ความคิดเห็นที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3569236/I3569236.html สำหรับคำตอบโดยตรงของคำถามคุณสักวันฯ ผมขอเรียบเรียงอันดับดังนี้ ๑  ผมไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ใช้จ่ายได้ตามใจชอบ ทุกวันนี้อยู่อย่างเศรษฐกิจพอเพียงครับ ซื้อของ  ก็พยายามหาซื้อตามที่เขาขายถูกๆ   แต่คุณภาพเท่ากัน อะไรคิดว่าไม่จำเป็นกับชีวิต แต่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย   ก็พยายามใช้จ่ายกับสิ่งฟุ่มเฟือยให้น้อยที่สุด ยอมรับว่าผมแปลกใจมากๆ  ที่คนเล่นหุ้น เวลากำไรเท่าไร   มักจะชอบพูดถึงการออกรถใหม่ ผมไม่มีหนี้ก้อนใหญ่ใดๆทั้งสิ้น นอกจากหนี้บัตรเครดิต  เต็มที่ไม่เกินรอบละสองหมื่นบาท หนี้ค่าน้ำ  ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ๒ เป็นคนที่ค่อนข้างโชคดี มีต้นทุนทางสังคมค่อนข้างสูง ทั้งจากพ่อแม่ พี่น้องและภรรยา อันนี้ในบางครั้ง  บางช่วงของชีวิต ถือว่าเป็นต้นทุนที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ อย่างเช่นตอนที่เจ๊งสมัยราชาเงินทุน หรือตอนฟองสบู่แตก  รายได้จากหุ้นลดฮวบ ๓ รายได้ในครอบครัวมีดังนี้ ก. รายได้แบบมั่นคงแน่นอน กำหนดรู้ได้ ภรรยาผม เป็นคนมีรายได้จากส่วนนี้ พร้อมสวัสดิการหลายอย่าง  เพราะเป็นข้าราชการครับ ข.  รายได้แบบมั่นคงแน่นอน  แต่ไม่มีรายได้ตายตัว ได้แก่เงินฝากที่มีดอกเบี้ยเป็นรายได้ อันนี้เงินต้นมั่นคงแน่นอน  แต่รายได้ไม่แน่นอน   คนที่เกษียณก่อนอายุ หลังฟองสบู่แตก จะเจ็บปวดที่สุด รายได้จากที่คาดหวังว่าจะได้ กลับไม่ได้ ตอนออกจากงานใหม่ๆ เงินฝากหนึ่งล้าน จะมีรายได้ทุกเดือน  เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป ตอนนี้เหลือไม่ถึงเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ค.  รายได้แบบไม่มั่นคงแน่นอน   แต่สามารถสร้างรายได้ได้รวดเร็วที่สุด ได้แก่การเล่นหุ้น  กินกำไรจากส่วนต่างของราคาและเงินปันผล หลักการที่สำคัญที่สุด  ที่ผมจะไม่ละเมิดเป็นอันขาดคือ "รายได้ทั้ง ๓ ส่วนนี้  จะเอามาปนกันไม่ได้เลย" ไม่ใช่ว่าพอตลาดหุ้นดี  กำไรมหาศาลจากรายได้ที่ไม่แน่นอน ก็ให้ภรรยาลาออกจากงาน  มานั่งๆนอนๆให้เสียความภูมิใจ เพราะไม่มีอะไรจะทำ ชีวิตหมดความหมายอยู่ที่บ้าน และที่ทำให้อยู่รอดมาทุกยุคทุกสมัยก็คือ จะไม่มีทางถอนเงินฝากมาลงหุ้นเพิ่ม แบบไม่จำกัดปริมาณความโลภ เพราะเราไม่ใช่เซียนหุ้น  ทำแบบนั้นไม่ได้แน่นอน สรุปก็คือ  ไม่ยอมให้รายได้ทั้งสามส่วนมาปนกัน ๔  เงินฝากส่วนใหญ่  จะอยู่ในบริษัทเงินทุน เงินฝากที่มั่นคงที่สุด  ถ้าเรียงตามลำดับจะมีดังนี้คือ ซื้อพันธบัตรที่รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน เงินฝากธนาคาร ตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน ซึ่งให้ดอกเบี้ยสูงกว่าธนาคารตั้งแต่ ๑๐ % ขึ้นไป ปัจจุบันนี้สูงกว่าธนาคารเกิน ๑๐๐ % แล้ว ที่บ้านผม  กินส่วนต่างดอกเบี้ย ระหว่างธนาคารกับริษัทเงินทุน มานานเกินยี่สิบปีแล้ว โดยอาศัยช่องว่างที่ว่า รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน เงินฝากธนาคารและตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุน เต็มวงเงินที่ฝาก ดังนั้น  ฝากเงินทุนก็ปลอดภัยพอๆกับฝากธนาคาร "ในประเด็นที่ว่าเงินต้นไม่สูญแน่นอน" จะเสี่ยงกว่าบ้าง  ในด้านดอกเบี้ยที่จะได้รับ แต่ตอนฟองสบู่แตก   ธนาคารขนาดเล็กก็เจ๊งเหมือนกัน สรุปแล้ว  เงินเกือบทั้งหมด ในส่วนที่มั่นคงแน่นอน  แต่มีรายได้ดอกเบี้ยไม่แน่นอน จะอยู่ในรูปตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนจนเกือบหมด เหลือฝากในธนาคารไม่ถึง ๑๐ % ผมสามารถอาศัยช่องว่างดอกเบี้ยนี้ได้ ไปจนกว่าจะมีสถาบันประกันเงินฝากออกมา ซึ่งจะค้ำประกันเงินฝากให้ไม่เต็มวงเงินทั้งหมด ถึงต้องนั้น  แม้แต่เงินฝากที่คิดว่ามั่นคง ก็ตอนนั้น ต้องหาทางบริหารความเสี่ยงกันต่อไป แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 11:00:19 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 10:03:37 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 09:58:27 จากคุณ : endophine - [ 27 มิ.