ความคิดเห็นที่ 1 Future จะ trade ได้ สองฝั่ง คือ Long (สัญญาซื้อ) Short (สัญญาขาย) ซึ่งทั้ง Future และ Option จะ เรียกว่าตราสารอนุพันธ์ คือ ราคา จะอ้างอิง กับ อะไรสักอย่าง เหมือน warrant อ้างอิงกะ หุ้นแม่ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 11:34:34 จากคุณ : chinn - [ 27 มิ.ย. 48 11:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาดู Option บ้าง การซื้อขายOption คือ การซื้อขายสิทธิ โดยให้สิทธิ แก่ผู้ถือ(ผู้ซื้อ)Option ว่า เมื่อถึงเวลา ที่ระบุไว้ ผู้ถือ Option สามารถ นำมาใช้สิทธิ ได้ (ไม่ใช้ ก็ได้) แต่ผู้ขาย(ผู้ออก)Optionมี ข้อผูกมัดว่า เมื่อออกOption แล้ว เมื่อมีผู้มาใช้สิทธิ ต้อง ให้สิทธินั้น Option มี 2ประเภท -Call Option -Put Option Call Option(แปลว่าเรียก)(คล้าย warrant) ให้สิทธิ แก่ผู้ซื้อว่าสามารถซื้อสินทรัพย์ ที่ Optiionอ้างอิงไว้ ได้ที่ราคาที่กำหนดไว้(Strike Price) ยกตัวอย่าง หุ้น ปตต 230 ปัจจุบัน ผมอาจจะออกCall Option ปตต ในราคา200บาท ต่อ1ใบ (1ใบเท่ากับ ปตต 100หุ้น) โดยกำหนดว่า Strike price เท่ากับ 238บาท อาจจะมีคนมองว่า ปตต ยังขึ้นไปได้มากกว่านี้ แต่ไม่กล้า ลงทุน 230บาทต่อหุ้น ก็บอกว่า ลงทุนแค่ 200บาท ก็เท่ากับ ลงทุน ปตต 100หุ้นแล้ว ก็ซื้อไป สมมุติว่าถึงเวลาที่กำหนด หาก ปตต ราคาอยู่ที่ 250บาท คนที่ถือ Option นั้น ก็จะได้ กำไร เท่ากับ 12บาท ต่อหุ้น โดย ถือ 1ใบ เท่ากับ 100หุ้น ก็จะได้กำไร 1200 บาท ผู้ถือใบใช้สิทธิก็จะนำใบนั้นมาใช้ ไม่ก็ขายลงไปในตลาด แต่ถ้าสุดท้าย ปตต ไม่ถึง 238 ก็จะหมดราคาไป ผู้ถือก็จะขาดทุน200บาท ส่วนผู้ออก Option ก็มีหน้าที่ หากมีใครมาใช้ สิทธิ ก็ต้อง นำ ปตต มาส่งมอบ 100หุ้น ต่อ 1ใบ แต่ จากหนังสือ Rich Dad บอกว่า จากสถิติแล้ว Option มักไม่มีการนำมาใช้สิทธิ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 11:54:57 จากคุณ : chinn - [ 27 มิ.ย. 48 11:53:17 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Put Option(แปลว่าผลัก) ให้สิทธิ แก่ผู้ซื้อว่าสามารถซื้อสินทรัพย์ ที่ Optiionอ้างอิงไว้ ได้ที่ราคาที่กำหนดไว้(Strike Price) ยกตัวอย่าง หุ้น ปตต 230 ปัจจุบัน ผมอาจจะออกPut Option ปตต ในราคา200บาท ต่อ1ใบ (1ใบเท่ากับ ปตต 100หุ้น) โดยกำหนดว่า Strike price เท่ากับ 222 บาท อาจจะมีคนมองว่า ปตต น่าจะลงแต่มีหุ้นอยู่ไม่กล้าขาย เพราะกลัวขายหมู ก็บอกว่า ลงทุนแค่ 200บาท ก็เท่ากับ ขายปตต 100หุ้นแล้ว ถ้ามันลงหนักอย่างที่คิดก็ได้กำไร ถ้าไม่ลงก็ขาดทุนแค่ช่องเดียว ก็ซื้อไป สมมุติว่าถึงเวลาที่กำหนด หาก ปตต ราคาอยู่ที่ 200บาท คนที่ถือ Option นั้น ก็จะได้ กำไร เท่ากับ 22บาท ต่อหุ้น โดย ถือ 1ใบ เท่ากับ 100หุ้น ก็จะได้กำไร 2200 บาท ผู้ถือใบใช้สิทธิก็จะนำใบนั้นมาใช้ ไม่ก็ขายลงไปในตลาด แต่ถ้าสุดท้าย ปตต ไม่ต่ำกว่า 222 ก็จะหมดราคาไป ผู้ถือก็จะขาดทุน200บาท ส่วนผู้ออก Option ก็มีหน้าที่ หากมีใครมาใช้ สิทธิ ก็ต้อง ซื้อ ปตต 100หุ้น ต่อ 1ใบ ในราคา Strike price จากคุณ : chinn - [ 27 มิ.ย. 48 12:03:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ก็จากกรณี กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I3564177/I3564177.html ผมก็ได้โชว์วัว ตัวเบ้อเริ่มไปแล้ว เพราะพบว่า เป็นการลบข้อดีของ DSM ไป เนื่องจาก มีข้อจำกัดเรื่องเวลาเข้ามา ทำให้เวลาขาย แล้ว จะซื้อกลับก็ไม่ได้ต้องรอ คนมาใช้สิทธิ ซึ่งมันอาจจะทำให้เงินช้าลงไปอีก และ กลายเป็นซื้อก่อน ขาย แต่ก็หวัง ว่า เพื่อนๆ พี่ๆ จะไปคิดต่อ อาจจะได้วิธีที่ดีกว่า หรือฝึกสมองเล่นๆ ก็ได้ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 48 12:08:25 จากคุณ : chinn - [ 27 มิ.ย. 48 12:07:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณ สำหรับทัศนะดีดีครับ ผมเคยเล่นใน 202 แล้วชอบการ ซื้อ future และ option มากครับ future ผมไม่เสียเงินซื้อเลยครับ ถ้าได้ที่ก็รวยเละเลยครับ เพราะซื้อล่วงหน้าได้ถึง 10000 แต่ถ้าพลาด ก็ล้มละลายแน่นอนครับ ส่วน option ลงทุนน้อย ได้กำไรเยอะ แต่ผมก็มักจะพลาดบ่อย เพราะยังดูกราฟไม่ค่อยเก่ง ผมว่ามันก็ไม่เข้ากับแนวคิด กำไรเมื่อซื้อ เลยครับ เสี่ยงมากด้วย แต่......