใจ ไม่ให้หลงทาง เหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้ามี 84,000 พระธรรมขันธ์ (ซึ่งมากมายมหาศาล) แต่หัวใจคือ 1.ไม่ทำความชั่ว 2. ทำความดีให้สมบูรณ์ 3. ทำจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ สิ่งที่เป็นบทสรุปที่เราต้องปฎิบัติและตั้งไว้ในใจ -- หลักที่ 2 สิ่งที่ต้องเน้นย้ำ ทำไมต้องเน้นย้ำ ก็คงจะหมายถึงสิ่งที่เราต้องปฎิบัติอย่างสม่ำเสมอ ปฎิบัติซ้ำๆ ทำบ่อยๆ จนเข้าใจ ให้เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำทุกๆ อย่างในชีวิต ถ้าเป็นการเรียนรู้ ฝึกตน ก็คงเป็นการเรียนรู้ฝึกตนตลอดเวลา ตลอดชีวิต ถ้าไม่เน้นย้ำ เราอาจจะลืมที่จะเรียนรู้กับสิ่งต่างๆ ที่เราทำ ทั้ง 3 อย่างอะค่ะ เช่น ทำไปตามความเคยชิน หรือเป็นการใช้จ่าย (ไม่ใช่การลงทุนระยะยาวๆ ) --หลักที่ 3 การกำกับ คงหมายถึง ถ้าเราเรียนรู้ฝึกตนในการกระทำแล้ว ไม่มีการกำกับ ด้วย การเข้าใจที่ถูกต้อง การมีสติที่ถูกต้อง และความเพียรพยายามที่ถูกต้อง สิ่งที่ทำอาจจะผิดอะ (ห้วนๆ ไปมั้ยเนี่ย?) คือ ถ้าไม่มีการกำกับ อาจนอกลู่นอกทาง หลงทาง เลยต้องกำกับให้ทำในสิ่งที่ถูกอะค่ะ เช่น ถ้าเราเข้าใจไม่ถูกต้องสิ่งที่เรียนรู้ก็อาจะผิด แล้วก็ทำผิด (เหมือนเข้าใจในข้อเท็จจริงแบบผิดๆ ) แล้วก็จะเป็นวงจรแบบผิดๆ ถ้ามันไม่ถูกกำกับด้วยสิ่งที่ถูกต้องอะนะ --ส่วนหลักที่ 4 ขอลอกของอาซ้อล่ะกันค่ะ คิดมะออกละ ร่วมแสดงความเห็น รบกวนท่านอาจารย์ (พี่นินจา) ให้ความรู้ด้วยค่ะ ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า? อิอิ มาแล้วก็จากไป... แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 48 13:12:07 จากคุณ : พูห์ชี้ฟ้า - [ 13 พ.ค. 48 13:04:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมมีข้อสงสัยเหมือนกันครับ ขอถามในกระทู้นี้เลยหละกัน ถ้าใครเข้าใจก็ขอความกรุณาด้วยครับ จากหลักข้อ 4 P = the Power of Wealth = กำลังแห่งความมั่งคั่ง หน่วยเป็น บาทต่อระยะเวลา V = Value = คุณค่า หรือ มูลค่า หน่วยเป็นจำนวนเท่าของเงินลงทุนเริ่มต้นของช่วงระยะเวลา F = Flow หรือ net Flow = กระแสหมุนเวียน (สุทธิ) หน่วยเป็น บาทต่อระยะเวลา เช่น บาทต่อเดือน จากที่กล่าวมา พี่นินจาเปรียบเทียบกับวงจรไฟฟ้า จะได้ Value เหมือนความต่างศักย์ ซึ่งความต่างศักย์เป็น "ผลต่าง" นั้นคือ V = Va - Vb จะมีหน่วยเป็น Volt แต่ Value ทำไมถึงเป็น "อัตราส่วน" หรือ "จำนวนเท่า" นั้นคือ Value = Va/Vb ซึ่งไม่มีหน่วย ด้วยเหตุนี้ P เลยมีหน่วยเหมือนกับ F (บาทต่อเวลา) จากสมการ P=FxV ที่สงสัยคือทำไมค่า Value ถึงเป็นอัตราส่วน? เพราะถ้าเทียบจากวงจรไฟฟ้าแล้วต้องเป็นผลต่างครับ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 48 14:26:37 จากคุณ : KoKoMan - [ 13 พ.ค. 48 14:25:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แวะมาเย้วววว .... สวัสดีค่ะ น้องๆทุกคนและอาซ้อ ... เป็นน้องเราหมดเลยหรอนี่ .. แก่จังเรา ... ********* เรื่องหลักสี่คูณสาม ... บอกตามตรง สิ่งนี้ ไม่ใช่คัมภีร์วิเศษ ... แต่เป็นสิ่งที่เรา คิดได้ตั้งแต่ ตอนอยู่ ม.5 (ระหว่างที่ค้นหา ชีวิตมานาน ตั้งแต่เด็กๆ) และมันทำให้เรามีวันนี้ ... (เมื่อก่อน เขียน เคลือบพาสติกเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ดูทุกวัน) สิ่งนี้ ไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนไป เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ... เพียงแต่ ทำให้ โลกและชีวิต เป็นระบบมากขึ้น เป็นหมวดหมู่มากขึ้น จากวันนั้น มีเห็นเป้าหมายที่ชัดเจน ... ผลที่ได้รับ จึงประมาณค่ามิได้เลย ... เหมือนกับถึงเป้าหมายโดยไม่ต้องเดินทาง (จุดเริ่มต้น กับจุดสิ้นสุดเป็นจุดเดียวกัน) ... ตอนนั้น ยังนึกถึงทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์ไตน์ ... และคำกล่าวที่พูดถึงสรรพสิ่งในโลกนี้ ... ประโยชน์ที่ได้ จึงขึ้นกับการนำไปใช้จริงๆ .. เพียงแต่ให้ชีวิตเป็นหมวดหมู่และมีเป้าหมายมากยิ่งขึ้น สำหรับคำถามของน้องโกโก้ ... นั้นเป็นเพราะว่า ยังอธิบายไม่ครบเลยค่ะ ... ตัวสูตรยังแสดงไม่ครบอีกต่างหาก (เขียนสัญลักษณ์ไม่เป็น เช่นตัวหมวก hat และสัญลักษณ์อื่นๆ) ก็เลยอธิบาย concept ไว้ให้ก่อน ... ปูพื้นฐาน ก่อนนัดเจอกันเพื่อพูดถึงเรื่องนี้อีกที ****** น้องโกโก้ .... ลองคิดต่อนะคะ ... ว่า จะนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนจริงๆและชีวิตได้อย่างมหัศจรรย์ได้อย่างไร ด้วยเรื่องดังกล่าว อยากให้ทิ้งคำถามไว้เยอะๆๆๆ เอาให้เยอะที่สุดเลยค่ะ วันหนึ่ง ผู้ทิ้งคำถาม ก็จะค่อยๆตอบคำถามของตนเองไปเรื่อยๆๆ นี่คือส่วนหนึ่งของกระบวนการ เรียนรู้ ฝึกตน ด้วยตนเองค่ะ ****** เดี๋ยวมาต่อใหม่นะคะ วันนี้ ลูกมาปีนโต๊ะแล้วค่ะ (ซนจริงๆ ...อิอิ...) จากคุณ : คนชื่อนินจา - [ 13 พ.