ย. 48 08:47:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 สัดส่วนรายได้มั่นคง : รายได้มั่นคงแบบไม่แน่นอน : รายได้ไม่แน่นอน คิดเป็นสัดส่วนเท่าใดหรือครับ เฮีย แล้วในหุ้นที่ให้ปันผลแน่นอน (คิดว่าแน่นอน) สม่ำเสมอ จะจัดอยู่ในส่วนใดครับ มีแยกออกมาต่างหากอีกส่วนไหมครับ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 11:33:23 จากคุณ : ขอบฟ้า จันทรา ดาบ - [ 27 มิ.ย. 48 11:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ผมขอโหวตครับ จากคุณ : เต่าหยวนเปียว - [ 27 มิ.ย. 48 11:50:18 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างธนาคารกับบริษัทเงินทุน รัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินฝากธนาคารและตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนเต็มวงเงินที่ฝาก ดังนั้น  ฝากเงินทุนก็ปลอดภัยพอๆกับฝากธนาคาร "ในประเด็นที่ว่าเงินต้นไม่สูญแน่นอน" จะเสี่ยงกว่าบ้าง  ในด้านดอกเบี้ยที่จะได้รับ ขอบอกว่า เสี่ยงกว่ามากๆๆๆๆๆ นะจะขอบอก ไม่ใช่แค่เสี่ยงกเพราะทุกๆเงินทุนที่ดิฉันเอาเงินไปฝากไว้ในรูปตั๋วสัญญาใช้เงิน ระยะ 3 เดือน ถึง 1 ปี  หลังจากขายหุ้นล้างพอร์ตในแต่ละรอบ (เพื่อรอเล่นรอบต่อไป)   ขอโทษที เจ๊งหมดเกลี้ยง ทุกๆแห่งค่ะ ขอย้ำ ใหญ่แค่ไหนก็เจ๊งค่ะ ทั้งที่ตอนนั้น ส่วนต่างดอกเบี้ยก็แค่ 2% เท่านั้นเอง รัฐแต่งตั้งให้สหธนกิจ ซึ่งตอนนั้น มีธนาคารใหญ่ๆเป็นผู้ถือหุ้นตั้ง 7 ธนาคาร เป็นผู้จัดการใช้คืนเงินฝาก สำหรับคนทั่วไป จะมองว่า ได้เงินต้นคืนครบ 100% เต็มๆ แต่สำหรับดิฉันแล้ว เงินต้นก้อนนี้ ไม่ใช่แค่สูญไปทั้งหมด 100% หลังจาก 10 ปีผ่านไป แต่ถึงกับติดลบทีเดียวแหละ เพราะเขาคืนเงินต้นให้ปีละ 10% เป็นเวลา 10 ปี ในขณะที่ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเคยได้รับปีละ 15% และเป็น 15% ที่ดิฉันต้องนำไปผ่อนบ้านขนาด 100 ตารางวาแถวรามคำแหงซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น จึงขายบ้านทิ้งไป เพื่อจะได้ไม่ต้องพบตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้า อยู่กับบ้าน 1 หลัง โดยที่ไม่มีเงินสดเหลือเก็บเลย แล้วเอาเงินที่ขายบ้าน ไปวางดาวน์คอนโดแถวปิ่นเกล้า 1 ห้องแทน โดยเงินสดที่เหลือ จ่ายเป็นค่าตกแต่ง ระยะผ่อน 3 ปี (แทนการผ่อนบ้าน 20 ปี) และความซวยก็ซ้ำสอง เพราะโครงการซึ่งสร้างเสร็จแล้ว เกิดไม่มีเงินหมุนเวียน ติดหนี้ผู้รับเหมา ธนาคาร ค้างเติ่งนานถึง 22 ปีเต็มๆ  ก็มีคนมารับซื้อทั้งตึกเลย นับว่าโชคดีมหาศาลแล้ว เพราะทำเลเยี่ยม มีห้างเซ็นทรัล ขนส่งสายใต้ ขนาบสองข้าง อนาคตมีรถไฟฟ้าสายบางซื่อ ตลิ่งชัน เพิ่งอ่านหนังสือ properties ว่ามีโครงการตึกสูงที่พักอาศัย และสำนักงานในกรุงเทพ ยังคงค้างอยู่ตั้ง 300 โครงการแน่ะ มาต่อกันเรื่องตั๋วเงิน ถ้าจะเอาคืนทีเดียว (ตั้งแต่ปีที่สามเป็นต้นไป) จะต้องทำในรูปแบบ ขายลดหน้าตั๋วเงินคงเหลือ โดยที่เราจะได้เงินคืน เพียงแค่ 30% เท่านั้นเอง ยอมรับไม่ได้ค่ะ มันช๊อคความรู้สึก ที่เงินก้อนจะหายวูบไปเฉยๆตั้ง 70%   เงินที่เก็บหอมรอมริบมาจากการทำงานหามรุ่งหามค่ำ วิ่งรอก 3 งาน ทำอาทิตย์ละ 7 วัน นานตั้ง 10 ปีเต็มๆ บ้างานขนาด ไม่มีเวลากระทั่งจะฟังเพลง  ไปต่างประเทศถ้ามองว่าแค่ไปเที่ยวเฉยๆ ต่อให้ไปฟรี ยังไม่ไปเลย จากคุณ : prettypetite - [ 27 มิ.