สนุกสุดสุดครับ จากคุณ : leonarnai - [ 27 มิ.ย. 48 12:50:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ตามมาอ่านต่อและขอบคุณ คุณchinn ครับ :) จากคุณ : rcII - [ 27 มิ.ย. 48 13:44:50 A:61.91.162.230 X: TicketID:091348 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณครับ จากคุณ : wayu_w - [ 27 มิ.ย. 48 22:25:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 น่าจะมีปัญหาเวลาปฏิบัติครับ เพราะ 1. option หรือ future มันมีวันหมดอายุครับ ไม่เหมือนกับหุ้น จึงทำให้เป็นข้อจำกัดที่สำคัญ และอีกข้อหนึ่ง 2.เนื่องจาก future และ option เป็นสิทธิหรือ ข้อตกลงในการซื้อ หรือขายในอนาคต ราคาของมันจึงไม่ใช่ราคาเต็ม แต่จะถูกกว่ามาก ดังนั้นมันจะมี leverage สูง (กำไรขาดทุนแรง เหมือน warrant) แต่!! เวลาเขาคิด commission เขาจะคิดจาก underly asset คือราคาเต็ม ดังนั้น commission จะแพงมาก (อย่างใน agriculture future เนี่ย ประมาณ 10% ) ดังนั้น คุณ เข้า ๆ ออก ๆ ก็โดน commission กินหมดครับ สำหรับที่เจ้าของกระทู้กังวล ใน #4 อันนั้นเป็น liquidity risk ครับ คือสภาพคล่องมันต่ำ ก็คงเป็นปัญหาเดียวกับคนที่ไปทำ DSM ในหุ้นที่ขาดสภาพคล่อง ดังนั้น เวลาต้องการจะซื้อ (หรือขาย) บางครั้งมันจะไม่ได้ราคาที่เราต้องการ แก้ไขเมื่อ 30 มิ.ย. 48 21:49:31 จากคุณ : ขออนุญาต post ซ้ำ (krit587) - [ 30 มิ.ย. 48 21:41:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบพี่krit  587 ครับ ที่ผมพูดไม่ได้หมายถึงการทำ DSM กับ ตลาด Future หรือ Optionครับ(ดังนั้นอายุไม่เกี่ยว) แต่ผมหมายถึงการขายหุ้นแบบDSMแล้ว ซื้อกลับด้วย Option เลย ในฐานะ คนออก Option(จะได้เงินทันที) ผมอ่าน Rich Dad เล่มนึง คุ้นๆ ว่า คุณ คิโยซากิ เขา ขาย Opition สิทธิในการขายให้กับผู้อื่น แล้วเขาก็ได้รับ เงินทันที แต่ ถ้ามีผู้มาใช้สิทธิ เขาก็ต้องซื้อหุ้นตัวนั้น ในราคา Strike Price เลยมองว่าเราสามารถทำเช่นนั้นได้ในอนาคต ไม่ได้ให้ซื้อๆ ขายๆ Optionนะครับ แต่ เราสามารถใช้ประโยชน์ จาก Option กับการTrade DSM ได้ สมมุติเราถือหุ้น อยู่ 1 ตัว ถ้าเป็น basic DSM เราขายก็ เพื่อจะซื้อคืน ไหนๆก็จะซื้อคืนอยู่แล้ว ก็ขายสิทธิในการขายให้ผู้อื่นเลยละกัน ถ้ามันลงมาจิง มีผู้ใช้สิทธิ เราก็ ได้หุ้นคืน พร้อมส่วนต่าง แต่ถ้าไม่มีผู้ใช้สิทธิ เราก็ได้ เงิน เพิ่ม และก็มีกองหลัง (แบบว่า ผมใช้ภาษาไม่ค่อยเข้าใจมั้ง เลยไม่มีใครเข้าใจ) ยกตัวอย่างนะครับ ผมซื้อ aaa มา10000หุ้น 10บาท ลงมา 9.9 ผมขายทิ้ง1000 หุ้น ผมก็หันไปมอง Option ก็ขายPut Option ให้ผู้อื่น ซึ่ง Strike price อยู่ที่ 9.5 ราคา .50 บาท 10หน่วย (1000หุ้น) ถ้ามีคนมาใช้สิทธิ ผมก็เท่ากับขาย DSM ไป 9.9 แล้ว ซื้อคืนที่ 9บาท ถ้าไม่มีคนมาใช้สิทธิ ผมก็มีกอง หลัง 9.9 และก็ได้ 0.5 มาด้วย กลายเป็นผมขายหุ้นไปในราคา 10.4บาทครับ แต่ที่กังวลว่า มันลบข้อดี ของ DSM ไป คือ เวลาในการ Trade ครับ เช่น เราขายไปที่ 9.9 แล้ว และ มันก็ลงไปถึง 8.9 แล้วทำท่าตีกลับ เราก็ไม่สามารถซื้อคืนได้ทันที แล้วถ้าจะลงกว่านั้นก็ขายต่อได้ทันที ถ้าเป็น DSM ของเดิม ต้องรอคนมาใช้สิทธิ เราก็เลยไม่ได้ ทำ DSMกับ หุ้นตัวนั้นอย่างเต็มที่ และ การขายสิทธินั้น เท่ากับเราบังคับตัวเองให้ซื้อคืน ที่ 9 บาทไปแล้ว ซึ่ง มันทำให้เรา ต้องถือหุ้น ขาลง ต่อ เพราะ ถ้า เป็น DSM ยังไม่หักหัวเราไม่ซื้อคืน แต่นี่ เราขายสิทธิให้ผู้อื่นถ้ามันลงมาหนัก เราก็ แทนที่จะได้ซื้อกลับแล้วขายต่อ กลับกลายเป็นว่าเราต้องรอ ผู้อื่นมาใช้สิทธิ ถึงขายได้ ซึ่ง เหตุการณ์ที่สมมุติ คือ หุ้นต้องตกหนัก DSM ของเดิมจึงจะดีกว่า ปล. ไม่ได้โต้แย้ง คุณ Krit 587นะครับ แต่แค่แก้ตรงส่วนที่พี่ไม่เข้าใจที่ผมพูดถึง ทั้งข้อ1 และ2 เพราะ ไม่ได้ ชวนเพื่อนๆ ไป Trade Optionด้วย DSM แต่แค่อยากจุดประกาย Idea เรื่องการ นำOption มาช่วยใน DSM ซึ่งผมมองว่า การขายสิทธิ Option คือการที่เรารับ ความเสี่ยงของผู้อื่น โดยแลกกับเงิน แต่ เพราะมี DSM มันจึงไม่ได้กลายเป็นเรื่องการ โอนความเสี่ยง จากผู้อื่นมาให้เรา เพราะ DSM มีการวางแผนขาย และ วางแผนซื้ออยู่แล้ว ปล.2 เดี๊ยวนี้ห้องเงียบจัง แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 07:11:32 จากคุณ : chinn - [ 1 ก.