ค. 48 17:15:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 มันเป็นการผสมผสานอะคับ ต้องอ่านและคิดมากๆ  (จินตนาการด้วย) กับเรื่องอะไรก็ได้ที่เรา พบเจออยู่   แล้ว  จะได้เห็น ว่า  "มันเป็นของมันอยู่แล้ว"  และ "จัดให้เป็นระบบ  มากขึ้น" ดังนั้น เมื่อเข้าใจ  ใน หลัก  4x3  แล้วนะคับ  อยากให้หาจุดเชื่อมต่อ   เพื่อให้ เกิด  "กำลัง"   คับ สามหลักแรก  นั้น  ถ้าค่อยๆๆ  อ่าน  ดีๆ  จากกระทู้ที่เคย โพสน์ไว้นะคับ    จะค่อยๆๆ   เห็นภาพ    เหมือน กับ  ร่างกายมนุษย์    เป็นระบบ  ที่ดีอยู่แล้วทำงานประสานกัน เราเรียน รู้แยกเป็น  ระบบ  ต่างๆ    เช่น   ระบบเลือด   ระบบประสาท   ระบบย่อยอาหาร   และ  อื่นๆ เหมือน กับ  เราค่อยๆ  เรียนรู้ที่ละ ส่วน (ทีละหลัก  จาก 4x3) หลังจากเราเข้าใจแต่ละหลัก  (มากบ้างน้อยบ้างไม่เป็นไร) เราก็จะนำมา  เชื่อมต่อกัน (ต่อจิกซอร์ในสมองคับ  อิอิ) เพราะต้องทำงานประสานกัน มนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ได้  และมีความเป็นมนุษย์ (ดังที่  น้อง  พูห์  อธิบายไป  ก็  ดีมากนะคับ) ดังนั้นต้องใช้เวลาในการศึกษานะคับ   ต้องเรียนรู้  ไปเรื่อยๆ   พร้อมกับ มีเป้าหมาย และต้อง   มี   3  กำกับ  นะคับ   (ไม่รู้งง  กันหรือเปล่า  เขียนไม่ค่อยเก่ง  วกไปวนมา  มั่วเหลือเกินคับ ) ไม่รู้เรื่องก็ขออภัยด้วยนะคับ   จะตอบให้ใหม่ แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 48 18:06:46 จากคุณ : Vprawat - [ 13 พ.ค. 48 18:02:11 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณครับ พี่นินจา ตอนที่ผมได้อ่านหลักสี่ Power of Wealth (เบื้องต้น) จบ ผมลองจินตนาการ ไปประยุกต์กับ DSM และ อสังหา แต่ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า อย่างไง ผมจะลองเล่าสิ่งที่ผมจินตนาการให้ฟังนะครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 13 พ.ค. 48 19:28:27 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จากสมมุติฐานที่ว่า Power of Wealth (P) สามารถใช้วัดพลังของความมั่งคั่งได้ ดังนั้นการที่เราจะเพิ่มความมั่งคั่งเราจึงต้องเพิ่ม Flow และ Value เนื่อง P = FxV ถ้าเปรียบเทียบกับหุ้น V หมายถึง "อัตราส่วน" การเพิ่มหรือลดของพอร์ตในช่วงเวลาที่เราสนใจ เช่น เริ่มต้นมูลค่าพอร์ตในปีแรกเป็น 1,000,000 บาท เวลาผ่านไป 1 ปี มูลค่าพอร์ตลดลงเหลือ 900,000 บาท ดังนั้น V ในช่วงหนึ่งปี จะเท่ากับ 0.9 F หมายถึง เงินปันผล และ กระแสเงินสดแฝงจากการ Short พอร์ต ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ดังนั้นจึงสอดคล้องการแนวคิดแบบ DSM เพราะการที่ซื้อมาขายไป โดยไม่สนใจ กสงสฝ หรือ เงินปันผล จะไม่ทำให้เกิด P เนื่องจากค่า F เป็นศูนย์ นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับข้อจำกัดของ DSM นั้นคือ การที่มูลค่าพอร์ตลดลงเหลือศูนย์ (ตลาดพังหรือบริษัทเจ๊ง) เพราะจะทำให้ V เป็นศูนย์ ถ้าคิดต่อไปอีกการที่ไม่สนใจมูลค่าพอร์ตเลย ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะค่า P นั้นขึ้นอยู่กับ V แต่การที่เราไม่ต้องกังวลการลดของมูลค่าพอร์ต เพราะในระหว่างที่มูลค่าพอร์ตของเราลดลง เราสร้าง F ได้ จากการ Short พอร์ต หรือ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้า V ลดลง เราต้องสร้าง F ให้ได้ในสัดส่วนที่ "สมดุล" กับอัตราการลดค่าของ V สำหรับการนำ กสงสฝ กลับมาซื้อหุ้นเพิ่ม จึงเป็นการเพิ่ม V ซึ่งก็เป็นไปตามสมการคือสามารถเพิ่ม P ได้ นอกจากนั้นยังสามารถเพิ่ม F ในรอบการวัดต่อไปอีกด้วย นอกจากนั้นสมการนี้ยังสนับสนุน คำกล่าวที่ไว้ "ถือหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นเน่า" เพราะ ถ้าหุ้นขึ้นมูลค่าพอร์ตเราก็ขึ้นตาม ถึงในช่วงนั้นเราอาจทำ กสงสฝ ได้น้อย แต่ค่า P ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ เพราะค่า V เพิ่ม จากที่กล่าวมาทั้งหมด เราสามารถใช้ P ในการตรวจวัดผลในการทำ DSM ได้เป็นอย่างดี (จริงๆ คงวัดการลงทุนแบบอื่นได้อีก แต่ตอนนี้คิดได้เท่านี้ หือๆ) นั้นคือ ในแต่ละรอบการตรวจวัด ควรรักษาระดับของค่า P ให้ได้ และ มุ่งเป้าหมายเพื่อที่จะเพิ่มค่า P นั้นหมายถึง ทั้งมูลค่าพอร์ต (V) และ กสงสฝ (F) เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม ตอนนี้ผมคิดได้เท่านี้หละครับ ใครมีความคิดอย่างไรก็ขอคำชี้แนะด้วยครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 13 พ.ค. 48 23:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สมองผมเริ่มรับรู้ได้นิดหนึ่งแล้วอะครับ เอาอีก   เอาอีก .................................. ผมจะได้วิ่งมานั่งหน้าห้องกะเค้าสักที .............................. อิอิ จากคุณ : เด่นศรี - [ 14 พ.ค. 48 10:29:50 ]