ย. 48 12:07:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอยืนยันเหมือนเดิม   ตั้งแต่ฝากเงินทุนมายี่สิบกว่าปี ที่บ้านผมไม่เคยสูญเงินต้นจากตั๋วสัญญาใช้เงินครับ มันอยู่ที่การรู้จักบริหารความเสี่ยง ให้เป็นไปตามสถานการณ์ด้านเงินทุน ตอนราชาเงินทุนล้ม ก็ฝากแต่บริษัทเงินทุนที่มีธนาคารถือหุ้นใหญ่เท่านั้นครับ จะมีฝากที่ไม่มีธนาคารหนุนหลัง   ก็ของเสี่ยแฟนตาซี  แถวเยาวราช ซึ่งก็รีบถอนทันที หลังจากเสี่ยแกจัดฉาก  ให้อดีตรัฐมนตรีคลัง หิ้วกระเป๋าเอาเงินไปฝาก ต้องบริหารความเสี่ยงตามสถานการณ์ให้เป็นซิครับ อย่าเห็นแก่ดอกเบี้ยสูงๆ ของทรัสต์ที่ไม่มีธนาคารหนุนหลัง สมัยนั้น  ประเทศไทยยังไม่พร้อมจะให้สถาบันการเงินล้ม ดังนั้น   ถ้าธนาคารถือหุ้นทรัสต์ไหนอยู่ ธนาคารก็ต้องพยุงเต็มที่  ไม่ให้วิกฤตลามมาถึงธนาคารเอง สมัยคุณสมหมาย ฮุนตระกูลเป็นรัฐมนตรีคลัง เกิดวิกฤตพัฒนาเงินทุนของสุธี นพคุณล้ม ก็ได้ให้รัฐบาลเข้าไปค้ำประกันเงินฝากของสถาบันการเงิน ขอยืนยันเหมือนเดิม   เงินต้นได้ครบแน่นอน   จะเสียหายก็แค่ดอกเบี้ยเงินฝากเท่านั้น สำหรับคำถามของคุณขอบฟ้า ผมว่า  เอาแน่นอนไม่ได้ครับ ถ้าสัดส่วนเงินฝากสูงพอ ให้ดอกเบี้ยเงินฝาก บวกรายได้ประจำที่แน่นอน สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้แล้ว ก็เอามาเสี่ยงเล่นหุ้น ก็คงได้ ถ้าสามารถจัดรายได้ที่แน่นอน กับไม่แน่นอนให้สมดุลกัน หุ้นตก  ดอกเบี้ยเงินฝากมักจะขึ้น ส่วนหุ้นขึ้น  ดอกเบี้ยเงินฝากก็มักจะตกครับ สำหรับเรื่องเงินปันผลและกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้น ผมถือว่า  เป็นรายได้ที่ไม่แน่นอนครับ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 14:11:23 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 12:31:28 จากคุณ : endophine - [ 27 มิ.ย. 48 12:31:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอคารวะในความแข็งแกร่ง ของเฮีย.... ที่ทนทานทุกสภาวะการณ์ได้ ...... ข้าพเจ้าเคยโดนหุ้นเสี่ยสองเล่นงาน  แต่เสี่ยท่านก็ให้เรากลับมามากกว่าเล็กน้อย ...รอนานนนนนนนเชียวล่ะ กว่าจะได้คืนมา   ดังนั้นจึงเข็ดขยาดกับวงการนี้ไปนาน ตอนนี้กลับมาใหม่แบบผู้ชรา  งกๆเงิ่นๆ ไม่รู้ว่าจะหมู่ หรือจ่า....อาเฮอะ  อาเฮอะ จากคุณ : memai - [ 27 มิ.ย. 48 13:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต้องขอโทษคุณคลายเครียดที่แทรกเข้ามาแย้งในประเด็นเงินฝากกับพวกบริษัทเงินทุน ดิฉันติดกับทั้งเงิน ทั้ง บ้าน ไม่ใช่แค่เจ้าคอนโดห้องนี้ แต่ตึก 3 ชั้น ตกแต่งเสร็จให้คนเช่าทำสำนักงาน ติดสนามกีฬาใกล้มาบุญครองก็มีปัญหา จนครบสัญญาเซ้ง คืนให้ทางจุฬาไป ถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ที่ดิน 3 ไร่พร้อมตึก 4 คูหา ริมถนน พัทยา ก็ถูกโกง รถ sport แพงๆ หลายคัน ไปหมด... อาทิตย์ก่อน เห็นหนุ่มเจ้าของบริษัทที่เปิดอยู่ห้องชั้นล่างในคอนโดที่ดิฉันอยู่  จอด Ferrari ใหม่เอี่ยมสีเหลืองอร่ามไว้หน้าคอนโด ยังคิดว่า โห ใช้รถแพงกว่าห้องตั้งเกือบสิบเท่า อะไรที่เห็นว่าเป็นของแน่ ของตาย วางแผนดีแล้ว ปลอดภัยไร้กังวล มันจะต้องเป็นอย่างงั้น อย่างงี้ มันไม่จริงเสมอไป แต่ดิฉันสงสัยจะถูกโฉลกกับการเล่นหุ้น เล่นมาจะ 30 ปี ยังไม่เคยติดหุ้น และขอย้ำอีกครั้งว่า ยังไม่เคยขาดทุนเลย OK การขาดทุนจากการซื้อๆขายๆรายครั้ง เกิดขึ้นได้เสมอ แต่สรุปรายปี กำไรมาตลอด แต่ตอนนี้ กำลังเรียนรู้ความรู้สึกของการติดหุ้น และการขาดทุนหุ้นอยู่ เพราะมีคนพูดถึง และถาม แล้วไม่รู้จะตอบ หรือเสนอความเห็นอย่างไร ทิ้งเงินลงไป 2 ล้าน รอดูผลอยู่ คนที่จะรู้อะไรจริงๆ ต้องเคยโดนมากับตัวเอง แค่ ฟังมา อ่านมา จะไปรู้ซึ้งอะไร ไม่ลอง ไม่มีวันรู้จริง   ถามคน เขาตอบมามา ก็แค่ อ้อ งั้นเหรอ เอาแน่ๆเลย เช่น อยากรู้เรื่องหุ้นใช่มั๊ย โดดลงมาเลย รับรองไม่กี่เดือน รู้แจ้งกว่ามานั่งอ่านๆๆๆๆ หลายๆปีแน่นอน สนามแข่งทุกแห่ง  มีที่ว่างให้ผู้กล้าเสมอ จากคุณ : prettypetite - [ 27 มิ.