ผมคิดว่าต่อจากนี้ไปสำหรับท่านที่ยังมีเงินสดน่าติดตามตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด ในมุมมองของผม ผมคิดว่าหลังจากนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังจะขึ้นมากกว่าลง แต่จะเปลี่ยนกลุ่มนำตลาดจากกลุ่มพลังงาน กลุ่มเดินเรือ กลุ่มเคมี มาเป็น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มธนาคาร กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เหตุผลที่ผมคิดเช่นนี้มีดังนี้
เหตุผลด้านพื้นฐาน
1. หลังจากประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1/48 ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในเกณฑ์ดี เติบโตกว่าที่คาดเล็กน้อย
2. ราคาน้ำมันของตลาดโลกในไตรมาสที่ 1 อยู่ระหว่าง 50-58 เหรียญ แต่ในไตรมาสที่ 2 มีโอกาสที่จะลดลงมาวิ่งอยู่ระหว่าง 42-50 เหรียญ(พิจารณาจากตัวเลขทางเทคนิคที่น่าจะอยู่ในช่วงของการปรับฐาน) ปัจจัยนี้น่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญ ที่จะช่วยให้ตัวเลขดุลการค้าในด้าน Import มีโอกาสที่ลดลงได้ ประกอบกับเมื่อพิจารณาตัวเลขด้าน Export ในเดือนที่ผ่านมา อยู่ในเกณฑ์ที่เติบโตได้ดีพอสมควร และผมคิดว่าการส่งออกน่าจะยังเติบโตได้ดีในเกณฑ์เดียวกับเดือนที่ผ่านๆมา เมื่อตัวเลขส่งออกยังดี ตัวเลขนำเข้ามีแนวโน้มว่าจะลดลงในไตรมาสที่ 2 ผมคิดว่าดุลการค้าที่เคยวิตกว่าจะขาดดุลเป็นจำนวนมาก น่าจะมีตัวเลขที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
3. มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น งบกลางปี 50,000 ล้าน และโดยปกติของการทำงานในระบบราชการ งบประมาณมักจะถูกเบิกจ่ายในครึ่งปีหลัง มากกว่าครึ่งปีแรก รวมทั้งความชัดเจนในเรื่องโครงการเม็กกะโปรเจ็ค 1.7 ล้านล้าน และยังมีการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ (นอกจากรถไฟฟ้า)ที่หลายๆคน ไม่ค่อยได้พูดถึงเท่าไหร่อีกหลายแสนล้าน ทุกอย่างที่กล่าวมาน่าจะเป็นรูปธรรมในครึ่งปีหลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะทำให้ GDP ครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก
4. ตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนของ BOI มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่ายังมีการลงทุน ทั้งจากภาคเอกชน และจากภาครัฐอีกเป็นจำนวนมาก
4. จะมีการจัดงาน Thailand Focus ในเดือนมิถุนายน
เพื่อ Present ในเรื่อง เม็กกะโปรเจค
5. สถานฑูตสหรัฐได้แจกแถลงการณ์ว่า ไทยไม่เกี่ยวข้องกับการติดสินบนในการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด (ข่าวนี้น่าจะส่งผลดีกับ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิเพราะคงจะเดินหน้าทำงานต่อไปได้)
6. ข่าวร้ายต่างๆ ที่เป็นเหตุผลข้ออ้างในการขายหุ้นลงมาในรอบที่ผ่านมา ตลาดได้ซึมซับไปหมดแล้ว อีกทั้งหลายๆ ข่าวร้ายเริ่มมีแนวโน้มที่จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
7. ในครึ่งปีหลังน่าจะมีข่าวดีมากกว่าข่าวร้าย เช่นในกลุ่มธนาคาร น่าจะมีความคืบหน้าในเรื่องแก้ปัญหา NPL การขยายตัวของสินเชื่อ การปรับเครดิตของสถาบันจัดอันดับ ในกลุ่มรับเหมาน่าจะมี Story ในเรื่องการประมูลงาน ในเร็วๆนี้ โครงการแรกน่าจะเป็นการประมูลโครงการแหลมผักเบี้ย มูลค่า 50,000 ล้านในเดือน พ.ค.-มิ.ย.