ค. 48 07:09:11 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คิดว่าที่ผมตอบ คงไม่ตรงกับที่เจ้าของกระทู้ถามอย่างที่ได้อธิบายเพิ่มเติม ผมพยายามอ่านที่ท่านเขียนขยายเพิ่มเติม และมีความเห็นเพิ่มดังนี้ครับ #ผมซื้อ aaa มา10000หุ้น 10บาท ลงมา 9.9 ผมขายทิ้ง1000 หุ้น ผมก็หันไปมอง Option ก็ขายPut Option ให้ผู้อื่น ซึ่ง Strike price อยู่ที่ 9.5 ราคา .50 บาท 10หน่วย (1000หุ้น)# ประเด็นมีดังนี้ครับ Option เป็นหลักทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กับ underlying asset เมื่อราคาหุ้นลงมาที่ 9.9 บาท ผมคิดว่า ถ้าให้ strike price เป็น 9.5 ราคา option จะเป็น 0 บาทครับ คือไม่มีใครยอมเสียเงินซื้อ put option ที่ strike price ราคานี้ครับ ลองคิดในมุมมองผู้ซื้อนะครับ ถ้าราคาหุ้น 9.9 บาท ทำไมฉันจะต้องเสียเงิน 0.50 บาท เพื่อ guarantee ว่า จะขายหุ้นได้ 9.5 บาทล่ะ ในเมื่อ ถ้าหุ้นตกไปเรื่อย ๆ จาก 9.9 ไปยัง 9.5 ฉันก็ขายตอน 9.5 ได้ ไม่ต้องเสีย premium 0.50 บาท คำถามคือ put option แบบใดที่ขายได้ ก็คือ put option ที่ strike price มากกว่า 9.9 (ราคา ปัจจุบัน) ครับ เช่น strike price เป็น 10.50 บาท และ!! เมื่อ strike price มากกว่า ราคาจริง ผู้ขายก็จะได้ค่า premium เช่น 0.60 บาท (เพื่อให้คนที่ซื้อ put ของท่าน เมื่อทำการ exercise ทันทีในวันที่ซื้อเลย จะไม่ได้ไม่เสียหรืออยู่ที่จุดสมดุลย์พอดี) ตัวเลข 0.6 เป็นตัวเลขประมาณการณ์นะครับ จริง ๆ มีปัจจัยอื่น ๆ เช่น -ถ้ามีค่า commision (ซึ่งเป็นภาระผู้ซื้อ) premium ก็จะลดลง -เนื่องจาก option มี leverage (ประโยชน์ผู้ซื้อ ไม่ต้องจ่ายเงินทั้งหมด) premium ก็จะสูงขึ้น แต่เราคิดตัวเลขกลม ๆ ที่ 0.6 แล้วกันนะครับ #ถ้ามีคนมาใช้สิทธิ ผมก็เท่ากับขาย DSM ไป 9.9 แล้ว ซื้อคืนที่ 9บาท ถ้าไม่มีคนมาใช้สิทธิ ผมก็มีกอง หลัง 9.9 และก็ได้ 0.5 มาด้วย กลายเป็นผมขายหุ้นไปในราคา 10.4บาทครับ# จากตัวอย่างที่ผมยกข้างบน นั่นหมายความว่า ที่ราคาหุ้นสามัญต่ำกว่า 10.50 บาทจะมีคนใช้สิทธิ กรณีที่ 1 มีคนใช้สิทธิ คุณก็จะต้องซื้อหุ้นคืนในในราคา 10.50 บาท ลบด้วย premium ที่ได้ตอนแรก 0.6 บาท ก็คือ 9.90 บาท นั่นหมายความว่าราคาหุ้นยิ่งลดต่ำ คุณยิ่งซื้อหุ้นคืนที่ราคาแพงกว่าราคาในตลาดจริง กรณีที่ 2 ไมมีคนใช้สิทธิ (คือราคาสูงกว่า 10.5 บาท) คุณได้ premium 0.6 บาท แต่คุณไม่ได้หุ้นคืน และซื้อในตลาดก็ไม่ได้เพราะราคาแพงกว่าตอนขาย มันอาจจะเป็นกองหลังก็จริง แต่เทียบกับ risk จากกรณีที่ 1 แล้ว ในความเห็นส่วนตัวผมว่าไม่คุ้มครับ ไม่ได้ต่อว่าอะไรนะครับ ก็แลกเปลี่ยนความรู้กัน ดีใจที่มีคนที่นำความรู้มาต่อยอดให้เกิดแนวคิดที่มากขึ้นครับ อย่างน้อยก็ขอให้มั่นใจว่ามีผมคนหนึ่งที่อ่านกระทู้ของท่านอย่างตั้งใจครับ (แม้ว่าตอนแรกจะอ่านผ่าน ๆ เลยตอบผิดไปครับ) จากคุณ : krit587 - [ 1 ก.ค. 48 08:28:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ผมขอเพิ่มอีกหน่อยนะครับ จะไปทำงานแล้ว ผมคิดว่าท่านเจ้าของกระทู้เป็นผู้ที่พี้นฐานด้าน derivative ดี(โดยเฉพาะถ้าไม่ได้เรียนด้านนี้มาก่อน ต้องยอมรับเลยว่า แจ๋วทีเดียว แต่ถึงแม้จะเรียนมาก็ยังนับว่าเก่ง เพราะบ้านเรายังไม่มี derivative) ผมเชื่อว่า derivative เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่ดี และสามารถหาผลตอบแทนที่ดี ได้ จึงของให้เตรียมตัวให้ดีกับ SET50 futures index ที่จะมาถึงนะครับ ผมมั่นใจว่า ท่าน จขกท จะสร้าง strategy ในการลงทุนในหุ้นสามัญร่วมกับ futures ดังกล่าว ให้ได้ผลตอบแทนที่ดีได้แน่นอน จากคุณ : krit587 - [ 1 ก.