ย. 48 13:15:50 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คนที่มีหลักการบริหารเงิน   ย่อมดีกว่าปล่อยไปตามแต่จะเป็น ผมฝากเงินGF GFถูกปิด  แต่ก็ได้เงินคืนเต็มจำนวน โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์จ่ายผ่านธนาคารกรุงไทย เงินฝากไม่เกิน5ล้านก็ทะยอยจ่ายต้นพร้อมดอกร้อยละ12%  ก็หมดแล้ว เหลือเงินฝากเกิน10ล้านบาทที่ยังทะยอยจ่ายถ้าจำไม่ผิด ยังไม่เคยเห็นพรรคพวกญาตพี่น้องคนไหนเงินสูญ คนที่มีเงินฝากเกิน10ล้านบาทไม่ได้คืน คงไม่มีใครเงียบหรอกนะผมว่า เพราะเขาทะยอยจ่ายดอกเป็นระยะเวลา จนถึงกำหนดจ่ายต้น ดอกที่จ่ายก็ลดลงตามภาวะดอกเบี้ย ไม่ได้คิดจะอวดหรือขัดคอใคร  แต่นี่คือเรื่องจริง จากคุณ : P_ปรัชญา - [ 27 มิ.ย. 48 13:32:27 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณเจ้าของกระทู้ และขอบพระคุณ เฮีย endophine มากค่ะ มีแถมเกินประเด็นคำถามอีก เป็นคติสอนใจได้เลยค่ะ   หนูยังจำคำพูด รถคันเก่า  มือถือเก่าใช้มานานไม่เปลี่ยน หนูจะจดจำสิ่งดีดีมาปรับใช้ให้เกิดปย.สูงสุดกับตัวเองค่ะ รวมทั้งขอบคุณความคิดเห็นของทุกท่านค่ะ จากคุณ : Eternalise - [ 27 มิ.ย. 48 13:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 โหวตให้ด้วยค่ะ หนุต้องกราบขอบพระคุณเฮียคลายเครียดงามๆ สักหลายๆ ครั้ง เรื่องเฮียได้แนะนำเกี่ยวกับการจัดสรรเงินฝาก ตามที่ได้ขอคำแนะนำไว้ ตอนนี้ก็ได้เริ่มไปแล้วบางส่วน ที่เหลือก็จะรีบจัดการ แต่คงจะอยู่ในระยะเวลาช่วงสั้นสัก 6-9 เดือน เพราะ สามปีเนี่ย จะว่านานก็นานเหมือนกันสำหรับหนุ แต่ได้ทำสัญญาไปแล้วคะพี่ อีกส่วนก็ยังหมุนเวียนอยู่ในหุ้น อีกส่วนประมาณครึ่งจะทำในช่วง 6-9 เดือนตามที่ว่า มีความรู้สึกว่าในสามปีนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากจะทยอยปรับขึ้นอีกหลายระลอกคะ หนูว่าในปี2551 น่าจะเห็นปรับขึ้นจากจุดนี้อีกอย่างน้อย 1.50 % ค่ะ ความรู้สึกตอนนี้ที่อยากเป้น คือมีความสุขได้มากที่สุดเท่าที่ตัวเองจะเป็นได้ ในทุกๆ สถานะ โอกาสที่เปลี่ยนไป ซึ่งยากมากค่ะ อย่างเช่นพี่คนสวยอาจจะเหมาะกับการเล่นหุ้นมากกว่า พี่คลายเครียดลงตัวกับการจัดสรรการลงทุนอย่างลงตัว หนูเองคงไม่ได้มีโอกาสรับทราบและปฏิบัติ ถ้าไม่ได้ฟังคำแนะนำจากพี่ๆ ค่ะ ยังไงเริ่มเสียตอนนี้ ก็ไม่คิดว่าสายไป เริ่มทำดีกว่าไม่ได้เริ่มใช่ไหมคะ กล. เรือ่งจริงก็คือ ตั้งแต่เป็นเด็ก เคยคลุกคลีอยู่กับบริษัทเงินทุนวิ่งเข้าวิ่งออกทั้งวัน ก็รู้อย่างเดียวว่า ดอกเบี้ยสูง ความเสี่ยงก็สูง จำได้ว่า ตอนสูงมากๆ เนี่ย ดอกเบี้ยเงินฝากร้อยละ 18 ได้มั้งคะ แล้วตอนที่พัง ก็เห็นเหมือนกันว่า ป๊าต้องไปทวงเงิน โชคดีว่าได้เงินคืนมาครบเพราะ อาเป็นเจ้าของทรัสต์เอง แต่อีกหลายๆ ที่ ลูกค้าสูญเงินไปเยอะ ทีนี้ไม่กล้าถามป๊าเรือ่งฝากเงินกับทรัสต์หรือบริษัทเงินทุนอีกเลย ล่าสุดไปถาม kk ยอดหนึ่งล้านหกเดือนขึ้นไป ให้5.25 % นั่นมันประมาณ 4 ปีที่แล้ว ตอนนี้น่าจะให้ไม่ถึง 3% ดีใจคะที่พี่ปรัชญามาช่วยยืนยัน ก็อุ่นใจขึ้นมากค่ะ จากคุณ : เตียวเสี้ยน - [ 27 มิ.ย. 48 13:59:15 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาอ่านครับ จากคุณ : rcII - [ 27 มิ.ย. 48 14:02:26 A:61.91.162.230 X: TicketID:091348 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ช่วงก่อนวิกฤติผมฝากเงิน  บง.เคเค   ได้ดอกร้อยละ18.5% ฝาก  ธนาคารมหานครประจำ18เดือน   ได้ดอกร้อยละ16.5% รับดอกรายเดือนโดยการเปิดบัญชีออมทรัพย์ไว้ ทางแบ๊งก์จะโอนดอกเบี้ยเข้าบัญชีให้ แล้วไปถอนดอกมาใช้  ได้ทุกเดือน ตอนเคเคถูกปิดใจไม่ดีเหมือนกัน พอเปิดก็ได้ดอกตานนั้น ฝากครั้งสุดท้ายได้ดอกร้อยละ6.5ตั๋วใช้เงิน3ปี   หมดเมื่อ3-4ปีก่อน และย้ายมากรุงไทยได้ดอกร้อยละ4.1%ประจำ3ปี ครบกำหนดระยะเดือน  พค.