ตัดแปะคำว่าหุ้นไว้กันเหนียว ฮาๆๆๆ
ก็อย่างที่เคยบอก
ข้อจำกัดความช่วยเหลือ
ที่ผมจะสามารถให้คนอื่นได้ก็คือ
" จะช่วย เมื่อตัวเองไม่เดือดร้อนเท่านั้น
ถ้าเดือดร้อน ก็ไม่ช่วย
ใครจะว่าใจดำก็ยอม"
เมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว
ผมเคยก้าวข้ามเส้น ข้อจำกัดของตัวเอง
การกระทำในครั้งนั้น
เกือบจะทำให้ต้องหมดศรัทธา
ในเพื่อนมนุษย์ที่เรียกว่า "คนจน"
ยังดีที่คนอย่างน้าไข่ ยังมีให้เห็นทั่วไป
ในครั้งนั้น
มันไม่ใช่เงินแค่ ๙ บาท
แต่มันเกี่ยวพันกับเงินจำนวน ๓ หมื่นบาท
คือที่บ้านผม จะให้คนช่วยทำงานบ้านแบบงานจ๊อบคือ
ซักผ้าก็จ้างคนรับซักผ้า จ่ายค่าจ้างเป็นเดือน
ทำความสะอาดบ้าน ก็จ้างมาทำความสะอาด
จ่ายเป็นรายครั้ง
อยู่มาคืนหนึ่ง คนรับจ้างซักผ้า
ซึ่งเป็นหญิงหม้ายวัยเริ่มจะสี่สิบ
มีลูกชายที่ยังอยู่ในวัยเรียน สองคน
มารับผ้าที่จะไปซักรีด
พอเปิดประตูเอาผ้าให้เขา เพื่อส่งผ้ารับผ้า
คนซักผ้าก็ยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง
เหมือนกับไม่แน่ใจว่า พูดออกไปแล้วจะได้ผลหรือไม่
ข้อสำคัญคือ เขาพยายามหลบไม่ให้แม่อยู่ด้วย
ในที่สุด เขาก็เอ่ยปากขึ้นว่า
"เฮีย หนูขอความช่วยเหลือหน่อยจะได้หรือเปล่า"
ในใจผมตอนนั้น ก็คิดแค่ว่า
อาจจะขอเบิกค่าซักล่วงหน้า
ซักหนึ่งเดือน ก็เลยบอกไปว่าจะให้ช่วยอะไร
คนซักผ้าลังเลอยู่พัก ก็พูดเสียงเบาๆ น้ำตาคลอเบ้าว่า
"มีเรื่องเดือดร้อนมากๆ จะขอยืมเงินซักสามหมื่นบาท"
ได้ยินแค่นั้น ผมก็สะดุ้งในใจแล้ว
โอ้โฮ ไม่ได้รู้จักอะไรกันมากมายเลย
ทำไมกล้าเอ่ยปากยืมเงินขนาดนั้นได้
มันเหมือนกับว่า เขาหาใครแล้วไม่ได้จริงๆ
ต้องบากหน้ามาขอยืมเงินคนที่ไม่รู้จักกันดี
ไม่ได้เป็นญาติ
เพื่อตัดปัญหาทั้งปวง
แบบไม่อยากให้ใครที่บ้านรู้
ผมก็เลยบอกไปว่า
ไว้พรุ่งนี้จะไปหาที่บ้านก็แล้วกัน
ถ้ามีอะไรจะช่วยได้ ก็จะช่วย
วันรุ่งขึ้น ผมไปที่บ้านเช่าเก่าๆในซอย
เป็นซอยแยกจากซอยราชภัฏบ้านสมเด็จ
ตามที่คนซักผ้าระบุที่อยู่ไว้
ไปครั้งแรก ผมไปคนเดียว
และแล้ว คำบอกเล่าทั้งน้ำตาก็มีดังนี้
"หลานชาย (ลูกของพี่สาว) ติดคุก เพราะตำรวจจับข้อหากินยาบ้า
พี่สาวมาเรียกให้ช่วยหาเงินไปยัดตำรวจ
(ไม่ใช่ประกัน) แต่เป็นการยัดเงินให้ตำรวจช่วยเป่าคดีทิ้ง
ตำรวจขอสามหมื่นบาท ตัวเองก็จนพอๆกับพี่สาว
ซึ่งมีอาชีพซักผ้าเหมือนกัน
แต่พอไปเยี่ยมหลานชายที่คุกของสถานีตำรวจ
ทนเห็นสภาพหลานชายไม่ได้
ก็เลยต้องบากหน้าไปกู้เงินนอกระบบ
มั่นใจว่าพี่สาวจะต้องช่วยเรื่องเงินในภายหลัง
เพราะเป็นลูกของตัวเอง
เขาต้องเป็นคนออกหน้ากู้เงิน
เพราะพี่สาวเสียเครดิตกับนายทุนเงินกู้ไปแล้ว
ไม่มีใครยอมปล่อยกู้ให้
นายทุนเงินกู้ เขาคิดดอกเบี้ย ร้อยละ
๒๐ ต่อเดือน !!!!!!!!!!!!!!!!!
