ความคิดเห็นที่ 1 คคห. ที่วิจารณ์งานเขียนนี้ ก็น่าสนใจครับ จาก : เจ้าชายแห่งเมืองใหม่ อีกด้านหนึ่งของเหรียญ สำนวนฝรั่งมีคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า "Too Much of A Good Thing" แปลเป็นไทยว่า "สิ่งที่เป็นประโยชน์มากเกินไป..." ซึ่งละไว้ให้ต่อว่า "...อาจเป็นโทษก็ได้" ความจริงสองประการดังที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจเป็นข้อสนับสนุนคำกล่าวข้างต้นก็เป็นได้ ความจริงประการแรก ศาสตราจารย์มันเดลที่ผู้เขียนได้กล่าวอ้างนั้น ได้ให้กำเนิดทฤษฏีหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาคก็ว่าได้ และทฤษฏีนี้ก็มีส่วนทำให้ท่านได้รับรางวัลโนเบล ทฤษฏีนี้ชื่อ แบบจำลองมันเดล เฟรมมิ่ง (Mundell-Fleming Model) แบบจำลองนี้กล่าวได้อย่างง่าย ๆ ว่า ประเทศใดยึดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบตายตัว (เช่นจีน) ประเทศนั้นจะต้องเสียสละเครื่องมือทางนโยบายการเงินอื่น ๆ เช่นดอกเบี้ย ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ตีความหมายในทางปฏิบัติก็คือ การที่จีนยึดอัตราแลกเปลี่ยนตายตัว ทำให้จีนไม่สามารถใช้ดอกเบี้ยเป็นตัวกระตุ้นหรือผ่อนเศรษฐกิจได้ (ในทางปฏิบัติอาจทำได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพ) ส่งผลลูกโซ่ทำให้ระบบธนาคารจีนจึงยังล้าหลัง ไม่พัฒนา ซึ่งถ้าถูกทิ้งไว้ในระยะยาวแล้ว ระบบธนาคารที่ล้าหลังจะเป็นตัวดึงเศรษฐกิจเข้าสู่วิกฤตได้ ความจริงประการที่สอง เมื่อประมาณ 15 ปีก่อน เมื่อค่าเงินเยนอ่อนมาก ๆ อันทำให้ภาคส่งออกของญี่ปุ่นบูมสุด ๆ นั้น เงินที่ได้จากการส่งออกไม่สามารถนำมาหมุนพัฒนาภาคเศรษฐกิจจริงได้ทันทั้งหมด เงินจึงตกอยู่กับสถาบันการเงินมาก เห็นได้จากรายชื่อของสถาบันการเงินใหญ่ระดับโลกเมื่อสิบปีที่แล้วจะมีชื่อญี่ปุ่นกว่าครึ่ง เหล่าธนาคารและสถาบันการเงินญี่ปุ่นก็ต้องปล่อยกู้กับภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคที่มิได้ก่อให้เกิดการผลิตจริงอื่น ๆ (เนื่องจากเกิดสภาพคล่องล้นระบบ และเมื่อเงินหามาง่าย-จากภาคส่งออก-จึงปล่อยกู้ง่าย ๆ ด้วย) อันทำให้เกิดฟองสบู่ขึ้น และในที่สุดฟองสบู่อสังหา ฯ ของญี่ปุ่นก็แตกเมื่อกลางทศวรรษที่ 90 อันทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นช้ำยาวอย่างที่เป็นอยู่ ฉะนั้นถ้ามองจากสาเหตุที่แท้จริงของวิกฤตญี่ปุ่นแล้ว ความจริงมาจากการที่ค่าเงินเยน "อ่อน" เกินไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วต่างหาก หาใช่การที่ญี่ปุ่นถูก "ผลัก" ให้ค่าเงินแข็งเกินไปไม่ เช่นเคย แม้ผู้วิจารณ์จะเห็นด้วยกับผู้เขียนในจุดยืนของจีนในขณะนี้ แต่ในอนาคตอันใกล้ ย้ำว่าอันใกล้ จีนจะต้องเริ่มปล่อยค่าเงินให้เป็นไปตามสภาพความเป็นจริง มิฉะนั้นคำกล่าว Too much of a good thing อาจจะต้องเกิดกับจีนอย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 21 พ.