วัตถุประสงค์
1. เพื่อไม่ให้พวกเราทั้งหลายที่ทำ DSM แล้วหลงไปยึดติดกับ SET INDEX
2. เพื่อเอาไว้ดูว่าว่าในแต่ละวันดัชนี DSM ของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
การคำนวณดัชนีหุ้นนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่ละวิธีก็มีจุดดี จุดด้อย นี่คือสาเหตุที่เราต้องมีทั้ง SET INDEX , SET50
และ SET100
วิธีคิดแบบแรกคือ PRICE WEIGHT คิดแค่ราคาหุ้นอย่างเดียว เช่น
ข้อมูลวันเริ่มทำ DSM
ITD ราคา 12.00
KEST ราคา 32.00
TPI ราคา 9.00
เราก็จับเอาราคาทั้ง 4 ตัวมาบวกกันแล้วหารด้วยจำนวนหลักทรัพย์
= ( 12 + 32 + 9 ) / 3
= 17.67 นี่คือค่าดัชนีเริ่มต้น
ข้อมูล ณ.ปัจจุบัน
ITD ราคา 11.00
SHIN ราคา 37.00
TPI ราคา 10.00
VNT ราคา 9.00
= ( 11 + 37 + 10 + 9 ) / 4
= 16.67 นี่คือค่าดัชนี ณ. ปัจจุบัน
นั้นก็แสดว่าดัชนีของ DSM พอร์ตตั้งแต่เริ่มทำมาจนถึงปัจจุบัน ลดลงไป 1.00 จุด คิดเป็น 5.66%
ถ้าคิดด้วยวิธีนี้มูลค่าพอร์ตของเราก็ควรจะต้องลดลง 5.66% เช่นกัน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่อย่างนั้นเพราะ
เราถือหุ้นแต่ละตัวในจำนวนที่ไม่เท่ากัน สูตรคำนวณที่ตลาดฯใช้อยู่คิดแบบ MARKET VALUE WEIGHT โดยให้
น้ำหนักกับจำนวนหุ้นที่อยู่ในตลาด. ดังนั้นหุ้นที่มีขนาดใหญ่จึงมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนี วิธีนี้จึง
เหมาะสมกว่าที่เราจะเอามาคิดดัชนี แต่แทนที่เราจะหยิบหุ้นทั้งตลาดมาคิด เราก็หยิบเอาเฉพาะหุ้นมี่เราถืออยู่และจำนวนที่เราถือ เช่น
ข้อมูลวันเริ่มทำ DSM
ITD ราคา 10,000*12.00 = 120,000
KEST ราคา 3,000*32.00 = 96,000
TPI ราคา 10,000*9.00 = 90,000
รวมทั้ง 3 หุ้นได้เท่ากับ 306,000 เป็นตัวอ้างอิง สมมุติให้เป็น SET DSM ดัชนีเริ่มต้นเท่ากับ 100 จุด (ตรงนี้จะ
กำหนดเป็น 1000 หรือ 1000 จุดก็ได้แล้วแต่เราชอบ)
ข้อมูล ณ.ปัจจุบัน
ITD ราคา 11,000*11.00 = 121,000
SHIN ราคา 3,000*37.00 = 111,000
TPI ราคา 4,000*10.00 = 40,000
VNT ราคา 5,000*9.00 = 45,000
รวมทั้ง 4 หุ้นได้เท่ากับ 317,000
SET DSM ณ.ปัจจุบัน = (317,000*100) / 306,000 = 103.59 จุด เท่ากับเพิ่มขึ้น 3.59 จุด (3.59%) มูลค่า
พอร์ตของเราก็ควรจะต้องเพิ่ขึ้น 5.66% เช่นกัน. จะเห็นได้ว่าเมื่อคิดดัชนีด้วยวิธีนี้แล้ว จะมีความเป็นธรรมต่อ
จำนวนหุ้นแต่ละตัวในพอร์ตของเราที่ไม่เท่ากัน.
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเอา SET INDEX มาดูเพื่อเป็นตัวอ้างอิงกับพอร์ต DSM ได้ เพราะเขาเอาหุ้นทุกตัวมาคิด
คำนวณ แต่เรามีหุ้นแค่บางตัว และเมื่อหุ้นบางตัวที่เราไม่มีแต่ดันขึ้นเช่น PTT PTTEP พวกนี้มีผลต่อ SET INDEX
ค่อนข้างมาก ก็จะทำให้ SET INDEX ปรับขึ้นตาม แต่ตลาดฯก็ต้องมีตัวอ้าวอิงจึงต้องใช้วิธีนี้และมีตัวอ้างอิงตัวอื่นๆ
ไว้เปรียบเทียบ.
ฉะนั้นพวกเราเองที่ทำ DSM ก็จำเป็นต้องมีตัวอ้างอิงของเราไว้ค่อยเปรียบเทียบด้วย เพราะเมื่อขนาดพอร์ต
เปลี่ยนไป ราคาเปลี่ยนไป เราจะเห็นได้ชัดว่าที่เราทำ DSM อยู่นั้น แจ๋วขนาดไหน
จากตัวอย่างข้างบน ถ้าคิดตามวิธีแรกปรากฏว่า SET DSM ลดลง 1.00 จุด (5.66%) แต่ถ้าคิดตามวิธีการถ่วง
น้ำหนักแล้ว SET DSM กลับเพิ่มขึ้น 3.59 จุด (3.59%) แสดงว่าถ้าเราถือหุ้นไว้เฉยๆมูลค่าพอร์ตก็จะลดลง
แต่ถ้าทำ DSM กลับเป็นว่ามูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้น และถ้าจะให้เป็นจริงมากขึ้นเราก็ควรที่จะต้องนำเอาเงิน กสงฝ
ที่มีอยู่ใส่เข้าไปด้วย (เหมือกับว่าเราซื้อหุ้นใส่เข้าไปจนหมดเงิน)
สรุปเป็นสูตร SET DSM ได้ดังนี้
SET DSM = { ผลรวม(จำนวนหุ้นY * ราคาหุ้นY) + เงินสดคงเหลือ } * 100 / ผลรวม(จำนวนหุ้นX * ราคาหุ้นX)
เมื่อ X = หุ้นณ.วันเริ่มทำ DSM
Y = หุ้นที่เหลืออยู่ในพอร์ณ.ปัจจุบัน
เงินสดคงเหลือ = เงินสดทั้งหมด เงินออม 25% - เงินค่าใช้จ่าย 25%
หวังว่าคงพอจะเป็นประโยช์นกับพวกเราชาว DSM จะได้เอาไว้ค่อยดูการเปลี่ยนแปลงของ SET DSM ของเรา
เอง เพื่อไม่ให้ SET INDEX หลอกพวกเราครับ
สุดท้ายนี้หากมีอะไรผิดถูกยังไงก็ต้องขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ
........................
ขอแก้ไขเพิ่มเติมหน่อยครับ เพื่อจะได้ไม่ งง กัน
จริงๆน่าจะเรียกว่า DSM INDEX มากกว่า SET DSM ครับ
แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 48 16:45:29
แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 48 03:26:57
แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 48 03:23:06
แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 48 03:17:30
จากคุณ :
loaw
- [
14 ส.ค. 48 03:02:14
]