นี้ กินดอกเบี้ยเป็นล่ำเป็นสัน ส่วนพันธบัตร ก็ซื้อทุกรุ่นที่ประชาชนอย่างเราซื้อได้ หรือเข้าคิวมาได้ 5ปี  10ปี  แต่ยอดผมไม่ถึง8หลักนะครับ อย่าคิดว่าฝากเยอะ จึงยังมั่นใจว่าฝาก  บง.วันนี้แบ๊งก์ชาติยังรับประกันเต็มจำนวน   จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง  คงปลายปีหรือปีหน้า  กฏหมายใหม่ออกมาคอยปรับตัวกันอีกที คิดว่าเกิดมาชาตินี้คงไม่ได้เจออีกแล้ว ดอกเบี๊ยเงินฝากเกือบ  20%  ที่ได้รับ แบบรางวัลที่  1  ถูกครั้งเดียวก็เกินพอ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 14:23:08 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 14:22:02 จากคุณ : P_ปรัชญา - [ 27 มิ.ย. 48 14:18:36 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พี่ปรัชญา คิดว่าจะไม่เห็นดอกเบี้ยเงินฝากที่20 % แล้วซัก 10 % พอเป้นไปได้ไหมคะ หนูก็อยากถูกรางวัลกะเขามั่งอ่ะ แต่ทำไงได้ ไม่เคยซือ้หวยสลากอะไรกะเขาเลย เต็ง โต๊ดยังไงก็ซือ้ไม่เป็น แต่ถ้าถาม จะซือ้ เอเพียว หรือลวดบูรพา หรือ สามที ทรู หรือ หุ้นตัวไหนๆ น่าจะได้เรือ่งได้ราวกว่าค่ะ ขอบคุณพี่ปรัชญาอีกทีค่ะ เงินฝากกะจิ๊ดริด ก้คงต้องพึ่งบริการ บง. แหละค่ะ พี่มีความเห็นอย่างไรว่าเกี่ยวกับระยะเวลาที่จะเปิดดีคะ สำหรับช่วงนี้ คือถ้าคิดว่าเป็นเงินเย็นก็จริงแต่ หากอัตราดอกเบี้ยจะมีการแข่งกันปรับขึ้น ในต้นปีหน้า หากเราฝากระยะยาวจะเสียประโยชน์ไปไหมคะ จากคุณ : เตียวเสี้ยน - [ 27 มิ.ย. 48 14:28:23 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอเสริมอีกนิด วิกฤตสถาบันการเงินรอบหลังสุด มันหนักหนาเกินความสามารถของระบบธนาคารจะเอาอยู่ เลยกลายเป็นว่า  แม้แต่บริษัทเงินทุนที่ธนาคารถือหุ้นใหญ่ ก็ยังล้ม   ยังดีที่วินัยการคลังของเรายังดี สามารถค้ำประกันเงินฝากทั้งระบบ ของสถาบันการเงิน  ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ในการรับรองได้ ตอนที่คุณเตียวเสี้ยนพูดถึงดอกเบี้ย ๑๘ % มันเป็นวิกฤตสุดๆแล้ว แทบจะเรียกได้ว่า   ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยทำพลาดนิดเดียว ระบบธนาคารล้มทันที ดอกเบี้ยสูงขนาดนั้น   ก็ไม่สามารถดูดเงินฝากเข้าสถาบันการเงินได้ เศรษฐีบางคนเลือกฝากธนาคารต่างประเทศแทน บางคนถอนเงินสด มาเก็บที่บ้าน เสี่ยงตายจากการปล้นก็มี เพราะคนเริ่มหมดศรัทธาในสถาบันการเงิน แม้แต่ธนาคารขนาดเล็ก  ยังโดนแห่ถอนเงินฝาก โชคดีที่หนี้สาธารณะของไทยยังมีน้อย   ส่วนใหญ่เป็นหนี้ภาคเอกชน ก็เลยรอดมาได้   ด้วยการเรียกศรัทธาของสถาบันการเงินคืนมาเป็นอันดับแรก ของคุณปรัชญาฝากก้อนใหญ่ไว้ในที่เดียว เลยเสียเวลาคืนเงินนานหน่อย ผมจำได้ว่า  เขาใช้วิธีนับจำนวนเงินรวมของแต่ละที่รวมกัน ไม่ใช่วิธีนับตั๋วเงินฝากแต่ละใบ บางคนจะโดนห้ามถอนแค่ ๖ เดือน   ส่วนห้ามถอนนานที่สุดคือ ๕ ปี ของที่บ้าน  โดนสูงสุดแค่หนึ่งปี เพราะกระจายความเสี่ยงออกไปหลายบริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนในระบบแห่งสุดท้ายที่ล้มคือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาสมุทร ของกลุ่มไทยสมุทรประกันภัย ซึ่งส่วนหลักทรัพย์กลายเป็นยูโอบีในปัจจุบัน ส่วนเงินทุนต้องเลิกกิจการไป และผู้ฝากเงินต้องนำตั๋วสัญญาใช้เงิน ไปเปลี่ยนเป็นเช็ดธนาคารกรุงไทย หรือให้ถือเป็นพันธบัตรของกองทุนฟื้นฟู จำไม่ค่อยได้แล้ว สถานที่เปลี่ยนตั๋ว ต้องไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ตรงบางขุนพรหมโดยตรง ส่วนการเปลี่ยนตั๋วรอบแรก  จำได้ว่าอยู่ที่โรงแรมอโนมา ? ตรงข้ามเวิร์ลเทรด ซึ่งได้เงินต้นครบทุกบาททุกสตางค์ บวกดอกเบี้ยซึ่งต่ำกว่าเงินฝากธนาคารในแต่ละช่วงนั้นๆ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 14:33:12 จากคุณ : endophine - [ 27 มิ.ย. 48 14:31:04 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คงต้องดูวิกฤติล่ะครับคุณหญิงเตียว ถึงจะเห็นดอกสูงๆ แต่ตอนนี้เงินจะท่วมแบ๊งก์แล้ว หุ้นที่ว่าคงต้องไปกับอาจารย์เผ่นพันลี้ล่ะครับ เคยเห็นท่านอาจารย์ว่า ลอยมาในอากาศ จากคุณ : P_ปรัชญา - [ 27 มิ.