ค. 48 08:43:08 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตามอ่านต่อและขอบคุณ คุณchinn คุณkrit587 ครับ :) จากคุณ : rcII - [ 1 ก.ค. 48 12:26:48 A:61.91.161.209 X: TicketID:091348 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอบคุณ krit 587 อีกทีครับ ผมไม่ได้เรียนเรื่อง derivative หรอกครับ แค่นึกเรื่องนี้ออก ตอนอาบน้ำ กำลังไปทำงาน ก็เลย นึกอะไรสนุกๆ ว่า DSM แปลกดีนะ สามารถจัดการความเสี่ยง ของตนเองได้ดี จนสามารถไปรับความเสี่ยงของผู้อื่น โดยที่ความเสี่ยงของตนอาจไม่ได้เพิ่มขึ้น ผมก็เลยไปปรึกษาผู้ใหญ่ท่านนึง ที่กำลัง ทำเรื่องนี้อยู่ ก็ได้ความว่า วิธีที่ผมพูดถึง เหมาะกับ Optionเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมีการ tradeกัน อีก2ปี หลังจาก future ผมอยากบอกว่า ราคาที่ผมสมมุติ เป็นไปได้นะครับ เพียงแต่ ไม่รู้ว่าตลาดจะให้ราคา Risk เท่าไหร่ ต้องรอดู ของจริง แล้วค่อยสร้างกลยุทธ จากตัวอย่างของคุณ Krit "put option ที่ strike price มากกว่า 9.9 (ราคา ปัจจุบัน) ครับ เช่น strike price เป็น 10.50 บาท และ!! เมื่อ strike price มากกว่า ราคาจริง ผู้ขายก็จะได้ค่า premium เช่น 0.60 บาท" จะไม่มีใครยอมเป็นผู้ขาย Optionตัวนั้นแน่นอน และถ้ามีOption ตัวนี้รับรองขายดีแน่ แต่ไม่มีคนขาย เพราะถ้าผมถือหุ้นอยู่ผมจะ รีบซื้อ Option เลย ก็มีคนมาประกันให้ที่ราคาตลาดฟรีใช่ไหมครับ กลับกันมองในมุมคนออกOptionบ้าง คงไม่มีใครยอมซื้อ ที่ 10.5 เพื่อ ได้ 0.6 สรุปคือซื้อที่ราคาตลาด แต่หากราคามันเกิน 10.5 เขาก็ไม่ได้หุ้น ได้กำไรน้อยกว่าซื้อราคาตลาด 9.9 แต่หากมันลงต่ำกว่า เขาก็ต้องรับซื้อ 9.9 ซึ่งผมว่าไม่น่าคุ้มนะ ถ้าหากคนออก Option ไม่ได้เป็นคนที่อยากได้หุ้นจำนวนมากๆ ตัวอย่างผม extremeไปนิด ราคา จึงออกมา 9บาท เอง แต่ idea เหมือนเดิมครับ ยังไง ผู้ขายPut Option ก็ต้อง กำหนด ราคาOption + Strike price ต่ำกว่า ราคาตลาดไม่เช่นนั้น เขาจะรับค่าความเสี่ยงมาฟรีๆ แต่สิ่งที่ผมพิมพ์ออกมานี้ ก็ไม่เคยเห็นจิงๆ นะครับ ก็พูดตาม logic เฉยๆกับ เห็นในเกม 202 และหนังสือ rich dad (ในหนังสือคุณ คิโยซากิ เขาบอกว่า เขา ขายput Option ในราคา 200หน่วย โดย strike price เท่ากับ 42 ราคาตลาดอยู่ที่ 50) แต่ผมว่า เผลอตลาดเมืองไทยแรกๆ คง Quote ราคากันมั่วเลย สังเกตุจาก scib-c1 กับอีกหลายๆตัว ที่abbritageได้ส่วนต่างสบายๆ ปล. ผมไม่ได้แย้งคุณ krit 587นะครับ กลัวเข้าใจผิด แล้ว ถ้าคุณ krit มีstrategy อะไรดีๆ เล่าให้ฟังด้วยนะครับ ปล2. ห้องนี้ คนหายไหนกันหมดแล้วนะ หรือคุยmsnกัน หมด จากคุณ : chinn - [ 1 ก.ค. 48 13:08:04 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตามอ่านต่อครับ(ถึงบางอันจะยังไม่เข้าใจ แหะๆๆ)ขอบคุณ คุณchinn ครับ :) จากคุณ : rcII - [ 1 ก.ค. 48 13:20:06 A:61.91.161.209 X: TicketID:091348 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อยากให้เข้าไปที่ web นี้ อันแรกเป็นราคา spot หรือราคาปัจจุบันของหลักทรัพย์ http://finance.yahoo.com/q?s=msft เป็นของ microsoft ถ้าคุณเปิดก่อน 2 ทุ่ม ราคาจะเป็น24.84 อันต่อมาเป็นราคา option http://finance.yahoo.com/q/op?s=MSFT ดูที่ put นะครับ put option ที่ out the money หรีอ strike price น้อยกว่า 24.84 จะมีราคา ใกล้ 0 (ในนี้คือราคาต่ำสุด 0.05) แต่ถ้าตัวไหน strike price มากกว่า 24.84 ก็จะมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ลองเปรียบเทียบกับกรณีที่ผมยกตัวอย่างดูนะครับ และลองเอา put option ที่ in the money มาพิจารณาดู จะพบว่า ถ้าเอา strike price-ราคาปิด (close) จะใกล้เคียงกับราคา spot (24.84) จากคุณ : krit587 - [ 1 ก.ค. 48 14:47:14 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตามอ่านต่อและขอบคุณ คุณkrit587 ครับ จากคุณ : rcII - [ 1 ก.ค. 48 16:30:23 A:61.91.163.108 X: TicketID:091348 ]

