ความคิดเห็นที่ 1
ภาพรวมธุรกิจ
บริษัทแอลพีเอ็น เพลทมิล หรือ LPNPM จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2533 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กรีดร้อนชนิดแผ่นและม้วนเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ เช่นอุตสาหกรรมท่อเหล็ก ,อุตสาหกรรมผลิตเหล็กโครงสร้างรูปพรรณหน้าตัดต่างๆ ,อุตสาหกรรมตัวถังเหล็ก ,อุตสาหกรรมถังเหล็กขนาดใหญ่ และอุตสาหกรรมก่อสร้างสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต่างๆ
โดยบริษัทเป็นผู้ผลิตรายเดียวในประเทศที่สามารถผลิตเหล็กแผ่นหน้ากว้างได้ถึง 10 ฟุต และเหล็กม้วนหน้ากว้างได้ถึง 8 ฟุต มีโรงงานตั้งอยู่ที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ มีกำลังการผลิตเต็มที่ 400,000 ตัน/ปี
ปัจจุบันบริษัทมีรายได้มาจากเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดแผ่น 77.33% ,เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 18.41% ,การรับจ้างผลิต 0.13% และรายได้อื่น 4.12%
ไอพีโอ 269 ล้านหุ้น
บริษัทมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,364.47 ล้านบาท เป็นทุนเรียกชำระแล้ว 2,624.29 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,049.72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2.50 บาท ได้เตรียมที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (โดยจะเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 269.16 ล้านหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ขยายกำลังการผลิต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทต่อไป
นอกจากนี้บริษัทยังได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญอีก 26.92 ล้านหน่วย ให้กับพนักงานของบริษัท ในอัตราใช้สิทธิ 1 ต่อ 1 และราคาใช้สิทธิ 2.50 บาท
ปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ ถือหุ้นอยู่ 67.92% ,แอล พี เอ็น แพลนเนอร์ 32.05% และอื่นๆ 0.03% ซึ่งภายหลังจากการเสนอขายหุ้นไอพีโอครั้งนี้แล้วเสร็จจะทำให้กลุ่มเจ้าหนี้ มีสัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 52.98% ,แอล พี เอ็น แพลนเนอร์ 25% และกลุ่มผู้ถือหุ้นอื่นอีก 0.02% ในขณะที่ประชาชนทั่วไปมีสัดส่วนการถือหุ้น 20%
ขาดทุนสะสม 1.5 หมื่นล้านบาท
สำหรับฐานะการเงินของบริษัท ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2547 ปรากฏว่าบริษัทมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 1,026.51 ล้านบาท จากเดิม 2,211.19 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.52% ซึ่งเกิดจากสินทรัพย์หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นเป็น 2,080.56 ล้านบาท จากเดิม 1,121.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 85.44% ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีสินทรัพย์ระยะยาวลดลงเหลือ 1,026.51 ล้านบาท จากเดิม 1,089.23 ล้านบาท หรือลดลง 5.76% ก็ตาม
ในขณะเดียวกันบริษัทก็มีหนี้สินรวมเพิ่มขึ้นเป็น 15,170.03 ล้านบาท จากเดิม 14,324.36 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.90% ซึ่งเป็นผลมาจากหนี้สินหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,377.54 ล้านบาท จากเดิม 597.61 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 130.51% และหนี้สินระยะยาวที่เพิ่มขึ้นเป็น 13,792.49 ล้านบาท จากเดิม 13,726.76 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.48%
กำไรสุทธิที่บริษัทมีทำให้บริษัทมีผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 15,885.23 ล้านบาท จากเดิมที่ขาดทุนสะสม 15,964.54 ล้านบาท หรือลดลง 0.50% นอกจากนี้การปรับราคายุติธรรมของหลักทรัพย์ยังส่งผลให้บริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมลดลงเหลือ 12,063.06 ล้านบาท จากเดิม 12,113.17 ล้านบาท หรือลดลง 0.41%
รายการพิเศษดันกำไรโต
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทประจำปี 2547 พบว่าบริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2,831.11 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 2,741.20 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.28% ซึ่งเกิดจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นเป็น 2,729.09 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 2,639.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.41%
ในขณะที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมลดลงเหลือ 2,800.28 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 8,308.87 ล้านบาท หรือปรับตัวลดลง 66.30% อันเนื่องมาจากในปี 2547 นั้นบริษัทมีผลขาดทุนจากการด้อยค่า 5,506.33 ล้านบาท รวมถึงขาดทุนจากการหยุดการผลิตและหนี้สงสัยจะสูญ ในขณะที่ในปี 2547 ไม่มีรายการดังกล่าวเข้ามา
ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานปกติลดลงเหลือ 124.94 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุน 5,636.80 ล้านบาท หรือปรับตัวลดลง 97.78%
อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีรายการพิเศษเป็นกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้เข้ามาในปี 2547 จำนวน 203.43 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 78.50 ล้านบาท หรือ 0.27 บาท/หุ้น จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 5,636.80 ล้านบาท หรือ 19.19 บาท/หุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 101.39%
จากคุณ :
adrenaline
- [
19 ก.ค. 48 09:27:57
]
|
|
|