ย. 48 14:31:28 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เฮียเรื่องดอกเบี๊ยเงินฝากนี่เก็บไว้คุยเล่าให้ลูกหลานฟังได้เลย เพราะส่วนใหญ่จะเจอแต่ดอกเบี๊ยเงินกู้ร้อยละ18% มียุคเชาวลิตกับท่านชวนเชื่องช้าเท่านั้นที่ทำได้ จากคุณ : P_ปรัชญา - [ 27 มิ.ย. 48 14:35:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 นั่นซิครับคุณปรัชญา บางคน   มันไม่ใช่เรื่องอดีตที่จะลืมเลือนไปได้ เพราะมันเป็นอดีตที่ยังส่งผลร้ายมาถึงปัจจุบันนี้ ดอกเบี้ยสูงขนาดนั้น  สูงสุดจำได้ว่าขึ้นถึง ๑๖ % มันทำให้คนเป็นจำนวนมากตัดสินใจพลาดตอนแก่ ข้าราชการบางคน แทนที่จะเอาบำนาญแบบมีพอกินพอใช้ กลับเลือกเอาบำเหน็จเป็นก้อน มาฝากธนาคาร  หวังกินดอกเบี้ยดีๆยังชีพ คนฝาก กบข.ก็ฝันหวาน   คำนวณรายได้จากฐานดอกเบี้ยที่สูงๆ อีก ๕ ปีกว่าๆก็ทบต้นแล้ว ที่ไหนได้  ดอกเบี้ยที่ได้ตอนนี้ จะจ่ายค่าไฟแอร์ยังไม่พอเลย กลายเป็นต้องมาหาอาชีพอิสระทำตอนแก่ ส่วนจะกลับไปทำงานอีก ไม่มีใครที่ไหนยอมรับแล้ว ถ้าไม่ใช่ระดับบริหารเก่งๆ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 15:27:46 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 14:59:01 จากคุณ : endophine - [ 27 มิ.ย. 48 14:58:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 โหวตครับ จากคุณ : ชัยโอ๋ - [ 27 มิ.ย. 48 17:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณ   ครับ จากคุณ : samsam - [ 27 มิ.ย. 48 18:38:31 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ได้อ่านประสบการณ์ของพี่ๆๆๆทั้งหลาย ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดีๆๆของพี่ๆทั้งหลาย จากคุณ : Myth&Miracle - [ 27 มิ.ย. 48 18:57:47 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แปลกใจจังเลย ไม่เห็นมีใครพูด ถึง กองทุนตราสารหนี้ เลยเหรอ ไม่ต้องฝากถึง 3 เดือนก็ได้ดอกเบี้ย ไม่ต้องเสียภาษี สภาพคล่องสูงมาก เคลื่อนไหว ว่องไวดี ไม่สียโอกาส ตอนดอกเบี้ยขาขึ้นและ ลง ทำไมหนอๆ จากคุณ : SKULL - [ 27 มิ.ย. 48 19:24:58 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เอ่อ..ไม่ได้ถามนะครับ แต่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : พ่อ@LLถุง - [ 27 มิ.ย. 48 19:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เข้ามาขอศึกษาบทเรียนชีวิตจริงของพี่ๆชาวสินธรครับ ขอบพระคุณครับ จากคุณ : โท้น้อย - [ 27 มิ.ย. 48 21:17:19 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ได้กำไรที่ไม่ใช่เงินครับ จากคุณ : cdma - [ 27 มิ.ย. 48 21:51:36 A:61.91.185.44 X: TicketID:097947 ]

ความคิดเห็นที่ 27 สำคัญที่สุดก็คือ  การรักษาระเบียบวินัยและหลักการในเงินลงทุนของตนเอง ตอนดอกสูงสุด  ตอนนั้นผมก็ย้ายย้ายbankและ บง.เป็นว่าเล่น  ฝากแบบ3เดือนเพราะรู้ว่าดอกเบี้ยผันผวน  โอกาสเป็นของเรา   ในที่สุดเล่น NCD เหมือนฝัน ภาษีแค่1% เป็นวิธีซิกแซกของ bank และ บง.  จนเกือยช่วงสุดท้าย  ผมเตือนภรรยาเลยว่าอย่าโลภกับอีกเพียง 1-2%  ให้ย้ายเข้า bank ใหญ่เพื่อความปลอดภัย  เราอยู่ในตลาดหุ้นเห็นเรื่องร้ายมาเยอะ  อย่ารอให้มันเกิดจะเผ่น1000ลี้ไม่ทัน  หลบเข้าที่ปลอดภัยก่อน   ภรรยาก็อยู่ในโอวาทเชื่อเพราะเงินได้มาลำบากจะให้หายไปง่ายๆก็กล้ว เลยไม่ต้องไปยื่นเรื่องรอรับเงินครับ   เพราะความโลภที่พอดีๆไม่มากจนเกินควรและข้สำคัญ   เรารู้จักคำว่า   พอแล้วหละ จากคุณ : aeaw - [ 27 มิ.ย. 48 22:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เข้ามาอ่านด้วยคน ขอบพระคุณสำหรับประสบการณ์ที่มีค่า ของ พี่ๆค่ะ จากคุณ : แพม - [ 27 มิ.