ความคิดเห็นที่ 17 น่าสนุก จังเลยครับ ขอบคุณมากครับ คุณ krit มีคำถามครับ เท่าที่ดูนะครับ 1)เวลายิ่งมาก ราคายิ่งแพง แล้วทำไมในช่วงเดียวกัน เขา ถึงไม่ทำ ข้อมูลให้ดู ว่า Strike Price - ราคาไปเลย จะได้ ตัดสินใจง่ายๆ 2)ใครเป็นคนออก Option ครับ หรือใครก็ได้ 3)ค่าคอมเมืองไทยคงถูกกว่าเมืองนอกใช่หรือเปล่าครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ พอเห็นแล้วรู้สึกอยากให้ Option trade ใน เมืองไทยเร็วๆจัง บางครั้ง ในการตัดสินใจ จะขายหุ้น ผมอยากให้เมืองไทย มี Optionจัง จะได้ ทำให้บริหารง่ายขึ้น จากคุณ : chinn - [ 1 ก.ค. 48 22:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมตอบรวมนะครับ คืออย่างนี้ จริง ๆ แล้ว spec ของ option ที่ออกมา ถูกกำหนดโดย หน่วยงานหนึ่ง (ซึ่งก็คือตลาด หรือถ้าในไทยก็คงเป็น tfex) ว่า 1. เป็น put หรือ call 2. expire เดือนไหน 3. excercise หรือ strike price เท่าใด ราคา หรือ premium ที่ quote เป็นสิ่งที่เกิดจาก การซื้อขายจริง ว่าผู้ซื้อหรือผู้ขายเห็นว่าควรจะซื้อขายที่เท่าใด ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ เช่น Shin-w มี excercise price 20 บาท (สมมุตินะครับ) ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ถ้า shin ราคา 35บาท Shin-w ก็น่าจะมีราคา 15 บาท เพราะถ้ามีใครมาตั้งซื้อ Shin-wที่ 20 บาท ก็จะมีคนเอามาขายทันที เพราะดีกว่าเอาไป excercise และถ้ามีคนตั้งขายที่ 10 บาท ก็จะมีคนรีบซื้อทันที เพราะเห็นกำไรชัด ๆ ก็คงเป็นเรื่องของ abritrage ที่คุณพูดถึงแหละครับ ดังนั้น ราคาของ derivative ส่วนหนึ่งจะแปรผันตาม underlying asset กลับมาที่ option เวลาเราจะซื้อหรือขาย option เราก็จะดูว่า ตลาด หรือชาวบ้าน เขาซื้อหรือขายที่ราคาเท่าใด (ก็คือราคา execute ซึ่งก็มีความหมายเดียวกับ premium)  และเมื่อซื้อมาแล้ว excercise หรือ strike ที่เท่าใด  ถ้าเอา  ราคามาหักลบกัน ก็ไม่รู้ข้อมูลจริงสิครับ เพียงแต่สิ่งที่ผมทำให้ดู มันเป็นสมการง่าย ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ราคามันควรจะอยู่ที่ใด โดยการเอา strike-spot ก็จะได้ราคาที่ควรจะซื้อขายกัน(ยังไม่ได้พูดเรื่อง  expire factor นะครับ เอาเฉพาะ option ที่ใกล้หมดอายุก่อน เพราะถ้า อีกนานกว่าจะ expire : option นั้นจะมีราคาสูงกว่าที่คำนวณ เพราะมีโอกาสแก้ตัวได้นานกว่า ก็เหมือนกับ warrant ที่อายุ ยาว ๆ จะมี premium มากกว่า warrant ที่ใกล้หมดอายุครับ) เหมือนกับเราซื้อ warrant เราก็ต้องการข้อมูลว่ามัน excercise เท่าใด และราคาที่ซื้อขายเท่าใด เพื่อประกอบการตัดสินใจ เรื่องค่า com เนี่ยผมไม่แน่ใจครับ เพราะไม่ทราบข้อมูลของต่างประเทศ และที่พอรู้คือต่างประเทศ (USA) ค่า com เขาลอยตัวครับ และมีเงื่อนไขที่ทำให้แต่ละ broke ไม่เท่ากัน Option ในตลาดหุ้น เข้าใจว่าจะมี 2 แบบครับ คือ index option กับ single stock option เข้าใจว่าสิ่งที่น่าจะมาก่อนคือ index option เพราะ single stock option เป็นเรื่องที่ลงไปในรายละเอียด คือตลาดหุ้นไทย จะต้องมีหุ้นที่สุดยอดนิยม มี demand supply ในหุ้นตัวนั้นมาก จริง ๆ จึงออก single stock option ได้ ในความเห็นส่วนตัวผมคิดว่า อย่างน้อยก็อีก 5 ปีขึ้นไปครับ ส่วนกรณีของ index option จะมีเมื่อไร ขึ้นอยู่กับพี่ชาย คือ index futures ว่าเป็นที่นิยมมากขนาดไหน ถ้าพี่ แป๊ก น้องก็คลอดยากครับ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 48 23:30:52 จากคุณ : krit587 - [ 1 ก.ค. 48 23:11:18 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมกลับไปอ่านกระทู้เก่าๆ ที่ท่านเจ้าของกระทู้ post และเข้าใจว่า ท่านน่าจะกำลังศึกษาด้านบริหารธุรกิจ ผมเลยขออนุญาต แลกเปลี่ยนความรู้อีกประเด็นครับ ตัดจากความเห็นที่ 13 ##"put option ที่ strike price มากกว่า 9.9 (ราคา ปัจจุบัน) ครับ เช่น strike price เป็น 10.50 บาท และ!! เมื่อ strike price มากกว่า ราคาจริง ผู้ขายก็จะได้ค่า premium เช่น 0.60 บาท" จะไม่มีใครยอมเป็นผู้ขาย Optionตัวนั้นแน่นอน และถ้ามีOption ตัวนี้รับรองขายดีแน่ แต่ไม่มีคนขาย เพราะถ้าผมถือหุ้นอยู่ผมจะ รีบซื้อ Option