ความคิดเห็นที่ 1 ... มารออ่านครับ จากคุณ : GABLIEL - [ 11 ก.ย. 48 21:45:14 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าให้เดาความคิดของคุณ จขกท. ผมเดาว่าเป็นญี่ปุ่นครับ ผมคิดว่าญี่ปุ่นถูกมองในแง่ร้ายมากเกินไปหลังจากมีปัญหาเศรษฐกิจเมื่อนานมาแล้ว จากคุณ : chorchai - [ 11 ก.ย. 48 21:48:40 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ญี่ปุ่น ยักษ์ตนนี้ โดนโรคอมพระรามไปตั้งแต่ตอน 80's-90's เพิ่งจะมีแนวโน้มการขยายตัวที่เป็นพวก เกิน 1%ได้มาสองถึงสามปี (รวมปีนี้ด้วย)   ถ้ายักษ์ตัวนี้ตื่นจะฝันซิน่ากลัว เพราะว่า เงินทุนของญี่ปุ่นนั้นไล่ออกจากประเทศมาเป็นเวลานานมากแล้ว มาอยู่ส่วนไหนของโลกหรือ มาอยู่แถวบ้านเรา เป็นหลัก (ดูจากเงินให้กู้จากโครงการต่างๆๆ จะเห็นว่าเรากู้จากญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากกว่าที่ไหนของโลก) คราวนี้ญี่ปุ่นเริ่มขยายตัวเพราะอะไร อันนี้น่าคิดมากๆๆ ว่าที่นั้นมีปัจจัยอะไร เพราะไม่ข่าวออกเกี่ยวกับญี่ปุ่นมานานแล้ว อีกหนึ่งคือ อินเดีย คนนี้ก็ไม่ได้ยินข่าวเท่าไร จากคุณ : Myth&Miracle - [ 11 ก.ย. 48 23:03:34 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จะรออ่านนะครับ จากคุณ : boonk45 - [ 12 ก.ย. 48 08:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จีน สิครับ  เพราะดูหนังเคยพบว่าจีนได้รับฉายา " ขี้โรคเอเซีย" โดยญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆยึดครอง  จนต้องมีวีระบุรษชาวจีนมาต่อต้านญี่ปุ่นคงจำ  อ้ายหนุ่มซินตึ๊งได้ ถ้าจำไม่ผิดใน สินธรนี้มี  ท่านหนึ่งใช้นามแฝงว่า ฮั่วหยวนเจี่ย คงให้รายละเอียดตรงนี้ได้ดีกว่าผมนะครับ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 48 08:31:40 จากคุณ : เล่าไอ่ - [ 12 ก.ย. 48 08:27:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รัสเซีย ???? จากคุณ : endophine - [ 12 ก.ย. 48 08:46:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เข้ามาอ่านค่ะ คิดว่าไม่น่าจะใช่ญี่ปุ่น ในประเทศคนตกงานเพิ่มขึ้นทุกปี  ภัยธรรมชาติก็โดนมันทุกปีเหมือนกัน คิดว่าน่าจะเป็นจีน จากคุณ : Hana* - [ 12 ก.ย. 48 16:06:52 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันแสดงความคิดเห็นกันหลากหลายครับ คงไม่มีความคิดเห็นของใครที่เรียกได้ว่าถูกต้องชัดเจน ณ ตอนนี้ซะทีเดียว เพราะมันเป็นเรื่องของอนาคตที่ยังต้องว่ากันด้วยปัจจัยอื่นๆหลายอย่างอีกมากมาย สำหรับความเห็นของผมนั้น ให้น้ำหนักไปที่จีนและญี่ปุ่นเป็นหลักครับที่เม็ดเงินจากฝั่งตะวันตกจะไหลเข้ามา สำหรับจีนนั้นหลายๆท่านก็คงได้ยินมามากแล้วว่าจะมีแนวโน้มที่จะเป็นมหาอำนาจเข้ามาแทนที่สหรัฐได้ในอนาคต ผมจึงจะขอไม่พูดถึงมาก