ความคิดเห็นที่ 12 สวัสดีค่ะพี่เด่นฯ ... พี่เด่นฯ จำตัววัดผลทั้ง 7 (หรือ 8) ของพี่เด่นฯ ได้มั้ยคะ ... อยากให้พี่เด่นฯ ลองจัดหมวดหมู่ จาก กำลังแห่งความมั่งคั่งดูน่ะค่ะ ... จะรอฟังนะคะ .... แล้วพี่เด่นฯ จะเจออะไรในกอไผ่ ... รอฟังนะคะ เผื่อจะได้ร่วมกันตื่นเต้น ...อิอิ.. ****** น้องโกโก้คะ ... เยี่ยมยอดมากๆเลยค่ะ (เยี่ยมยอด ที่ได้เริ่มฝึกคิด และนำมาประยุกต์กับการลงทุนของตนเองจริงๆ) ที่น้องโกโก้ บอกว่า .... "ถ้าคิดต่อไปอีกการที่ไม่สนใจมูลค่าพอร์ตเลย ก็ไม่ถูกต้องซะทีเดียว เพราะค่า P นั้นขึ้นอยู่กับ V แต่การที่เราไม่ต้องกังวลการลดของมูลค่าพอร์ต เพราะในระหว่างที่มูลค่าพอร์ตของเราลดลง เราสร้าง F ได้ จากการ Short พอร์ต หรือ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้า V ลดลง เราต้องสร้าง F ให้ได้ในสัดส่วนที่ "สมดุล" กับอัตราการลดค่าของ V" ----> ลองคิดต่ออีกนิดนะคะ จะประโยคนี้ ... ว่าจะสร้าง "กำลัง" ได้จากอะไรได้อีก ********** จากประโยคที่น้องโกโก้ บอกว่า ... "นอกจากนั้นสมการนี้ยังสนับสนุน คำกล่าวที่ไว้ "ถือหุ้นวิ่ง ทิ้งหุ้นเน่า" เพราะ ถ้าหุ้นขึ้นมูลค่าพอร์ตเราก็ขึ้นตาม ถึงในช่วงนั้นเราอาจทำ กสงสฝ ได้น้อย แต่ค่า P ก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ เพราะค่า V เพิ่ม" อยากให้น้องโกโก้ ลองคิดเพิ่มอีกว่า ........ สมการนี้ จะสนับสนุน ประโยคอื่นๆ (ทุกประโยค) ได้อย่างไรบ้าง .... และสนับสนุน แนวทางของโรเบิร์ต (ที่อ่านจากหนังสือแต่ละเล่ม ที่น้องโกโก้ได้อ่าน) ได้อย่างไรบ้าง ........ รวมถึงแนวทางการลงทุนทุกรูปแบบเลยค่ะ .... ******* เริ่มต้น ง่ายๆ อย่างนี้ก่อน .... แล้วค่อยๆประยุกต์กับชีวิตประจำวันไปเรื่อยๆ .... มันหลากหลาย ซับซ้อน ขึ้นกับจินตนาการและการนำไปใช้ .... ลองดูนะคะ อยากให้มาเล่าสู่กันฟังอีกค่ะ .... รอฟังน้องโกโก้ และทุกๆท่านเลยนะคะ ******** สวัสดีค่ะ น้อง DerDen .... (อีกครั้ง) สำหรับเรื่อง ที่น้องสงสัยเกี่ยวกับ "หัวใจ" + "เน้นย้ำ" + "กำกับ" + "กำลัง" ---> ก็ไม่แปลกนะคะ ที่จะสงสัย .... แต่อย่าให้ มันขัดขวางการเรียนรู้ ฝึกตนนะคะ .... สิ่งที่เป็นหัวใจ ... อย่างที่น้องเข้าใจ ก็ถือว่าไม่ผิดนะคะ .. เพราะมันคือ หัวใจ มันคือทุกอย่าง มันคือสิ่งสำคัญ จึงเรียกว่า "หัวใจ" .... เหมือนกับ การทำงานด้วย "หัวใจ" .... ถ้าเมื่อไร ไม่มี "หัวใจ" ให้กับงาน .... งานก็ไม่มีคุณค่า ... จริงมั้ยคะ รวมถึงการดำรงชีวิตทุกๆด้านของน้อง DerDen ด้วยค่ะ ******** เนื่องจาก สิ่งที่เป็นหัวใจ นั้นค่อนข้างซับซ้อน โดยเฉพาะเรื่องวงจรแห่งเหตุและผล (วงจรสินทรัพย์รูปแบบต่างๆ) ---> ดังนั้น อาจไม่เข้าใจ "หัวใจ" ทั้งหมด แต่ก็สามารถ พัฒนา ฝึกตนไปได้เรื่อยๆ .... จึงต้องมี หลักที่สอง (สิ่งที่ต้อง "เน้นย้ำ") ******* เหมือนกับว่า ... ถ้าเทียบ คำอธิบายทั้งหมด ที่พี่ได้พูดมาทุกครั้ง .... จากหลักทั้งสี่ .... พี่จะพูดถึงหลักที่สอง มากที่สุด คือ เกี่ยวกับการเรียนรู้ จากความผิดพลาด จากความสำเร็จ จากความล้มเหลว จากทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ..... เป็น "การเรียนรู้ ฝึกตน 3 ด้านตลอดชีวิต" ---> เรื่องนี้ พูดบ่อยมาก เวลาไปสอนหนังสือ หรือเวลา พูดคุยกับคนรอบข้างในชีวิตประจำวัน เทียบแล้ว พูดบ่อยกว่าเรื่อง "หัวใจ" ด้วยซ้ำ ... เพราะเข้าใจได้ง่ายกว่า ... เกิดขึ้นจริง เห็นได้จากสิ่งที่ผ่านเข้ามาจริงๆในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้น อสังหาฯ ธุรกิจ เพื่อนร่วมงาน องค์กร ครอบครัว สังคม ฯลฯ ไม่ว่า น้อง DerDen จะประสบความสำเร็จ หรือพบกับความล้มเหลว .... ก็ไม่ได้จบสิ้นด้วยผลลัพธ์ของมัน .... แต่จะ "หลุดพ้น (อิสรภาพที่แท้จริง)" ได้ด้วยการ เรียนรู้ ฝึกตน พัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ... จึงกลายเป็นสิ่งเน้นย้ำ ... พูดบ่อยๆๆ ... ใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักลงทุนทุกๆๆคน ... จึงเป็นสิ่งที่เน้นย้ำ (ยังมีรายละเอียดอีกเยอะ แต่สรุปให้เห็นภาพรวม) เหมือนกับ น้อง DerDen (สมมติ) น้องคิดว่าตัวเองยังไม่เข้าใจอะไร (ชีวิตของน้องเอง) --> ก็ต้องเรียนรู้ ฝึกตน ต่อไป ตลอดเวลา ตลอดชีวิต ... จึงเน้นย้ำด้วยเหตุนี้ ... เตือนตัวเอง ย้ำกับตัวเอง ให้เรียนรู้กับความสำเร็จและความล้มเหลว และกับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ... แล้ว วันหนึ่ง การเรียนรู้ ฝึกตน ก็จะทำให้เข้าใจ "หัวใจ" ได้มากยิ่งขึ้น สิ่งที่ต้องเน้นย้ำ จึงเน้นย้ำ ได้กับนักลงทุนทุกคน แม้จะยังไม่เข้าใจ "สิ่งที่เป็นหัวใจ" หรือแม้ นักลงทุน ที่เข้าใจ และปฏิบัติตาม สิ่งที่เป็นหัวใจแล้วก็ตาม ... ก็ยังต้องเน้นย้ำกับตัวเองให้เรียนรู้ ฝึกตน ตลอดเวลา ตลอดชีวิตเลยทีเดียว *********** สิ่งที่กล่าวทุกๆครั้ง เวลาที่ให้คำแนะนำ ไม่ว่าจะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือรูปแบบใดๆก็ตาม .... ก็จะต้อง มีทุกครั้ง ที่จะต้อง กำกับไว้ตลอดเวลา .. เพราะบางครั้ง บางอย่าง มันดีมากๆ มันเหมาะกับนักลงทุนคนอื่น แต่อาจไม่เหมาะกับน้อง DerDen ... จึงต้องกำกับ "ทุกครั้ง" ... เน้นว่าทุกครั้ง คือ สร้างสมดุลของนักลงทุน สร้างสมดุลชีวิตด้วย 3 สิ่งพร้อมๆกัน มีอย่างเดียว ก็ไม่สมดุล บางคน มีความเพียรพยายามสูงมากๆๆ แต่ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็อาจเพียรพยายามไปในทางที่ผิด (เช่น เพียรพยายามในการฉ้อโกง เพียรด้วยความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ) บางคน มีสติอย่างยิ่ง แต่ไม่สมดุลกัน เช่น มีสติในการเงื้อมมีดฆ่าฟัน อย่างมีสติ ... แบบนี้ ก็คงไม่ถูกต้อง หรือมีสติในการเทรดหุ้น ด้วยความโลภ แก้แค้น ฯลฯ ลองยกตัวอย่างดูเองนะคะ ยังมีอีกเยอะ มันจึงต้องสมดุล ทั้ง 3 สิ่ง และสมดุลกับนักลงทุนคนนั้นด้วย ... สิ่งนี้ต้องมีอยู่เสมอ ทุกๆครั้ง จึงต้องกำกับทุกครั้ง น้อง DerDen กำลังทำงานที่ได้รับมอบหมาย ก็ต้องทำด้วยความเพียร, ด้วยสติ , ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง "ความเข้าใจ" ---->  "ความคิด" ----> "การกระทำ" Understanding ----> Thinking ----> Acting ******** ความเข้าใจที่ถูกต้อง เปรียบเสมือน แผนที่ หรือเข็มทิศ บอกทิศทาง สติที่ถูกต้อง เปรียบเสมือน เครื่องบังคับทิศทาง เช่น พวงมาลัยรถยนต์ หรือหางเสือเรือ ความเพียรที่ถูกต้อง เปรียบเสมือน เครื่องยนต์ เครื่องขับเคลื่อน ********** สามสิ่ง ต้องมีพร้อมกัน ต้องสร้างสมดุลทุกๆครั้ง ... จึงเป็นสิ่งที่ต้อง "กำกับ" ให้เกิดสมดุลทุกๆครั้ง และสมดุลกับตัวนักลงทุนแต่ละคน .... นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ... ทำไม วิธีการเดียวกัน จึงไม่เหมาะกับนักลงทุนแต่ละคน ... เพราะวิธีการต่างๆ ต้องกำกับทุกครั้ง ด้วย 3 สิ่งนี้ และสร้างสมดุลของนักลงทุนแต่ละคน นักลงทุน แต่ละคน จึงต้องรับผิดชอบ (ประโยชน์และโทษ) จากการตัดสินใจของตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่ต้องกำกับ สำหรับนักลงทุนแต่ละคน ของใครของมัน ... ********* ส่วนเรื่อง กำลังแห่งความมั่งคั่ง จะว่าไป ... สิ่งนี้ ทำให้เป็นรูปธรรม มากยิ่งขึ้น ... เพราะมีรายละเอียด เกี่ยวกับ การจัดสรรการลงทุนในชีวิตของนักลงทุนแต่ละคนเลยทีเดียว เช่น asset set ของนักลงทุนแต่ละคน , การบริหารจัดสรรการลงทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วย "ข้อเท็จจริง + วางแผน + ประเมินผล ปรับปรุง" ---> จาก "กำลัง" แห่งความมั่งคั่ง ----> investmnent management + asset allocation ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดมุ่งสู่ เป้าหมายที่แท้จริง ... ไม่เพียงเพื่ออิสรภาพทางการเงิน แต่เพื่ออิสรภาพแท้จริงของชีวิต ******** เขียนมายาวอีกละ ... คงไม่เบื่อซะก่อน ... เกรงใจมากๆๆค่ะ ใครมีคำถาม รบกวน ส่งในกระทู้นี้ ได้เลยนะคะ ... (ไม่ต้องขึ้นกระทู้ใหม่นะคะ เกรงใจ เปลืองเนื้อที่) ******** สรุปสำหรับวันนี้คือ .... "หลัก 4 x 3 .. ความมหัศจรรย์ ขึ้นกับการนำไปใช้ให้เกิดขึ้นจริง ---> เปิดประตูสู่โลกนักลงทุน ด้วยตัวคุณเอง" ไม่เช่นนั้น มันก็คือ ตัวหนังสือธรรมดาๆนั่นเอง ********* รอฟัง ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง ของนักลงทุนแต่ละคน นะคะ ............ รอ ร้อ รอ ........ นานเท่าไร ก็จะรอ ....... เพราะนักลงทุนได้รับคุณค่าทันทีที่ได้ถ่ายทอดกันและกัน ........ และคุณค่าของการลงทุนไม่กำหนดระยะเวลา ....... สดใส เบิกบาน ทุกขณะที่ได้ลงมือ (ลงทุน) ********* ขอบคุณค่ะ ..... รอฟังแลกเปลี่ยนความเห็นค่ะ แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 48 12:16:18 จากคุณ : คนชื่อนินจา - [ 14 พ.ค. 48 12:08:01 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอแย่งพี่เด่นศรีตอบก่อน คงไม่ว่ากันนะครับ ถ้าผิดพลาดประการ รบกวนพี่เด่นศรีแก้ไขให้ถูกต้องด้วยนะครับ ส่วนการบ้านในส่วนของผมกำลังคิดอยู่ ถ้าใครตอบได้ก็ช่วยๆ กันก็ได้นะครับ ตัววัดทั้ง  8  ตัวคือ 1. เงินสำรองหนี้  25%     ( ต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน  ไม่มีคำว่าน้อยลงแม้แต่บาทเดียว ) ส่วนนี้เป็นการเพิ่ม Value โดยที่ Value (ในรูปแบบของเงินสด) ส่วนนี้จะไม่สามารถสร้าง F แต่จะเป็นการป้องกันความเสี่ยง เพราะถ้าเราไม่สามารถบริหารสร้าง F ในระดับที่เหมาะสมกับ Value (ในรูปแบบของหุ้น) ที่ลดลงได้ การเก็บเงินไว้เฉยๆ จึงเป็นการป้องกันความเสี่ยง 2. จำนวนหุ้น    ( ต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน    เพิ่มทั้งปริมาณ และ ชนิดของหุ้น ) อันนี้ชัดเจน การเพิ่มปริมาณ และ ชนิดของหุ้น เป็นการเพิ่มของ V (ในรูปแบบของหุ้น) 3. ปริมาณ  กสงฝ  ที่ได้รับแต่ละรอบของการซื้อคืน   ต้องมากขึ้น  หรืออย่างนัอย  ก็คงที่  ( ห้ามน้อยลง ) กสงฝ แต่ละรอบ คือ Vol ซึ่งแปรผันตรงกับ F 4. ปริมาณ  กองหลัง    จะต้องลดลงเรื่อย ๆ   (  คือซื้อคืนได้มาเรื่อย ๆ ) การซื้อคืนได้มาเรื่อยๆ นั้นหมายถึง การเพิ่มรอบในการสร้าง F คือ Vel ซึ่งแปรผันตรงกับ F เช่นกัน 5. ปริมาณอสังหา ฯ   ที่เป็นกำไรแถมมา  ต้องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้เป็นการสร้าง Value และ ยังสามารถใช้เพิ่ม F ได้ (จากค่าเช่า) ป.