จากการตอบกระทู้ของคุณบุรุษชุดดำเพิ่มเติม
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=12634
คิดว่าน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
ข้อความที่ผมโพสไว้มีดังนี้...........
ผมคิดว่า
ความรู้หรือความไม่รู้ ทุกอย่างในตลาดหุ้น
อยู่ที่การประยุกต์ใช้กับตัวเราเองให้ได้
"เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด"
คนอื่นใช้แล้วได้ผล ตัวเองใช้แล้วไม่ได้ผล ก็อย่าใช้
คนอื่นใช้แล้วส่ายหน้า ตัวเองใช้แล้วดี ก็ใช้ต่อไป
การทำตามวิธีคลายเครียดเรโช
ถ้าทำแล้วยิ่งเครียด ก็ไม่ควรทำ
เมื่อวานนี้ ผมได้ฟังพระหลานชายเทศน์หลังฉันเพล
เรื่องความสุข ๕ ประเภท
ผมจำได้แค่ประเภทแรก(สุขจากการเสพวัตถุของปุถุชน)
กับประเภทสุดท้าย(สุขจากการใช้ปัญญาของพระอรหันต์)
ความสุขประเภทแรก
เป็นความสุขชนิดที่หยาบที่สุด
ที่ปุถุชนทุกคนจะยึดติดมากที่สุด
ได้แก่ อามิสสุข หรือความสุขที่ได้จากการได้เสพวัตถุ
เอามาเทียบกับคนเล่นหุ้น
ทุกคนล้วนแต่เป็นคนที่มีความสุขชนิดหยาบที่สุด
คือมีความสุขเมื่อได้ครอบครองและเสพเงินตราเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม
แม้เราจะยึดติดกับความสุขชนิดหยาบที่สุด
ศาสนาพุทธก็ยังมีอุบายให้ผู้ที่อยู่ในโลกีย์วิสัย
บริหารความเสี่ยงเรื่องความสุข ความทุกข์แบบปุถุชน
ด้วยการ ให้ลดการยึดมั่นถือมั่นแบบสุดโต่ง
อามิสสุขจึงแบ่งออกเป็น ๓ ระดับ
ระดับที่ทำให้คนเราสุขสุดขีด หรือทุกข์สุดทนก็คือ
"ต้องได้ครอบครองและเสพวัตถุ ถึงจะดี ไม่ได้ครอบครอง ไม่ได้เสพ ไม่ได้"
ระดับที่สองเป็นทางสายกลาง ทำให้ผู้ที่อยู่ในระดับนี้
เข้าใจความเป็นไปของชีวิต
และบริหารความเสี่ยงเรื่องความสุข ความทุกข์
จากการได้ครอบครองวัตถุได้เป็นอย่างดี นั่นคือ
"ได้ครอบครอง ได้เสพวัตถุก็ดี ไม่ได้ครอบครอง ไม่ได้เสพ ก็ยอมรับได้"
ระดับที่สาม เป็นเส้นทางเริ่มต้น ของผู้แสวงหาความหลุดพันทางโลกย์
"ได้ครอบครอง ได้เสพวัตถุก็ได้ ไม่ได้ครอบครอง ไม่ได้เสพก็ดี"
(ไม่มีสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์)
ผมมีความเห็นว่า
คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่
มีความสุขอยู่ในระดับที่หนึ่งมากที่สุด
ส่วนระดับสองจะทำได้เป็นบางคนเท่านั้น
ในตลาดหุ้นจึงเต็มไปด้วยคนที่เครียดอยู่ตลอดเวลา
มีความทุกข์แล้วก็สุข มีความสุขแล้วก็ทุกข์
วนเวียนไปมาไม่รู้จักจบสิ้น
จะว่าไปแล้ว ที่แท้
ความเครียด ความทุกข์ ความสุข
ก็จะผันแปรไปตามที่ใจเรา
ให้ค่าต่อความสุขทางวัตถุ ว่าให้ค่ากับมันในระดับไหน
ถ้าอยู่ในระดับที่หนึ่ง
นักเล่นหุ้นคนนั้น
จะเป็นคนที่มีอารมณ์แบบสุดโต่ง
เวลากำไร ก็สุขจนล้นเหลือ
แต่เวลาขาดทุน ก็จะทุกข์อย่างแสนสาหัส
เครียดอยู่ตลอดเวลา นอนไม่หลับ
แม้แต่ในยามที่ได้กำไร ไม่มากเท่าที่ใจอยากได้
ถ้าอยู่ในระดับที่สอง
นักเล่นหุ้นคนนั้น
จะมีเป็นคนที่มีอารมณ์ไม่สุดโต่ง
เวลากำไร ก็จะมีความสุขพอสมควร
แบบรู้เท่าทันความเป็นอนิจจังของตลาดหุ้น
และเวลาขาดทุน ก็จะทุกข์พอสมควร
แบบรู้เท่าทันความเป็นอนิจจังของตลาดหุ้นเช่นกัน
สำหรับคนที่ปฏิบัติ์ได้ในระดับที่สาม
ไม่มีใครมาเล่นหุ้นให้เสียเวลาหรอก
สุขของเขาอยู่ที่ใจ มากกว่าวัตถุ
แก้ไขเมื่อ 28 ก.ย. 48 08:55:39
จากคุณ :
endophine
- [
12 ก.ย. 48 10:04:30
]