ย. 48 22:55:33 A:61.91.122.162 X: TicketID:062150 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณเอี๋ยวสมเป็นเจ้าสำนักเผ่นพันลี้ เผ่นก่อนทุกที  ไม่ว่าตลาดเงินหรือตลาดทุน  ฮาๆๆๆ คุณสักวันฯ   อ่านดูให้ดีๆจะรู้ว่า   การใช้จ่ายของผม  ไม่ว่าเรื่องเที่ยวหรือซื้อของ จะเน้นที่ราคาประหยัดกว่าปกติเป็นหลักใหญ่ หนี้บัตรเครดิตที่ยอดคงค้างสูงสุดที่ ๒๐,๐๐๐ บาท เกือบครึ่งเป็นการรูดบัตรชำระค่าตั๋วไปภูเก็ต ของการบินไทย ที่มีส่วนลดเกือบ ๔๕ %   มีของอย่างหนึ่งที่ผมซื้อแล้วเสียท่าตลอดคือ เครื่องฟอกอากาศ     คุณskull ที่โพสกัน   คือเน้นแต่เงินฝากที่รัฐบาลค้ำประกันเงินต้นเต็มจำนวนครับ ส่วนกองทุนตราสารหนี้ ตอนฟองสบู่แตก   มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ความจริงว่า กองทุนตราสารหนี้   ก็มีราคาต่ำกว่าพาร์ได้เหมือนกัน เมื่อก่อนเคยนึกว่า  ยังไงก็ไม่มีทางต่ำกว่าพาร์แน่นอน กองทุนตราสารหนี้จะลงไปต่ำกว่าพาร์ได้ ถ้าไปถือหุ้นกู้ที่มีพักการชำระหนี้ กองทุนจะต้องตีค่าหุ้นกู้นั้นเป็นศูนย์ไว้ก่อนในทันที แก้ไขเมื่อ 28 มิ.ย. 48 07:49:47 จากคุณ : endophine - [ 28 มิ.ย. 48 07:48:46 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แฮะๆๆๆ   ที่จริงโรคกลัวขึ้นสมองนะครับเฮีย  เงินเมียที่ได้จากการค้าขายล้วนๆต้องรักษาให้ดีเก็บไว้ให้ลูก    ส่วนเงินเราเอาเข้ามาลงทุนในหุ้นความเสี่ยงสูงมากๆก็ต้องระวัง   ยกเว้นว่าติดธุระจนไม่สามารถระวังได้เท่านั้นครับ  แต่ยังไงๆขั้นสุดท้ายก็ต้องเก็บให้ลูกหลาน  เลยต้องรู้จักคำว่า  พอแล้ว ครับ จากคุณ : aeaw - [ 28 มิ.ย. 48 08:35:21 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณ ทุก ๆ ท่านสำหรับประสบการณ์ :) ขอ Safe เก็บไว้อ่านอีกสักหลาย ๆ รอบ :) ขอบคุณครับ จากคุณ : BeSmile - [ 28 มิ.ย. 48 08:49:57 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ผมมาอ่านดูอีกที  ต้องขอบคุณเฮียคลายเครียด และขอโทษเฮียด้วยครับ ที่พูดจาไม่ดีครับ ผมไม่มีเจตนาทำให้เฮียโกรธครับ และผมได้แจ้งลบความเห็นของตัวเองไปแล้วครับ ผมขอขอบคุณทุก ๆ ท่านครับที่กรุณาสละเวลาเล่าประสบการณ์ให้ได้อ่านกันครับ จากคุณ : สักวันเราคงจะรู้จักกัน - [ 28 มิ.ย. 48 11:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอบคุณครับ เรียนรู้ไว้เผื่อประสบการณ์ข้างหน้าที่ไม่มีอะไรแน่นอน จากคุณ : ธราธิป - [ 28 มิ.ย. 48 12:30:50 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มาอ่านดูอีกที ผมก็เลยเจอความจริงว่า บางครั้งเรา อาจจะเข้าใจกันผิดได้ง่ายมากๆ นี่ยังงงๆ อยู่เลยว่า ผมโกรธคุณสักวันฯเรื่องอะไรหว่า ยิ่งไปลบความคิดเห็นออก  ยิ่งงงไปกันใหญ่ ไม่เห็นมีข้อความไหน ที่อ่านแล้วรู้สึกไม่ดีเลย จากคุณ : endophine - [ 28 มิ.ย. 48 14:10:13 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สถาบันการเงินที่ล้มรอบแรก เกิดขึ้นในปี 1982 เป็นครั้งแรกในประวัติศาตร์ประเทศไทย รัฐบาลจึงยังไม่ได้ตั้งหลักเตรียมรับสภานะการณ์ ได้เงินต้นคืน  แต่ไม่ได้ดอกเบี้ยแม้แต่บาทเดียว และกว่าจะได้คืนก้อนแรก ใช้เวลาเป็นปี เป็นเรื่องที่เกิดมาแล้วยี่สิบสามปี คนที่จะมีเงินแบ่งไปฝากทรัสต์ นอกเหนือจากการฝากธนาคาร  และมีจำนวนเงินมากพอที่จะโดนกักไว้นานถึง 10 ปีเท่าที่เห็นๆตอนนั้น ล้วนมีอายุประมาณ 35 +- อายุตอนนี้ น่าจะสักประมาณ 58 +- ถ้าเด็กกว่านี้ ไม่น่าจะเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ได้แต่ฟังเขาเล่ามา เนื่องจากธนาคารชาติเป็นผู้อนุญาติให้ทรัสตร์เหล่านี้เปิดขึ้นมา ทำไมไม่รู้จักตรวจสอบ ควบคุมให้รัดกุมหน่อย ทีที่อังกฤษ มีทรัสต์ และธนาคารตั้งหลายร้อยแห่ง ญี่ปุ่นเข้าไปกว่าครึ่งร้อยแล้ว ไม่เห็นมีอย่างเราเลย พวกเราที่โดน เลยจัดประชุมหาทางแก้ไขที่โรงแรมนารายณ์   พวกคนรวยมากๆลงขันกันเป็นสปอนเซ่อร์ด้านค่าใช้จ่ายทั้งหมด  