ล. ส่วนอสังหาฯ ผมยังประยุกต์หลัก Power of Wealth ไม่ได้ เพราะไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ครับ ผมไม่แน่ใจว่า Value ของอสังหาฯ นี้คือ ค่าประเมินหรือเปล่า หรือต้องร่วมอะไรเข้าไปอีก และ F ของอสังหาฯ นี้เป็นค่าเช่าอย่างเดียวเลยเปล่า ท่านผู้รู้โปรดชี้แนะด้วยครับ 6. หนี้สิน   ไม่ว่าหนี้สินใด ๆ  ต้องทะยอยลดลงเรื่อย ๆ ส่วนนี้เป็นการเพิ่ม F ครับ เพราะหนี้ลด F เพิ่ม 7. แหล่งเงินทุน   จะต้องเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ  ( นั่นคือ  มีเงินก้อนใหม่เสนอมาให้เรามากขึ้นเรื่อย ๆ  จากผลงานของเรา ) น่าจะเป็นการเพิ่ม V เพื่อนำมาใช้สร้าง F 8. มูลค่าพอร์ต     จะมากหรือน้อยลงก็ได้   แต่  .....  ถ้าน้อย  ต้องสามารถเพิ่มได้    ถ้ามากเกิน  ต้องสามารถลดมูลค่าพอร์ตลงได้ด้วย อันนี้หมายถึง พอร์ต จะมากหรือน้อยลงก็ได้ แต่ ต้องสมดุล คือ รักษาระดับของ P ให้ได้คงที่ หรือ เพิ่มขึ้น แก้ไขเมื่อ 14 พ.ค. 48 15:35:24 จากคุณ : KoKoMan - [ 14 พ.ค. 48 15:33:26 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คุณโกโก้แมน เยี่ยมจริงๆครับ ส่วนพี่นินจา (จริงๆไม่อยากเรียกพี่หรอกครับ หน้าอ่อนกว่าผมอีก แต่พี่ก็เกิดก่อนเลยต้องเรียก และน้อมรับทุกอย่างว่าพี่นินจาเป็นพี่สาวที่แสนดีจริงๆ) ไม่เบื่อหรอกครับได้อ่านข้อความของพี่แล้วแม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ก็ชอบอ่าน เหมือนกับดูหนังเรื่อง เดอะแมททริกซ์ เลยครับ คำพูด แนวคิด แม้ผมจะดูไม่รู้เรื่อง แต่ขอดูเอามันก็ยังดีครับ เผื่อวันใดวันหนึ่งจะเข้าใจมากขึ้น และจะได้กลับไปดูอีกอย่างเข้าใจลึกซึ้ง... นำข้อความคุณโกโก้แมนไปแกะต่อก่อนนะครับ เดี๋ยวมีข้อสงสัยจะมาถามอีก ดูเผินๆก็ค่า P ล่ะครับตอนนี้ ดูเหมือนคำว่าสมดุลย์จะไปมุ่งตรงค่า V กะ F  แต่ตัว P ผมยังคงงงว่ามันจะถูกกำหนดด้วยอะไร ถ้ายังเป็นตัวแปรตามระหว่าง V F มันก็ไม่รุ้ว่าเรามี P ที่ตรงไหน งงครับ ไปคิดต่อ  เดี๋ยวมาอีกครับ จากคุณ : DerDen - [ 15 พ.ค. 48 00:05:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอ เซฟ ไปถอดรหัสต่อครับ จากคุณ : variable - [ 15 พ.ค. 48 13:51:36 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อืม... คือผมคิดเอาเองอะ ไม่รู้ถูกหรือผิด และ ไม่รับประกันความถูกต้องด้วย ใครจะเอาไปคิดต่อ หรือ เอาไปใช้ ก็ระวังด้วยนะครับ ถ้าใครคิดว่าไม่ใช่ ก็โต้แย้งได้เลยนะครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 15 พ.ค. 48 22:15:54 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอโชว์วัวต่อนะครับ จากที่ได้ลองมั่วไปคราวก่อน เรื่อง Power of Wealth ทำให้ผมลองกลับไปนึกเทียบกับทฤษฏีของไฟฟ้าอย่างจริงจัง เลยถ้าให้ผมนึกเห็นภาพของ Power of Wealth ที่พี่นินจาบอกได้ชัดเจนขึ้น ดังนั้นอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนได้ฟัง ถ้าผิดพลาดประการใดต้องขออภัยล่วงหน้าครับ จริงๆ กระแสไฟฟ้าเกิดจากการไหลของอิเล็กตรอนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งการไหลนั้นเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แต่มนุษย์เราต้องการทราบว่าเหตุใดจึงเกิดการกระแสไฟฟ้า อะไรเป็นสาเหตุทำให้กระแสไฟฟ้าไหลมากขึ้นหรือไหลน้อยลง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงได้ทดลองและศึกษา จึงทราบว่ากระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นเนื่องจากความต่างศักย์ระหว่างสองจุดไม่เท่ากัน(V)  และกระแสไฟฟ้าจะไหลจากศักย์สูงไปหาศักย์ต่ำ และนอกจากนั้นยังมีค่าความต้านทาน(R) ในตัวนำเป็นตัวกำหนดปริมาณการไหลของกระแสไฟฟ้าจึงทำให้ได้เป็นสมการ V = IR และได้มีการกำหนดค่าพลังของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า (P) คือ ผลคูณของความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า หรือ P = VI ดังนั้นพลังแห่งความมั่งคั่งตามที่พี่นินจาได้อธิบายไปแล้ว คือ การที่เราพยายามอธิบายปรากฏการณ์การไหลของกระแส (อะไรก็ได้) ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจและสามารถควบคุมมัน เพื่อที่จะสร้างพลังแห่งความมั่งคั่ง เหมือนกับการที่เราเข้าใจการไหลของกระแสไฟฟ้าเพื่อที่จะนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จากความเข้าใจของผม ขอยกตัวอย่างของ DSM นะครับ (หือๆ นึกเอาอยู่เรื่องเดียว) สิ่งที่เราสามารถเห็นเป็นรูปธรรม คือ F (กระแสเงินสดแฝง) และ V (มูลค่าพอร์ต) ดังนั้นในช่วงเวลาหนึ่งๆ เราจะสามารถนำทั้งสองค่านี้มาใช้ในการหาค่า P (พลังแห่งความมั่งคั่ง) และ C (ต้นทุนในการลงทุน) เพื่อที่ทำความเข้าใจถึงประสิทธิภาพในการลงทุนในช่วงเวลานั้น C (ต้นทุน) ซึ่งเปรียบได้การ R (ความต้านทาน) ซึ่งค่าดังกล่าวจะบอกถึงความสามารถในการสร้างกระแส (Flow) ของคุณค่า (Value) ณ เวลาหนึ่งๆ C = Value/Flow เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองให้ค่า Flow = 0 และ Value มีค่ามากกว่า 0 หรือ ให้ Value มีค่ามากกว่า Flow มากๆ จะทำให้ ค่า C = Infinity หรือ มีค่ามากๆ นั้นบอกถึงว่า ณ ขณะนั้นเรามีต้นทุนที่สูงมาก จนไม่สามารถสร้าง Flow ได้เลย หรือ สร้างได้น้อยมากๆ ถ้าลองให้ค่า Value = 0 และ Flow มีค่ามากกว่า 0 หรือ ให้ Flow มีค่ามากกว่า Value มากๆ จะทำให้ C = 0 ซึ่งหมายถึงเราไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรเลยหรือใช้น้อยมากๆ ในการสร้าง Flow ค่า C น้อยหรือมาก ไม่ได้บอกว่าการลงทุนนั้นดีหรือไม่ดีเสมอไป แต่จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของค่า Value และ Flow มากกว่า ซึ่งเป็นไปตามสมการของพลังแห่งความมั่งคั่ง P = VI นั้นคือเราพยายามเพิ่ม Value และ Flow เพื่อค่า P จะได้มากขึ้น และต้องควบคุมให้ต้นทุน C ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จากตัวอย่างทั้งสองที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ค่า P = 0 เพราะ Flow = 0 ในตัวอย่างแรก และ Value = 0 ในตัวอย่างที่สอง สำหรับการบ้านที่พี่นินจาให้ผมมา ขอตอบข้อที่ถามว่า "จะสร้างกำลังจากอะไรได้อีก" เท่าที่นึกในตอนนี้ก็คือ 1. เพิ่ม Flow โดยที่ Flow เกิดจาก Vol และ Vel นั้นก็หมายถึงเพิ่ม Vol และ Vel 2. เพิ่ม Value แต่ในกรณีของ DSM การสร้าง Flow จะเกิดจากการลดค่าของ Value ดังนั้นโดยปกติ Flow จะแปรผกผันกับ Value นั้นคือ ถ้า Flow มาก Value จะน้อย และถ้า Flow น้อย Value จะมาก ดังนั้นถ้าเราต้องการเพิ่ม P จะต้องทำให้การลดค่าของ Value ในอัตราเท่าเดิม สามารถสร้าง Flow ที่มากขึ้นกว่าเดิม (เพิ่มทุน) หรือการที่เราสามารถสร้าง Flow ได้ในขณะที่ช่วงนั้น Value มีอัตราที่เพิ่มขึ้น (เล่น DSM ในขาขึ้น) ส่วนอีกข้อหนึ่งต้องขอเวลาก่อนครับ เพราะกำลังกลับไปอ่าน Rich Dad ตั้งแต่เล่มหนึ่งใหม่อีกครั้ง ถ้าได้เรื่องอย่างไงจะกลับมาตอบอีกทีครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 16 พ.ค. 48 03:34:54 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สวัสดีค่ะน้องโกโก้ ... ยินดีที่ได้ฟังความเห็นของน้องนะคะ ... สำหรับประโยคนี้ ของน้องโกโก้ ... "ค่า C น้อยหรือมาก ไม่ได้บอกว่าการลงทุนนั้นดีหรือไม่ดีเสมอไป แต่จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของค่า Value และ Flow มากกว่า ซึ่งเป็นไปตามสมการของพลังแห่งความมั่งคั่ง P = VI" ---> มันยังมีความหมายที่แอบแฝงอยู่ ลองนึกต่อนะคะ ว่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการลงทุนจริงๆได้อย่างไร ******* สิ่งที่มีค่ามาก สำหรับนักลงทุนคนหนึ่ง อาจมีค่าน้อยสำหรับคนอื่น .... จงสร้างสมดุล สำหรับนักลงทุนแต่ละคน ด้วยสิ่งที่มีคุณค่า ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตและทำให้เกิดการเรียนรู้ ฝึกตน ******* ขอบคุณค่ะ รอฟังต่อ ทุกๆท่านเลยค่ะ จากคุณ : คนชื่อนินจา - [ 16 พ.ค. 48 13:33:20 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอ  โชว์  วัว  บ้างนะ  น้อง นิน  อิอิ พี่เริ่ม เห็นภาพ  การไหล  และ  การขยายของพลังแล้ว ถ้า  มูลค่า นิ่งๆ  แล้วไม่มีการไหลก็จะไม่เกิดกำลัง แต่ถ้า   ไม่มีมูลค่า หรือ  ต้นทุน (C)  ก็ จะเกิดการไหลไม่ได้   ดังนั้น   ต้องมีทุกอย่างไปพร้อมๆ  กัน   เมื่อเกิดการไหลแล้ว   แล้วเราก็สร้างความสมดุลในการไหล เราก็จะเร่งการไหล  ให้ไหลเร็วเท่าไหร่ก็ได้ พี่เปรียบเหมือน   มีท่อ  เป็นวงกลม  (ท่อน้ำ) สมมติว่า    ท่อน้ำ   ที่ต่อกันเป็นวงกลมนี้    จุน้ำได้  สามลิตร แล้ว  เราสามารถ  หาปริมาณน้ำที่เหมาะสมได้คือ  สามลิตร (ตรงนี้ผม ถือว่า   ต้นทุนผมเหมาะสมแล้วนะคับ) ดังนั้น   มันก็จะ  ขึ้นกับ  อัตตราการไหลแล้วหละคับ  (F) ส่วนมูลค่า  ผมยังคงไม่ค่อยได้สนใจนะคับ แต่ผมเข้าใจว่า    เมื่อ   เรา  สามารถ เร่ง  F  ไปเท่าไหร่ก็ได้  ถ้ายังอยู่ในสมดุล     มันจะ เกิด   P   อย่างมหาศาล ผมคิดว่า    มันจะเกิด  พลังพิเศษบางอย่างขึ้นมา (ผมรู้สึกเอง)  ว่า  ค่าตัวแปลทุกอย่าง  จะเพิ่มอย่าง  มากเลยคับ  อิอิ ผมพิสูนจ์สูตรไม่เป็นคับ  อิอิ ผม ได้แต่ใช้ความเข้าใจ  และสร้างภาพในสมอง  คับ  อิอิ ช่วย  ต่อยอดให้ด้วยนะคับ   (ถ้ายังงัยก็ ฟัง คน  ต๊องๆๆ   เพ้อไปก่อนนะคับ  )( ผมเอง อิอิ) จากคุณ : Vprawat - [ 18 พ.ค. 48 12:27:39 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สำหรับคำว่า "มูลค่า" .... มาขอเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ เพราะอยากให้เข้าใจธรรมชาติของกระแสหมุนเวียนของเงินสด หรืออะไรก็ตาม ..... (เพราะทุกอย่างในเอกภพนี้ ประกอบด้วยสสารทั้งสิ้น) มูลค่า นั้นเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เกิดกระแสเงินสดหมุนเวียนนะคะ ประจุไฟฟ้าจะเคลื่อนที่อย่างมีทิศทาง เมื่อมีความต่างศักย์ไฟฟ้า ระหว่างสองจุด กระแสเงินสดหมุนเวียนก็เช่นกันค่ะ .... จะเคลื่อนที่ได้ เมื่อเกิดความแตกต่างระหว่างมูลค่า .... เพียงแต่ว่า บางครั้งอาจเป็นมูลค่าแบบขายปลีก หรือขายส่ง หรือเป็นระบบ ก็ขึ้นกับประเภทของมูลค่า... ตัวอย่างเช่น การซื้อมาขายไป ก็เกิดจากความต่างของมูลค่าระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย จึงเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนขึ้น แล้วเกิดการ flow ของเงิน ... หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, ตราสารการเงิน, การจับจ่ายใช้สอย, การดำรงชีวิตประจำ ... จะเกิดกระแสหมุนเวียนของเงินได้ ก็เนื่องจากความต่างของมูลค่าที่เกิดขึ้น ... ****** จะเห็นได้ว่า มูลค่า กับ กระแสหมุนเวียน จึงเกี่ยวข้องกันตามธรรมชาติ (คือมันเกี่ยวข้องกันเอง เป็นวงจรของการหมุนเวียน เป็นวงจรสินทรัพย์ในรูปแบบต่างๆ) ดังนั้น มูลค่าจึงยังเป็นสิ่งที่ต้องสนใจ (เพราะมูลค่า เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับกระแสหมุนเวียน) .... จะเรียกให้ชัดยิ่งขึ้น คือ "การสนใจมูลค่า แต่ไม่ยึดติดที่มูลค่า" น่าจะทำให้เข้าใจเกี่ยวกับ "กำลังแห่งความมั่งคั่ง" ได้ดียิ่งขึ้น นักลงทุนสนใจมูลค่า (แต่ไม่ยึดติดมูลค่า ว่า มูลค่าจะมาก หรือน้อย ....) นักลงทุนวางแผนอย่างเป็นระบบที่สอดคล้องกัน ระหว่างมูลค่ากับกระแสหมุนเวียน ... (เพราะมันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันตามธรรมชาติอยู่แล้ว) ช่วงแรก การไม่ยึดติดมูลค่า อาจรู้สึกว่ายาก ... จึงใช้วิธีไม่สนใจไปก่อน ก็สามารถช่วยได้ (อันนี้ขึ้นกับนักลงทุนแต่ละคน) .... แต่อย่างที่บอกว่า "มูลค่าและกระแสหมุนเวียนนั้นสัมพันธ์กันตามธรรมชาติอยู่แล้ว" ... ดังนั้น อยากให้ลองวางแผนดูนะคะ ... ว่าจะสร้างประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ได้อย่างไร ให้เกิด "กำลัง" ... ******* งง มั้ยอะ ... เขียนเอง กลัวคนอ่านจะงง... เขียนอะไรผิดพลาดประการใด โปรดอภัยด้วยนะคะ รอฟังต่อค่ะ ... ขอบคุณค่ะ สรุปวันนี้ว่า ........ ********************************************************************************************************** "มูลค่า" + "กระแสหมุนเวียน" + "ต้นทุน" ----> ความสัมพันธ์สามอย่าง เพื่อสร้างกำลังแห่งความมั่งคั่ง ......... *********************************************************************************************************** "นักลงทุนสนใจมูลค่า (สนใจแต่ไม่ยึดติด) เพื่อสร้างระบบที่สัมพันธ์กันกับกระแสหมุนเวียน.... เพราะมูลค่ากับกระแสหมุนเวียนสัมพันธ์กันตามธรรมชาติของมันอยู่แล้ว" *********************************************************************************************************** แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 23:45:56 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 48 23:44:45 จากคุณ : คนชื่อนินจา - [ 18 พ.ค. 48 23:38:11 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ชอบฟังหมอวัติเพ้อ ...อิอิ... หรือว่า เราก็ติ๊งต๊องส์ด้วยนิ ... อิอิ จากคุณ : คนชื่อนินจา - [ 18 พ.ค. 48 23:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 22 หลังจากที่ได้อ่าน Rich Dad (อีกรอบ) ไปได้นิดหน่อย และ ใช้หลักการพลังแห่งความมั่งคั่ง เปรียบเทียบแนวคิดและวิธีการที่กล่าวไว้ในหนังสือ ตอนนี้นึกออกอยู่วิธีการหนึ่งที่ตรงตามหลักการพลังแห่งความมั่งคั่ง (จริงๆ คงมีอีกเยอะอะครับ) เลยมาเขียนกันลืมก่อนครับ นั้นคือแนวคิดที่ว่า "ซื้อบ้านสี่หลัง แล้วเปลี่ยนเป็นโรงแรม" จาก ตัวอย่าง ที่โรเบิร์ตพูดไว้ในหนังสือ คือ การที่กู้เงินซื้อบ้านหลังเล็กๆ ก่อนและเก็บค่าเช่า ให้เพียงพอกับดอกเบี้ย และเมื่อเวลาผ่านไป ราคาบ้านแพงขึ้น จึงขายบ้าน แล้วนำเงินนั้นไปวางดาวน์เพื่อซื้อบ้านหรือคอนโด ที่แพงขึ้น และ สามารถเก็บค่าเช่าได้มากกว่า จากนั้นก็ทำแบบนี้ไปเลยๆ จากที่กล่าวมาจะตรงกับสูตร P=FxV เพราะใน F(ค่าเช่า) และ V(ราคาประเมิน) จะเพิ่มขึ้นเลยๆ ค่า P พลังแห่งความมั่งคั่งจึงเพิ่มตาม นอกจากนั้นยังเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีได้อีกด้วย (เรื่องภาษี นี้ผมไม่รู้ว่าในไทยเหมือนกับอเมริกาหรือเปล่า พี่นินจาช่วยชี้แนะด้วยครับ) โชว์วัวแค่นี้ก่อนครับ ถ้านึกได้เมื่อไรจะมาโชว์ใหม่ครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 20 พ.