เลย ก็มีคนมาประกันให้ที่ราคาตลาดฟรีใช่ไหมครับ กลับกันมองในมุมคนออกOptionบ้าง คงไม่มีใครยอมซื้อ ที่ 10.5 เพื่อ ได้ 0.6 สรุปคือซื้อที่ราคาตลาด แต่หากราคามันเกิน 10.5 เขาก็ไม่ได้หุ้น ได้กำไรน้อยกว่าซื้อราคาตลาด 9.9 แต่หากมันลงต่ำกว่า เขาก็ต้องรับซื้อ 9.9 ซึ่งผมว่าไม่น่าคุ้มนะ ## ผมอยากเสนออย่างนี้ครับ อยากให้ลองทำ" payoff table" ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาหุ้นแม่ กับผลตอบแทนที่ได้รับเมื่อ trade option แล้วนำผลที่ได้มาเขียนเป็นกราฟเส้น แล้วจะเข้าใจว่า ผู้ขาย ได้กำไร เมื่อไร ได้เท่าใด อะไรคือความเสี่ยงของผู้ขาย ผู้ซื้อ ได้กำไร เมื่อไร ได้เท่าใด อะไรคือความเสี่ยงของผู้ซื้อ จากคุณ : krit587 - [ 2 ก.ค. 48 09:49:31 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณ คุณ krit มากเลยครับ สำหรับคำตอบ เรื่อง Option รายตัว ผมถามผู้ใหญ่อีกท่านนึงวันนี้ พอดีท่านเป็น กรรมการตลาด และเป็นอาจารย์ผมพอดี ก็พอเข้าใจว่าน่าจะอีกนานสำหรับOptionรายตัว (ส่วนเรื่องเรียน ผมเรียนด้านอสังหา อยู่ครับ แต่พอดี ตอน ป. ตรี เรียน economic และทำเรื่องFuture สินค้าเกษตร เลยพอรู้เรื่องบ้าง จำได้ว่าตอนเรียน เขียน กราฟ Demand supply ใน Option โดยไม่ต้องอ่านหนังสือเลย หุหุ ขอคุยหน่อย ภูมิใจ) แต่ในความคิดผมนะ ผมไม่เห็นด้วยเลยที่จะมี Future ผมว่าประโยชน์ของมันไม่เหมือน กับ ในสินค้าเกษตร และผมอยากให้ Optionเป็นมากกว่าแค่ Speculate อยากให้เป็นเครื่องประกันความเสี่ยงได้ ซึ่งถ้าเป็น Option index ผู้ที่ได้ประโยชน์เต็มที่ก็คงเป็น กองทุนทั้งหลาย ที่ trade ด้วยset(ผมเข้าใจผิดหรือเปล่า) อีกเรื่องนะครับ (เอาด้าน callอย่างเดียวก่อนนะครับจะได้ไม่มึน) ผมนีกเอานะครับจากwebและคำตอบของคุณ krit 587 แสดงว่า ในตลาด ใครจะ ซื้อขายก็ได้ Open intได้เลย ส่วนตาราง pay off ผมขอตอบให้คุณ kritช่วยดูนะครับ (สมมุติเล่นเกมเดียวนะครับ ไม่ off set ไม่คิดคอมนะครับ) MSFT เมื่อวานเปิดที่ 24.85 MSQSJ.X เปิดที่ 0.25 strike price ที่ 25 แสดงว่า ผู้ขายoption รับซื้อหุ้นที่ 24.75 ในขณะนั้น ส่วนผู้ขายก็ ซื้อสิทธิขายราคา 24.75 แปลว่า ผู้ขาย Option ขายประกันในราคา 0.10 ที่จะประกันให้ว่า ภายใน 15วัน (เอ๊ะ หรือ ในวันที่15 เคย ได้ยินว่ามี 2แบบ ในอเมริกาเป็นแบบไหนจำไม่ได้แล้ว) ผู้ขายได้กำไรสูงสุด 0.25 ถ้าไม่มีใครมาใช้สิทธิ คือราคาหุ้นอยู่สูงกว่า 25 บาท และ โอกาศ ขาดทุนมากที่สุด คือ 24.75 คือ ราคาที่ตัวเองซื้อ ถ้าบริษัทปิด(ตอบคร่าวๆ) แต่ถ้าคิดตามหลักสถิติ (อาจจะได้คำตอบที่เป็นช่วงความเชื่อมั่นที่ดีกว่านี้) ทางฝั่งผู้ขายเองก็จะกำไรสูงสุดเท่ากับ 24.75 ถ้าบริษัทปิด แต่ถ้า ขาดทุน มากสุด คือ 0.25 ผมทำถูกไหมครับ อีกเรื่องครับ ซึ่งถ้าผมดูอย่างนี้ คงไม่เอามาผสมกับ dsm แน่นอน เพราะได้น้อยมาก ผมว่า ไม่คุ้มค่าเสี่ยงนะ 0.1 ระหว่าง 24.85(ราคาแม่) กับการซื้อคืน24.75(ขาย Option) (ไม่ถึงช่อง1ของเมืองไทยเลย) แต่ถูก lock ไป2 week และเท่าที่ดูในตารางนั้น ผมคิดว่าผู้ซื้อ สิทธิ น่าจะได้เปรียบ ถ้าผมอยู่ในตลาดนั้น จะ ดีไหมครับ หากผม ซื้อทั้ง หุ้นแม่ และ putไปเลย ยอมเพิ่มราคาซื้อ 0.10 แล้วใช้วิธี Pyramid 20-20-60 โดยอาศัยเทคนิคเคิลง่ายๆ รบกวนคุณ krit ด้วยนะครับ แต่ถ้าคุณ krit เบื่อ บอกได้นะครับ (หุ หุ พรุ่งนี้ผมต้องสอบยังมานั่งพิมพ์ตอบยาว พอดี ชอบเรื่องนี้มากครับ) แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 48 20:42:11 จากคุณ : chinn - [ 2 ก.