กู้มา ๓๐๐๐๐ บาท
ก็ต้องหาเงินจ่ายดอกเบี้ยให้ได้ เดือนละ ๖๐๐๐ บาท
พอเอาเงินจากนายทุนเงินกู้เอาหลานชายออกจากคุกได้
สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุด ที่เกิดตามมาคือ
เขาต้องตามทวงเงินกับพี่สาวที่แสน.....
คำตอบที่ได้แบบ ไม่สนใจใครจะเดือดร้อนก็คือ
ไม่มี ไม่หนี และไม่จ่าย เหมือนใครกันหว่า ฮาๆๆๆ
ในที่สุด ก็หมุนเงินมาจ่ายดอกเบี้ยโหดไม่ไหว
หันหน้าหาใคร ก็มีแต่คนปฏิเสธ
ก็เลยลองขอผมดู เผื่อฟลุ๊ก ฮาๆๆๆ
ผมฟังแล้วก็ลังเล ไม่แน่ใจว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง
แต่ถ้าเอานิสัยของเขา ที่เคยรับรู้มา
เขาไม่เคยค่าจ้างซักผ้าล่วงหน้ากับแม่
ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนที่พอใช้ได้นะ
ไม่เดือดร้อนจริงๆ คงไม่มาหาเรา
ในที่สุดผมก็บอกไปว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะให้คำตอบ
และแล้วผมก็ได้ลองปรึกษากับแม่พระตัวจริงเสียงจริง
ก็คือภรรยาผมเอง เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินไปจริงๆ
ดีจนผมต้องบอกว่า
ทำดี ทำได้กับคนบางคนเท่านั้น
ส่วนบางคน ทำดีกับเขา
เขาเห็นว่าเราเป็นคนโง่ต่างหาก
ไม่ใช่คนมีน้ำใจ
แม่พระที่บางครั้งก็เป็นแม่...บอกว่า
ถ้าช่วยได้ก็ช่วยซิ
ช่างใจบุญจริงแม่คุณเอ๊ย
ส่วนคนที่ผมจะบอกให้รู้ไม่ได้เป็นอันขาดก็คือ
แม่
ไม่ใช่แม่เป็นคนไม่มีเมตตา
แต่เป็นเพราะแม่โดนกระทำจากพวกคนจน
แต่รวยเอ็นพีแอลเงินคนอื่นมาเยอะมาก จริงๆ
เยอะจนต้องถือคติว่า
"ช่วยได้ก็ช่วย
ช่วยแล้วคิดว่าตัวเองต้องเดือดร้อน ก็ไม่ช่วย"
ในที่สุด หลังจากแม่พระตัวจริงเสียงจริงส่งซิกให้คัทลอส
เอ๊ย ขึ้นเสนอซื้อ ผมก็หอบเงินสดสามหมื่นบาท
ไปพร้อมกับเอกสารที่มีผลบังคับตามกฏหมาย
ไปให้คนซักผ้าเซนต์รับ ก่อนจะยืมเงิน
เพื่อเอาไปใช้หนี้ให้กับนายทุนเงินกู้นอกระบบ
บอกตรงๆว่า ตอนนั้นก็กลัวๆจะโดนยิงทิ้ง
ที่ไปขัดผลประโยชน์
ขอเล่าต่อตอนบ่ายนะครับ
ไม่ได้กั๊กหรอก แต่ขอเรียบเรียงเรื่องแต่ง เอ๊ยเรื่องจริงก่อน
เพราะมันก็นานหลายปีมาแล้ว
แก้ไขเมื่อ 21 มิ.ย. 48 13:59:59
จากคุณ :
endophine
- [
21 มิ.ย. 48 12:24:58
]