ค. 48 00:38:12 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอแก้คำพูดที่พูดไว้ในความคิดเห็นที่ 10 ที่ว่า "การซื้อไปขายมา ไม่ทำให้เกิด P เพราะ F = 0" จริงๆ การซื้อไปขายมา ก็เกิด F เหมือนกันนั้นคือ กำไรส่วนต่าง แต่การที่การเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรนั้นสร้างพลังแห่งความมั่งคั่งได้ยาก เพราะ นักเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรส่วนใหญ่ จะสนใจแต่ F (กำไร) อย่างเดียว แต่กลับไม่สนใจ V (ปริมาณหุ้น) ซึ่งถึงตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึงคุณ MudleyGroup ผู้ซึ่งมีแนวคิดคล้ายกับคุณเด่นศรีคือ เน้นเล่นหุ้นเพื่อเพิ่มปริมาณหุ้น แต่วิธีของคุณ MudleyGroup นั้นใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและคาดเดาตลาด (ถ้าใครยังไม่เคยอ่านกระทู้ของคุณ MudleyGroup ลองไปหาอ่านดูนะครับ) ซึ่งจะมองเป็นการเก็งกำไรก็ได้ แต่เป็นการเก็งกำไรที่สอดคล้องกับหลักการกำลังแห่งความมั่งคั่ง นั้นคือ สนใจทั้ง V และ F ซึ่งคุณ MudleyGroup ก็แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จจากการที่ทำเงินจาก 4 หมื่น เป็น 10 ล้าน (ตอนนี้ได้ข่าวว่าไปทำงานที่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว) ดังนั้นเลยสรุปว่า จะเล่นหุ้นแบบไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักการของพลังแห่งความมั่งคั่ง P = FxV = (F^2)xC = (V^2)/C แหะๆ ยิ่งเขียนยิ่งงง ถ้าใครไม่เข้าใจก็ไม่ต้องตกใจ เพราะคนเขียนก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน รอท่านอาจารย์พี่นินจา มาชี้แนะต่อครับ จากคุณ : KoKoMan - [ 20 พ.ค. 48 01:20:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 จากที่  น้องนิน   บอกว่า  ไม่ยึดติดมูลค่านะคับ ทำให้เข้าใจเกี่ยวกับ  การ ไหล  ของสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น เปรียบดัง   น้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ  ฉันใด  เงินก็ไหลไปหาที่ที่มีมูลค่ามากฉันนั้น ดังนั้น  ช่วงนี้ เหมือนมองจาก เหนือวงจร ด้วยหลักเหตุและผล  (เริ่ม  ต๊องอีกแล้ว)  (ขอบคุณพี่ศา  นะคับ ช่วยเตือนเรื่อง  มองจาก นอกวง  อิอิ) เมื่อรู้  แนวทางการไหล   ลักษณะนิสัย   อารมณ์  และหลักเหตุและผล   (คนเรามักใส่อารมณ์กับสินทรัพย์) เราก็  สามารถ   กำหนดแผนการขึ้นมา  (ต่อจากข้อเท็จจริง)   และดำเนินตามแผนการ  พร้อมกับเรียนรู้  และปรับปรุงไปเรื่อยๆๆๆ    (เพ้ออีกแล้ว)(  ผมพยายามมองให้เป็น ทรัพย์สิน  โดยไม่ยึดติดกับ  อะไรเลย  ไม่ว่าจะเป็นเงิน หุ้น อสังหา หรือธุรกิจ)  ก็จะเข้ากับที่ น้องนิน บอกว่า   "ไม่ยึดติดมูลค่า"    แต่   "สนใจมูลค่า"  (การนำการเปลี่ยนแปลงของมูลค่ามาใช้ประโยชน์)   ซึ่ง พอเรา เข้าใจใน การใช้  "มูลค่า"  แล้ว   เรามาทำให้เกิด  Flow  ไปมา  (โดยใช้ต้นทุนเท่าที่เรามีอยู่นะคับ)   เราก็จะสร้างกำลังไปได้เรื่อยๆๆๆ   ไม่มีจบสิ้น   ยิ่งเราเรียนรู้  การไหลเวียน  มากขึ้น  คล่องขึ้น  พร้อม กับ  "มูลค่า"  (ก็มีการไหลไปไหลมา)   ยิ่งทำบ่อย เราก็จะยิ่งคล่องขึ้น  พร้อมกับการมีสมดุล  (อย่าคิดถึงแต่เงินอย่างเดียวนะคับ  อิอิ..)  ยิ่งทำยิ่งได้รับ   (ยิ่งให้ยิ่งได้รับ)  ได้รับในสิ่งที่เห็น (ได้รับในสิ่งที่ทำ) วนเวียน  ไปเรื่อยๆๆๆๆๆ   ไม่จบสิ้น     เหมือนกับที่  พวกเราทุกคน  หมุนเวียนความรู้กันอยู่นี้  ไปเรื่อยๆๆ   จะเข้ากับ  วงจรสินทรัพย์ (วงจรของเหตุและผล) รวมกับ   "กำลัง"    โดยมี  " 3 กำกับ"  และ  " 3  เน้นย้ำ"  อยู่อย่างสม่ำเสมอ   อ่า   ยิ่งคิดยิ่งมีความสุข     (จุดเริ่มต้น = จุดสิ้นสุดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง) พยายาม  อย่าง ยึดติดนะคับ   (อย่างยึดติด  กับ  หลักใดหลักหนึ่ง   เพราะต้องใช้  ทั้ง  หลัก  4x3  ทั้งหมด  มาผสมผสานกัน แล้วจะ  เกิด  สิ่งที่  ยิ่ง  กว่า  "กำลัง"   อย่างเดียวอีก     ) อ่า    เพ้อมากไปอีกแล้ว   แต่ก็มีความสุขคับ (น้อง  นิน   สงสัยพี่ใกล้แล้วหละ    คนข้างๆ  ถามว่าไปเที่ยงหลังคาแดงกันไหม  เดี่ยวเค้าไปส่งให้   อิอิ  ) ไปก่อนดีกว่า   รอฟังคนอื่นตอบต่อนะคับ   สนุกมาก (ฟังผม   เพ้อรอบสองอีกแล้ว  อิอิ   ติดกับดักเราอีกแล้ว  อิอิ) ************************************ จากคุณ : Vprawat - [ 20 พ.ค. 48 18:41:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สนใจมูลค่า แต่ไม่ยึดติดมูลค่า เหมือนกับสนใจความต่างศักดิ์ แต่ไม่ยึดติดว่าจะต้องเท่าใดใช่ไหมครับ ขอให้มีความต่างศักดิ์ ก็จะเกิดการไหลเวียนของกระแส เหมือนกับแบตเตอรี ที่มี V 12 Volt กับ ถ่านไฟฉาย ที่มี V 1.5 Volt ถ้าทิ่งไว้เฉยๆก็คงไม่เกิดประโยชน์ แต่ถึงจะมาก ถ้าไม่เกิดการ ไหลเวียนก็คงไม่เกิดประโยชน์ อย่างนี้เหรอครับพี่นินจา ยิ่งคิดยิ่งงง ยิ่งงงก็ยิ่งอยากคิด จากคุณ : DerDen - [ 21 พ.ค. 48 00:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จารย์  นิน  นิน  นิน  ไม่มาตอบต่อเลยแหะ  อิอิ (ยังรออยู่เสมอ) จากคุณ : Vprawat - [ 25 พ.ค. 48 20:03:32 ]