ค. 48 18:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ยินดีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเสมอ ภายใตเงื่อนไขต่อไปนี้คร้บ - ผมเองก็ไม่เคย trade option มาก่อน ที่พอจะมาเขียน ก็ได้จากมีผู้สอน และอ่านตำราเอา ดังนั้น สิ่งที่ผมเขียน อาจผิดได้ (แม้ว่า ผมพยายาม recheck ทุกครั้ง) เพราะฉนั้น ถ้าผมเขียนอะไรที่มันแหม่ง ๆ แย้งได้เลยครับ ประเด็นที่ 1  future ทางการเงินมีประโยชน์ไหม นอกเหนือจาก speculate คำตอบคือมีครับ มีเยอะด้วย แต่ปัญหาคือ นักลงทุนชอบกำไรเยอะ ไม่ชอบการลดความเสี่ยงเพราะจะทำให้กำไรลดลง ก็เลยไม่เอามันมาป้องกันความเสี่ยง ผมยกตัวอย่างนะครับ เอาแบบให้เข้ากับบรรยากาศของห้องนี้ก็แล้วกัน สมมุติว่า คุณ ศึกษาพฤติกรรมหุ้นทั้งตลาดและพบว่า หุ้น ปตท. มีการเคลื่อนไหวที่แทบจะเหมือนการเคลื่อนไหวของ SET50 Index (ผมไม่เปิดประเด็นว่าทำอย่างไรจึงศึกษาอย่างนั้นได้นะครับ เดี๋ยวยาว) แล้วคุณก็อยากทำ DSM กับ ปตท. ทีนี้เวลาหุ้นตก แม้ว่าคุณจะขายหุ้นไปเรื่อย ๆ (และปลอบใจตัวเองว่า DSM ไม่คิดถึงกำไรขาดทุน) แต่มันก็มีความจริงที่ว่า  port value คุณลดลงไป (Short term คุณจะรู้สึกแย่ แต่ Long term คุณจะมีโอกาสซื้อหุ้นกลับในราคาถูก) ถ้าคุณทำอย่างนี้คือ ซื้อ ปตท 1000 หุ้น และ Short futures ด้วยมูลค่าที่เท่ากัน กรณีที่ 1 หุ้นตก สุดขีด ถ้าหุ้นปตท ตก คุณ ขาย ปตท ทีละ 10 % ถ้ามันตกจนคุณขายหมด  คุณก็ปิด position future ทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คุณจะขาดทุนจาก ปตท แต่ไม่หนัก เพราะคุณระบาย port เป็นระยะ ๆ ทุก 3-4 ช่อง แต่! คุณจะได้กำไรจาก future เต็มที่เลย หักกลบแล้วก็มีตังกินหนมพอควร และ ก็รอให้ ปตท มันเชิดหัวขึ้น คุณก็ซื้อคืน ตามวิถี DSM ต่อไป (และคุณก็ยัง short future ณเวลานั้นใหม่อีกทีก็ได้) ลองคิดดูเทียบกับการทำ DSM แบบไม่มี future ควบสิครับ กรณีที่ 2 หุ้นขึ้นสุดขีด ทำกลับกันครับ คือ close future ทีละ 10 % ไปเรื่อย ๆ จนหมด แล้วก็ขาย ปตท นะตรงนั้น ทำแบบ mirror image กับกรณีแรกเลยครับ แต่! มีข้อแนะนำคือ เมื่อมันหักหัวลง ผมไม่แนะนำให้กลับไป short future อีก (เหมือนกับการซื้อกับ ปตท.ในกรณีแรก) เพราะ future มีหมดอายุได้ ไม่เหมือนหุ้น อย่าไปพัวพันกับมันเลย คิดว่าน่าจะได้กำไรแล้ว ออกมาก่อน ถือว่าปิดบัญชีการลงทุนนี้ จะเริ่มใหม่ก็ค่อยว่ากันอีกที กรณีที่ 3 ซิก แซก ขึ้นบ้างลงบ้าง คุณลองหา strategy ของคุณเองก็แล้วกัน เอาประเด็นเดียวก่อนนะครับ ง่วงแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอบต่อ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 48 23:39:09 จากคุณ : krit587 - [ 2 ก.ค. 48 23:38:24 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ต่อประเด็นที่ 2 นะครับ เรื่องใครที่จะซื้อขาย option ได้ และมันทำงานอย่างไร คือ อย่างที่ผมบอกแต่แรก ว่า  option มันจะถูกกำหนด spec โดย market เช่น อิงกับหุ้นอะไร เป็น put หรือ call, expire เมื่อไร และ excercise หรือ strike เท่าใด โดยอาจทำหลาย spec ขึ้นกับความนิยมของหุ้นนั้น ๆ เช่น microsoft อาจมี put option ที่ expire เดือน กค. ที่ excercise price 25 30 และ 40 เรื่องต่อมาคือ เวลาเราซื้อขาย เราก็ไป open interest เหมือนกับ future เช่นเดียวกัน และ ก็จะมีตัวกลาง คือ market ที่จะเป็นผู้รับ order ของเรา เมื่อมีคนซื้อขาย เช่น เรา ขาย put ที่ราคา โดยมีนาย ก. ซื้อ ตลาดจะเป็นตัวกลางให้ทั้งเราและนาย ก. และเมื่อนาย ก. excercise option ไม่ได้แปลว่า เราจะต้องถูกเรียกให้ปฏิบัติ(รับซื้อหุ้นในราคา strike price)เสมอไป เพราะเขาจะใช้หลัก FIFO คือไปดูว่า ฝั่งขาย (writer)ใครเป็นคิวแรก ที่ขาย ก็จะถึงคิวที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาก่อน ดังนั้นเวลาที่นาย ก.  excercise อาจไม่ใช่เราที่จะต้องไปซื้อหุ้นนาย ก.ก็ได้ครับ จากคุณ : krit587 - [ 3 ก.ค. 48 10:00:02 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ประเด็นที่ 3  ถ้ากำหนดให้ MSFT เมื่อวานเปิดที่ 24.85 MSQSJ.X เปิดที่ 0.25 strike price ที่ 25 pay off table จะทำเมื่อเราซื้อหรือขาย option ในวันนั้น และ ประเมินการเปลี่ยนแปลงของราคาแม่ ซึ่งจะมีหน้าตาอย่างนี้ครับ payoff table ฝั่ง ผู้ขาย ราคาแม่     กำไร(ขาดทุน) 0              -24.75 5              -19.75 10            -15.75 15            -10.75 20            -5.75 24.5          -0.25 24.75         0 24.85        +0.10 25            +0.25 30            +0.25 35            +0.25 ...             +0.25 (ลองเอาตัวเลขดังกล่าวมา plot graph ให้ ราคาหุ้นแม่เป็นแกน X กำไร-ขาดทุนเป็นแกน Y แล้วคุณจะเห็นอะไรบางอย่างครับ) ถ้าคุณจะทำ payoff ฝั่งผู้ซื้อ ก็กลับเครื่องหมาย บวก- ลบ ครับ ข้อพิจารณา จะเห็นว่า ผู้ขายได้กำไรเมื่อ หุ้นแม่ราคาสูงกว่า strike price (ไม่มีคนยอมมา strike เพราะขายในตลาดดีกว่า คุณได้ premium ไป) ถ้าราคาต่ำกว่า strike price คนจะเริ่มมา excercise คุณก็เริ่มขาดทุน (แต่ที่ตำแหน่ง strike คือ 25 คุณยังได้กำไรจาก premium มาชดเชย) ที่ราคาปัจจุบัน 24.85 ถ้ามีคนซื้อ option คุณแล้ว excercise เลย เขาจะขาดทุน 0.1 เขาก็ไม่ทำ สรุปได้ว่า ผู้ขาย put จะได้กำไรเมื่อหุ้นขึ้น มากกว่า 24.75 โดยจะได้กำไร 0.25 แต่จะขาดทุนเมื่อหุ้นต่ำกว่า 24.75 โดยจะขาดทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่ลดลง ผู้ซื้อ put จะขาดทุนเมื่อหุ้นขึ้น มากกว่า 24.75 โดยจะขาดทุน 0.25 แต่จะกำไรเมื่อหุ้นต่ำกว่า 24.75 โดยจะกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามราคาที่ลดลง ทำไมทั้ง 2 ฝ่ายจึงยอม เพราะฝ่ายซื้อมองว่า ถ้าหุ้นตก เขาอยากมีสิ่งรับประกันความเสี่ยงว่าจะขายได้ ที่ 25 ไม่ว่ามันจะตกไปเท่าใด โดยเขายอมซื้อความเสี่ยงนั้นที่ 0.25 ผู้ขายมองว่า ตลาดน่าจะดี คือไม่น่าจะต่ำกว่า 24.75 จึงขอทำกำไรที่ 0.25 (คิดเทียบกับบริษัทประกันชีวิตก็ได้ครับ) อีกอันหนึ่ง american option สามารถ excercise ได้ทุกวันทำการครับ European option excercise ได้เฉพาะวันหมดอายุครับ แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 48 10:22:05 แก้ไขเมื่อ 03 ก.ค. 48 10:19:28 จากคุณ : krit587 - [ 3 ก.ค. 48 10:18:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ประเด็นสุดท้าย ที่คุณไม่ได้ถาม ในความเป็นจริง โอกาสที่ผู้ซื้อจะ excercise มีน้อยครับ เพราะมันยุ่งยาก หลักการของการคิดเรื่องนี้ก็คงคล้ายกับใน economic ครับ คือ ราคามันจะวิ่งหาจุดสมดุลย์ และผู้ได้กำไรก็จะเลือกที่จะขาย option ในตลาดมากกว่า ตย. ผมซื้อ shin w ที่ราคา 20 บาท (excercise  20 บาท) หุ้นแม่ 40 บาท อีก 1 เดือน แม่ราคา 50 บาท นั่นหมายความว่า ถ้าคุณ เอา warrant ไป ex. ก็จะได้แม่ ที่ต้นทุน 40 บาท และนำไปขายที่ 50 บาท ก็จะได้กำไร 10 บาท แต่ในทางปฏิบ้ติ เมื่อแม่ ขึ้นไป เป็น 50 บาท shin-w ก็จะขึ้นไปเป็น 30 บาทด้วย ดังนั้นคุณก็เอา warrant ไปขายในตลาด ก็ได้กำไร 10 บาทเหมือนกัน ไม่ยุ่งยากด้วย จากคุณ : krit587 - [ 3 ก.ค. 48 10:29:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จากตัวอย่างของคุณ krit กรณี การทำกับ set 50 ผมนึกถึงเรื่องของการ เล่นแบบ pyramid 12.5 25 50 (แบ่งสาม lot ตาม คลื่น elliot wave) และเป็นแบบ การทยอย short ตามคลื่น ในกรณีหุ้นขึ้น ซื้อหุ้น 12.5 % และ ถือ เงิน 12.5 %ของprot เมื่อหุ้น เขยิบ ให้ ทยอย ซื้อ ทีละ 10% แล้วเมื่อหักหัว ขายออกให้หมด แต่ถ้ากรณีที่ 2 ซื้อใน wave 1 trend ลง ซื้อหุ้น 12.5 % และ ถือ เงิน 12.5 %ของprot แล้วขายทีละ 10% เมื่อหักหัวขึ้น ให้ซื้อ คืน แล้วซื้อส่วน 12.5% ที่เป็นเงินด้วย ทำครบ 3 คลื่นจะได้หุ้นเต็ม 100 ที่ทุนไม่สูงมากนัก ก็ส่วน (พิมพ์ถึงตรงนี้ ก็เริ่มรู้สึกว่า เป็นlose rule T_T) ไว้ไปคิดต่อครับ ประเด็นต่อไป ถ้าให้เดา จากประเด็นสุดท้าย ผู้ขายก็จะปิด interest พร้อมกับผู้ซื้อซะส่วนใหญ่ แต่ถ้าไม่ไปปิด int ก็อาจจะมีผู้มาใช้สิทธิได้ (แต่ติดคำว่ายุ่งยากนี่สิ หุ้นแค่วันเดียวราคาก็เปลี่ยนแล้ว) ผมว่าการที่ราคาประกันอยู่ที่แค่นี้ น่าจะเกิดจาก trading rule การ tradeหรือเปล่านะ ทำให้ มีคนยอมขาย ประกันในราคา 1% ตรงนี้จะนำไปคิดเล่นๆ ต่อ ปล.ขอบคุณมากครับ สำหรับ ข้อมูลนะครับ จากคุณ : chinn - [ 3 ก.ค. 48 22:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตามอ่านต่อครับ ขอบคุณ คุณkrit587 และ คุณchinn ครับที่มาแบ่งปันความรู้ให้ :) จากคุณ : rcII - [ 4 ก.ค. 48 14:01:24 A:61.91.162.5 X: TicketID:091348 ]