แต่ไม่เถียงครับว่าจีนเป็นดาวเด่นแห่งเอเชียที่ต่างชาติกำลังจ้องจะขนเงินเข้ามากัน แต่สำหรับญี่ปุ่นนั้น การที่ตกอยู่ภายใต้กับดักเงินฝืดมายาวนานนับทศวรรษ นักวิเคราะห์หลายคนจึงพากันเบือนหน้านี้และไม่คิดว่าญี่ปุ่นจะได้โงหัวภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ หรือไม่ก็รอให้มีสัญญาณหลายๆอย่างที่แสดงออกมาดีก่อน จึงคิดว่าค่อยเข้าไปสนใจก็ยังทัน จะเห็นได้ว่าการที่ญี่ปุ่นเคยตกอยู่ในภาวะผู้แพ้สงคราม จึงมีการปลูกฝังให้ประชาชนช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนทำให้คนญี่ปุ่นพากันเก็บออมโดยไม่นำเงินออกมาใช้จ่าย มาลงทุนกันมากเท่าที่ควรนัก การลดอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก็ทำได้ช้าเกินไป ตอนนี้ถึงอัตราดอกเบี้ยเริ่มติดดินแค่ไหน ก็ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ผมเชื่อว่าสามารถกระตุ้นได้จริง เพียงแต่ต้องใช้เวลานานเพราะต้องรอให้เป็นยุคผลัดใบ หรือเปลี่ยน generation จะรอให้คนรุ่นเก่าๆที่เคยอยู่ในยุคแพ้สงคราม หันกลับมาขนเงินไปลงทุนแบบ aggressive ทันทีนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้นำก็ไม่มีผู้ตาม เริ่มต้นอาจจะมีกิจการที่เจ้าของเงินพร้อม ใจถึง แบ๊คหนาไม่กี่รายสยายปีกออกนอกประเทศ แต่เมื่อทำและประสบความสำเร็จแล้ว ย่อมมีผู้กล้าเดินตามรอยเท้า ในช่วง 1-2 ปีนี้ จึงไม่แปลกที่เริ่มเห็นกระแสกิจการญี่ปุ่นเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการต่างชาติใหญ่ๆโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามากขึ้น อีกทั้งบริษัทที่มีการลงทุนในที่ต่างๆก็เริ่มมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการลงทุนเข้าไปอีก ส่วนด้านเทคโนโลยีและบุคลากรนั้น ญี่ปุ่นก็ตระหนักดีว่าตัวเองนั้นมีความพร้อมไม่เป็นรองใครในโลก การที่จะเข้าไปครอบงำหรือร่วมทุนกับใคร จึงมักไม่มีอุปสรรคในการเจรจา ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวก็ประเทศเราเองนี่แหละครับ ที่เจรจาเรื่อง FTA กันมานมนานกับญี่ปุ่น ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าเราโดนโขกเอาๆ แต่จะปฎิเสธเสียงแข็งก็ทำได้ไม่ดังนัก เพราะเราก็รู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าเราจะโตกว่านี้ เรายังต้องพึ่ง know how เค้าในบางด้าน (จริงๆก็หลายด้านอยู่) จากนี้ไป สิ่งที่ผมคาดไว้ก็คือเราจะได้เห็นกลยุทธ์เชิงรุกของญี่ปุ่นมากขึ้น ซึ่งจะแสดงถึงความพร้อมที่จะฟื้นไข้ เนื่องจากพฤติกรรมของคนญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนไป ความ conservative เริ่มน้อยลง แต่ฟื้นไข้แล้วจะลุกขึ้นวิ่งอย่างแข็งแรงได้หรือเปล่านั้นก็ต้องดูนโยบายภายใต้การบริหารของนายกฯ โคอิซูมิ ทีเพิ่งได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งต่ออีกสมัย ซึ่งผมก็มีความเชื่อว่าจะทำให้เกิดความไหลลื่นทางด้านนโยบาย อันจะเป็นผลดีกับประเทศญี่ปุ่น เมื่อคืนตัวเลขดุลบัญชีสะพัดของญี่ปุ่นก็เพิ่งประกาศเองครับว่าเกินดุลมาถึง 15,000 US$ และต่างชาติก็ยังขนเงินเข้าตลาดหุ้น Nikkei ทำให้เกิด new high record อย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ดีว่าต่างชาติก็ให้ความสำคัญกับญี่ปุ่นไม่น้อยหน้าจีนเลยทีเดียว สรุปว่าในอนาคต ที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างมองว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวขึ้นต่อเนื่องถึง 2010 เป็นอย่างต่ำ และญี่ปุ่นจะขยายตัวลงจนมีขนาดไม่ถึง 10% ของเอเชีย ผมกลับมองแย้งกันว่าญี่ปุ่นจะโตแรงขึ้นมาให้จีนได้ผวาจากปัจจัยหลักคือพฤติกรรมผู้บริโภคและพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนไปโดยมีนโยบายจากภาครัฐเป็นตัวหนุน และยังเชื่ออีกว่า ภายในไม่เกิน 1-2 ปีนี้ เราจะได้เห็นค่าเงินเยนในระดับที่ต่ำกว่า 90 เยน/เหรียญสหรัฐครับ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงมุมมองของผมครับ ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ยีงไม่เกิดขึ้นและต้องเฝ้ามองกันต่อไป ขอเชิญทุกท่านรวมแลกเปลี่ยนทรรศนะคติกันครับ แก้ไขเมื่อ 12 ก.ย. 48 20:38:23 จากคุณ : CuRious_Boy - [ 12 ก.ย. 48 20:27:19 ]

ความคิดเห็นที่ 9 555 เฮีย endophine ถ้ายักษ์ตนนั้นตื่นขึ้นมา ผมคงเตรียมซื้อเสบียงไว้ที่บ้านพร้อมก่อนครับ มีสิทธิ์เกิดสงครามโลกได้ เห็นพี่ปูตินแกพยายามแอบเดินแบบฮิตเลอร์เงียบๆ อิๆ แซวเล่นน่ะครับ จากคุณ : CuRious_Boy - [ 12 ก.ย. 48 20:30:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่คิดว่าสหรัฐจะถึงกับล้มเพราะเฮอริเคนkatrinaเพราะ บ้านและสิ่งก่อสร้างต่างๆมีประกัน เมื่อวันก่อนดูCNBCตัวแทนบริษัทประกันจากอังกฤษและสวิส(ซึ่งเป็นบริษัทที่รับประกันอีกต่อหนึ่งจากบริษัทประกันรายย่อยในอเมริกา) บอกว่าความเสียหายครั้งนี้บริษัทอาจจะต้องจ่าย20Billion บริษัทเดียวกันนี้ก็ได้ประกันตึกเวิร์ลเทรดตอน9/11 พังไป แล้วก็ได้เงินประกันมาสร้างใหม่ ใครที่เคยคิดว่าหลังจาก 9/11 นิวยอร์คซิตี้จะซบเซาบริษัทการเงินย้ายหนีหมด ตอนนี้ลืมไปได้เลย เราไปเที่ยวนิวยอร์คเมื่อช่วงคริสมาสต์ปีที่ผ่านมา คนแน่นจนเบียดกัน ละคร คอนเสริจ มิวสิกเคิลตั๋วขายหมดทุกที่ นักท่องเที่ยวมาจากทั่วโลกได้ยินทั้งภาษาฝรั่งเศสเยอรมันญี่ปุ่นจีน ตลาดหุ้นตอนนี้ก็กลับมาเกือบเท่าจุดเดิมก่อน 9/11 (ยกเว้นnasdaqที่ตอนนั้นมันbubble) สำหรับคนเล่นหุ้นกองทุนอย่างเรา ช่วงสองปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นกำไรดีมาก