ค. 48 22:27:36 จากคุณ : เพื่อนพูห์ - [ 21 พ.ค. 48 22:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อืม ขอบคุณครับทุกท่าน จากคุณ : กังซี - [ 21 พ.ค. 48 23:54:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ใช่ครับ ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะมองเห็น และก็พยายามผลักเงินออกไป โดยไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาก็ตาม แต่เงินเกินดุลย์ที่เหลือ (vud,kd๗ ก็ยังทำให้เกิดฟองสบู่อยู่ดี น่าติดตามดูว่าจีนจะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อมีญี่ปุ่นกับเกาหลีให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว จากคุณ : น้องกล้วย คอยลุ้น - [ วันวิสาขบูชา 00:26:30 A:203.170.136.241 X: TicketID:074894 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมคิดว่าในระยะใกล้นี้คงไม่มีการปรับค่าเงินหยวนนะครับ แต่ในระยะกลางหรือยาวคงต้องปรับแน่ๆ แต่อาจปรับนิดหน่อยครับ จากคุณ : kangkrub (kangkrub) - [ วันวิสาขบูชา 00:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มองเรื่อง จีนตรึงหยวนไว้กับดอลลาร์ แล้ว ทำให้คิดกลับไปถึงประเทศไทย สมัยยังไม่ลอยค่าเงินบาท เพราะ อะไรๆ ก็ดูดีไปหมด ทั้งๆที่ สภาวะจริงๆแล้ว ไม่มีคนรู้ว่าเกิดอะไรกับ Demand และ Supply ของเงินในประเทศ สุดท้าย จีนต้องปรับค่าเงินให้แข็งครับ เพื่อเข้าสู่สภาวะที่เป็นจริง แต่คงปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะ เมื่อโป่งใหญ่แตก โป่งเล็กๆ ที่เกี่ยวพันเป็นลูกโซ่ คงไม่รอด ... แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 48 04:01:02 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 48 03:59:21 จากคุณ : chaychay - [ วันวิสาขบูชา 03:40:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ...เข้ามาดู แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 48 07:55:38 จากคุณ : แป้นบาส - [ วันวิสาขบูชา 07:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ...เข้ามาดู จากคุณ : แป้นบาส - [ วันวิสาขบูชา 07:56:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะเป็นเช่นนั้นแหละครับคุณ kangkrub อย่างมากผมว่าจะปรับประมาณ 3-5 % จากคุณ : S-sung - [ วันวิสาขบูชา 09:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สมมติว่าไม่มีแรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจนะครับ ถ้าจีนไม่ปรับอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อปรับเศรษฐกิจของตนให้ได้ดุลยภาพ(อัตราเงินเฟ้อไม่สูงเกินไป ,ปัจจัยการผลิตได้มีโอกาสปรับฐานราคาไม่ให้สูงโต่งเกินไป,การกู้ยืม-ลงทุนให้พอดีสมฐานะประเทศฯลฯ) ประเทศจีนจะพบกับวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศนะครับ เห็นได้ว่าประเทศจีนเองพยายามใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวปรับแล้ว แต่ไม่ได้ผล เหตุเพราะตลาดทุนโลกรักจีนมากเกินไป(สำนวนครุกแมน)เหมือนกับที่เคยรักไทยในช่วงปลายศตวรรษที่แล้ว(สหัษวรรษที่แล้ว) แต่ไทยเปิดเสรีการเงินผลเสียเลยไวกว่าจีน แต่ในกรณีของจีนไม่เปิดเสีรีทางการเงิน ผลเสียเลยไปโป่งพองเอาที่ภาคธุรกิจด้านตะวันออกของจีน ราคาสินทรัพย์ ที่ดิน อสังหาฯ จีนราคาขึ้นสูงลิบลิ่ว คนทางตะวันตกอพยพเข้ามาขายแรงงานด้านตะวันออกก็พบกับภาวะเงินเฟ้อที่ราคาสินค้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆและการส่งผ่านราคาเงินเฟ้อในประเทศจีนจากตะวันออกสู่ตะวันตกจะค่อยเพิ่มระดับขึ้น ซึ่งไม่มีใครทราบหรอกครับว่าประเทศที่มีประชากรกว่า1,300ล้านคน มีกี่เปอร์เซ็นต์ที่เดือดร้อน สมมติว่าการส่งผ่านเงินเฟ้อจากตะวันออกไปตะวันตกทำให้คนทางตะวันตก4%เดือดร้อนมากประมาณ 52ล้านเชียวนะครับ เกิดจลาจลได้ง่ายๆนะ เพราะฉะนั้นจำประโยคนี้ผมไว้เลยนะครับ  ประเทศใหญ่ที่มีประชากรเยอะจะต้องระวังเรื่องอัตราเงินเฟ้อไว้   ทางจีนเองเตรียมพร้อมเรื่องปรับอัตราแลกเปลี่ยนมาพอสมควรแต่ผลเสียของการปรับอัตราแลกเปลี่ยนคือทำให้ระบบการธนาคารพังโดยเฉพาะภาคการธนาคารที่อ่อนแอ  เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นการได้อย่างต้องเสียอย่าง สำหรับผม จะรอดูว่าถ้าปรับอัตราแลกเปลี่ยนของจีนแล้ว อัตราเงินเฟ้อโลกเป็นเช่นไร เพราะที่ผ่านมาจีนมีคำครหาว่าส่งออกเงินฝืด(สินค้าราคาถูก)ไปทั่วโลก ฉุดเงินเฟ้อโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯให้ต่ำ ถ้าราคาสินค้าจีนแพงขึ้นตามอัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตัวลดลง(เงินหยวนเพิ่มค้าขึ้นappreciate) ดูสิว่า ที่มาของเงินเฟ้อ-เงินฝืดโลกจริงๆมันมาจากอะไรกันแน่ ราคาน้ำมัน หรือ จีน สุดท้ายนี้ บทความนี้ของคุณวริษฐ์เขียนได้ดีครับ ในฐานะที่คุ้นเคยกับคุณวริษฐ์ถือโอกาสประชาสัมพันธ์ว่า คุณวริษฐ์ เป็นนักเรียนไทยน้อยคนที่ไปเรียนปักกิ่งโดยมีจุดหมายสำคัญคือศึกษาประเด็นอื่นๆของประเทศจีนที่ไม่ใช่ภาษาจีนแต่เพียงอย่างเดียว หลายปีก่อน คุณวริษฐ์บอกผมว่านักเรียนไทยที่ปักกิ่งโดยมากหรือแทบทั้งหมดมุ่งเน้นเรียนภาษาจีนเพื่อความคล่องตัวในการค้าขาย แต่คุณวริษฐ์ศึกษาประเทศจีนผ่านภาษาจีน ประวัติศาสตร์จีนระบบการบริหารการจัดการของประเทศจีน ศิลปะวัฒนธรรมจีนและความเป็นจีนสมัยใหม่ เป็นการศึกษาจีนอย่างบูรณาการ ผู้สนใจสามารถอ่านบทความคุณวริษฐ์ได้ http://www.manager.co.th/Columnist/ViewBrowse.aspx?BrowseNewsID=1405 http://www.gotomanager.com/columnists/default.aspx?menu=columnists,varit&page=1 จากคุณ : ปริเยศ (Pariyed) - [ วันวิสาขบูชา 18:34:58 ]