ดิฉันไปฟรี  แล้วเราก็เดินขบวนไปที่ธนาคารชาติ แล้วตะโกนเรียกนายศุภชัยให้ออกมาคุยด้วยหน่อย คุณรู้ไหม หลังจากนั้น มีการตกลงกัน พวกเขานัดให้เราเอาตั๋วไปเปลี่ยนกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง โดยบอกว่า ทางรัฐรับรอง ตรวจสอบแล้ว ว่าอยู่ในฐานะการเงินแข็งแกร่ง เชื่อถือได้ อยู่แถวๆ First Trust เก่าตรงเยาวราช   ถึงวันนัด เราแห่กันไปแต่เช้า พอเราไปถึง .... ต้องด่าหน่อย ยังแค้นไม่หาย รู้ไหมว่าเจออะไร ???? สถาบันแห่งนั้น ปิดประตูเหล็กม้วนข้างหน้าอย่างมิดชิด มีป้ายแขวนไว้แบบทำเร่งด่วน เขียนว่า  ปิดกิจการ นี่ขนาดธนาคารชาติเป็นผู้รับรอง และเป็นคนนัดนะ เราทำอะไรกันต่อจากนั้น เพื่อเอาเงินเราคืน ใครก็ได้ ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ ช่วยมาเล่าต่อให้หน่อย เป็นวิทยาทาน ว่าเรื่องนี้ได้เกิดขึ้น เหลือเชื่อ ในแผ่นดินสยามนี่แหละ ไม่ใช่รอบที่สอง ที่ปิด 56 สถาบันการเงินพร้อมๆกัน นี่มันเพิ่งเกิดในปี 1997 คือ 9 ปีที่แล้ว เรื่องนี้ ใครๆก็รู้ ได้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ยังงี้ยังด่านายกจิ๋วอีก บุญแค่ไหนแล้ว ได้คืนเร็วมากๆด้วย อ้อ ตราสารหนี้ ดิฉันก็โดนค่ะ ใหญ่ที่สุด และดีที่สุด ในประเทศไทยตอนนั้นด้วย กองทุนบัวหลวงทวีทรัพย์ไงล่ะคะ ผ่านไปตั้ง 7 - 8 ปี ดิฉันลืมไปแล้ว ยังมากระตุ้นความทรงจำ โดยการ ส่งเช็คที่ตามทวงหนี้มาเฉลี่ยคืนให้ ตั้ง 14 บาทแน่ะ ยัง ยังไม่หมด เจ้าสหธนกิจ ที่มีธนาคารใหญ่ๆรับรอง มีธนาคารชาติค้ำอีกที เจ๊งไปแล้วค่ะ งาบเงินดิฉันติดไปดูเล่นปีหนึ่ง แล้วคืนมาพร้อมดอกเบี้ย ทำให้ดิฉัน ไม่มีเงินทุนทำมาหากินไปตั้ง 1 ปีเต็มๆ เพราขายหุ้นล้าง port ไปพอดี แล้วเงินก็ติด เพราะโบรกยื้อจนถูกปิด ตราสารหนี้ก็ปิดตัวเอง เงินติด 1 ปีเหมือนกัน นี่ไม่มีดอกเบี้ย และแล้ว SET ก็ดิ่งพสุธา เหลือ 204 จุด ได้เงินคืนพอดี๊ พอดี จากคุณ : prettypetite - [ 28 มิ.ย. 48 14:58:08 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เข้ามาครังแรกก็ใด้รับความรู้มากมายขอบคณุคะ จากคุณ : ฮอยยั่น (ngan_98) - [ 28 มิ.ย. 48 20:33:32 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อยู่ที่ H.K มีนายจ้างอายุ 92ปีแล้วยังเล่นหุ้นเก่งมาก ยังคิดเลยว่ากลับไปเมืองไทยจะไปลงทุนกับหุ้น แต่ไม่เข้าใจเท่าไรใด้มาอ่านแล้วเข้าใจขึ้นมากเลย ขอบคณุคะ จากคุณ : ฮอยยั่น (ngan_98) - [ 28 มิ.ย. 48 20:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณทุกท่านที่ได้แบ่งปันความรู้   ให้กับผู้อื่นครับ จากคุณ : Joy.BJ - [ 29 มิ.ย. 48 10:26:36 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เข้ามาอ่านอีกรอบครับ :) จากคุณ : rcII - [ 29 มิ.ย. 48 10:54:12 A:61.91.161.119 X: TicketID:091348 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ตามเก็บมารายละเอียดจนเม็ดสุดท้ายค่ะ จากคุณ : Eternalise - [ 29 มิ.ย. 48 18:16:55 ]

ความคิดเห็นที่ 42 อ่า...........เฮียครับ ที่แท้ผมเข้าใจผิดไปเองเหรอครับ ง่ะ  อายจัง ผมอ่านความเห็นของพี่: prettypetite  แล้้ว   เห็นภาพแล้วมันน่ากลัวจังครับ พี่เล่าต่อซิครับว่าได้เงินคืนยังไง แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 48 19:51:31 จากคุณ : สักวันเราคงจะรู้จักกัน - [ 29 มิ.ย. 48 19:50:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 แวะมาอ่านอีกครั้งครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 10:33:32 จากคุณ : Joy.BJ - [ 30 มิ.ย. 48 23:19:58 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โหวตครับ จากคุณ : ซีเค - [ 1 ก.ค. 48 09:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ได้ความรู้ดีจัง จากคุณ : NickyAlex - [ 6 ก.ค. 48 16:19:23 ]