บางกองทุนขึ้นมาถึง30-50% ต่อปีโดยเฉพาะพวกกองทุนที่ลงทุนหุ้นเทคโนโลยี่และพลังงาน ที่จริงส่วนตัวคิดว่าเฮอริเคนจะมีส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาวด้วยซ้ำเพราะทั้งเงินประกันภัย เงินบริจาค(อเมริกันเรดครอสที่เดียวได้เงินบริจาคจาก ภาคเอกชนถึง400Mแล้ว)และเงินที่รัฐบาลจะใช้จ่าย จะทำให้เกิดการสร้างงานอีกมาก สังเกตุหลังจากพายุ หุ้นขึ้นติดต่อกันหลายวัน ที่จริงเศรษฐกิจฝืดๆช่วงนี้เป็นไปทั่วโลก เรามีเพื่อนและญาติๆอยู่หลายที่ ที่ซิดนีย์ โตเกียว เจนีวา ฮ่องกง มาเลเซีย เมืองไทยและตัวเองอยู่แคลิฟอเนีย ไม่มีใครบอกว่าเศรษฐกิจดีกันซักคน แต่ก็ไม่มีโครตกงาน(knock on wood) คือทำงานไปได้เรื่อยๆแต่เงินเดือนก็ไม่ค่อยขึ้น โบนัสไม่ค่อยมาก เราคิดว่าที่ญี่ปุ่นที่ดูดีขึ้นก็เพราะมันตกต่ำมานาน และญี่ปุ่นได้ผลประโยชนจากแรงงานถูกจากจีน เรื่องที่ว่าญี่ปุ่นหรือจีนจะเข้ามาซื้อกิจการในอเมริกาก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ช่วงปี80-90ซึ่งเป็นช่วงบูมของญี่ปุ่นๆก็เข้ามาซื้อกิจการและที่ดินในอเมริกา เราว่ามันแค่เป็นไซเคิลทาง เศรษฐกิจเท่านั้นเอง... สำหรับตัวเองมั่นใจในอเมริกาและระบบทุนนิยมที่นี่ว่าคง ไม่ล้มได้ง่ายๆ ในระยะสั้นดอลล่าร์อาจจะตก หุ้นที่นี่อาจจะตก ที่อื่นอาจจะขึ้น ก็คงต้องอาศัยdiversify การลงทุนไปกว้างๆไปกับเงินหลายๆสกุลเพื่อกระจายความ เสี่ยง... แต่เราไม่ค่อยห่วงในระยะยาว อเมริกายังมีขนาด เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก อันดับสองคือญี่ปุ่นซึ่งประมาณ ครึ่งของเมกา อีกนานกว่าจะมีใครตามทัน... จากคุณ : solaris - [ 13 ก.ย. 48 00:05:21 A:207.200.116.136 X: TicketID:062183 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ ผมยกมือให้คุณ solaris อีก ๑ เสียงครับ ใครๆก็บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหามาตลอด บอกว่าฟองสบู่อสังหาฯจะแตกตั้งแต่ทศวรรษ ๙๐ มาแล้ว รวมไปถึง กรณี ๙/๑๑ ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในตลาดทุนช่วงต้นของทศวรรษใหม่นี้ ที่ ^DJI กลับลงมาแตะ ๘๐๐๐ จุด แต่นี่กลางทศวรรษใหม่แล้ว dowjones ก็กลับมาเกิน หมื่นจุดอีกรอบแล้วครับ นักคิดระดับเซียน นักเศรษฐศาสตร์ระดับเซียนก็อยู่ที่นี่กันหมด ถ้าเศรษฐกิจอเมริกาจะล้มจริง ผมว่า นั่นจะหมายถึง การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันครับ ซึ่ง big player ในระดับโลกทั้งหลายคงจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ครับ เพราะนั้นหมายถึงความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกในระดับสับสนอลหม่านเลยครับ จากคุณ : แมงเม่ามือใหม่ - [ 13 ก.ย. 48 05:36:45 A:58.136.64.8 X: TicketID:080268 ]