เหตุผลทางด้านเทคนิค
ดัชนีในรอบนี้ทำจุดต่ำสุดไว้ที่ 655.04 จุด เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ค่า MACD อยู่ที่ -8.52 ค่า RSI อยู่ที่ 34.63 แล้วหลังจากนั้นก็ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 692.82 ดัชนีก็ปรับตัวลดลงมาอีกครั้งที่ 660.13 ในวันที่ 17 พ.ค. ค่า MACD อยู่ -2.1 ส่วนค่า RSI อยู่ที่ 39.92 จากลักษณะค่าสัญญาณทางเทคนิคแบบนี้ ตลาดมีสัญญาณที่ดีตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา และจะยืนยันว่าเป็นสัญญาณที่ดีอย่างต่อเนื่อง ถ้าหลังจากนี้ ตลาดสามารถยืนอยู่เหนือแนวดังกล่าวได้ โดยที่ไม่ทำจุดต่ำใหม่ และมีปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นเป็นลำดับเป็นตัวสนับสนุน ผมเชื่อว่า หลังจากนี้หากตลาดหุ้นมีอาการดังที่กล่าวไป จะมีพลังลึกลับทั้งจากในและต่างประเทศ กลับมาช่วยกันผลักดันตลาด แต่ถ้าไม่เป็นไปอย่างที่คิด มีแรงขายออกมาอีก ให้ชะลอการเพิ่มพอร์ตออกไปก่อน ให้สันนิฐานไว้ก่อนว่า แรงขายยังไม่หมด แต่ยังไงก็แล้วแต่อย่าทิ้งตลาด เพราะยังไงถ้าไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เพิ่มเติมจากนี้ หุ้นในเดือนมิถุนายนมีโอกาสขึ้นมากกว่าลง โดยมี ITD STEC เป็นตัวนำตลาด
ทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้คิดได้ว่า ครึ่งปีหลัง ย่อมต้องดีกว่าครึ่งปีแรกอย่างแน่นอน จากประสบการณ์อันน้อยนิดคิดว่า ตลาดหุ้นมักจะตอบรับกับปัจจัยที่จะเข้ามากระทบก่อนล่วงหน้าเสมอ ยกตัวอย่างเช่นพอหุ้นลง มาขนาดนี้ ข่าวร้ายสารพัดชนิดก็จะทยอยเรียงคิวกันออกมา ทำไมเราไม่มองในทางกลับกันบ้าง โดยนำการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาเป็นตัวช่วยกำหนดจุดซื้อ ในเมื่อเราเริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้นทั้งการพิจารณาจากปั้จจับพื้นฐาน และการพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิดดีขึ้นพร้อมกันเมื่อไหร่ การเพิ่มพอร์ตในลักษณะรูปทรงปิระมิด เป็นสิ่งที่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง โดยที่ต้องมีความเชื่อก่อนว่า ไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นได้ในจุดต่ำสุด การวางกลยุทธ์ในการซื้อหุ้นที่เหมาะสมต่างหากเป็นหัวใจสำคัญของการลดความเสี่ยง โดยที่อาศัยการรักษาวินัยทางเทคนิค เป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงอีกที ขอให้ทุกท่านโชคดี
ปล. การแสดงความคิดเห็นของกระผมโดยการตั้งกระทู้นี้ ไม่มีประสงค์อื่นใดนอกจากต้องการแสดงให้ท่านอยากเชือกเห็นว่า ผมไม่ได้โกรธท่านเลยนะครับ และท่านไม่ได้เป็นสาเหตุให้กระผม หายไปจากโต๊ะสินธร เพราะปกติผมเองเป็นคนค่อนข้างจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แล้ว ผมเข้ามาในโต๊ะสินธรตั้งแต่ตอนที่เปิดโต๊ะสินธรใหม่ ๆ สมัยตั้งแต่ พี่หมอ -=JFK=- ท่านปลากดชอบกัด และอีกหลายๆท่าน ที่ผมจำชื่อไม่ได้ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งนั้น เลยทำให้ผมรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะเรามีความรู้น้อยกว่า จึงเป็นเพียงผู้อ่าน มากกว่า ไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆ ปัจจุบันผมก็ยังติดนิสัยเช่นนั้นอยู่ กระผมจึงอยากจะเรียนท่านอยากเชือก เพราะท่านได้ให้เกียรติกล่าวถึง กระผมในกระทู้ของท่านข้างล่าง ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผมไม่ได้โกรธท่านนะครับ การโกรธคนที่แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากเรา ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่อันตรายกับชีวิตมากเลยนะครับ จะทำให้เราไม่รู้จักข้อบกพร่องของตัวเอง การรับฟังข้อบกพร่องของตัวเองจากคนอื่นจะเป็นเสมือนกระจกเงา ที่จะสะท้อนสิ่งที่ไม่ดี ให้เราได้นำมาแก้ไข เพื่อให้เกิดการพัฒนาสู่สิ่งที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงอยากจะเรียนท่านว่า การหายไปอาจจะไม่ได้แสดงว่าผมโกรธท่านนะครับ แต่จริงๆแล้วถ้าย้อนกลับไปคิดว่า ถ้าตัดการกระทู้ในวันนั้นออกไป กระผมเองก็จะไม่มีตัวตนอยู่ในโต๊ะสินธรอยู่แล้วนะครับ จึงอยากจะเรียนท่านเพื่อความสบายใจของทั้งผมและท่าน ผมยังติดตามบทความดีๆของท่านอยู่นะครับ และหวังว่าท่านจะนำบทความดีๆ เกี่ยวกับตลาดหุ้นมาให้แมงเม่าอย่างผมได้ติดตามในสิ่งที่ดีๆ ต่อไปอีกนะครับ ขอขอบคุณที่ท่านกล่าวถึง ความคิดเห็นแตกต่างกันได้แต่อย่าให้แตกแยกจึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องแสดงความคิดเห็นผ่านกระทู้ต่อไป ขอขอบคุณและขอให้ทุกท่านที่กรุณาอ่านประสบความสำเร็จในการลงทุน
จากคุณ :
หัวหน้าแมงเม่า
- [
23 พ.ค. 48 07:37:22
A:61.90.46.107 X: TicketID:097660
]